เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 58 : งานเลี้ยงใหญ่ใกล้เข้ามา!
ตอนที่ 58 : งานเลี้ยงใหญ่ใกล้เข้ามา!
เมื่อข่าวเรื่องการท้าทายจ้าวห้วงเหวแพร่ไปถึงตระกูลหวัง พวกเขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“พวกเจ้ากำลังจะตาย อาศัยความสามารถใดถึงจะต่อต้านนายท่านแห่งเหวลึกได้?”
บนยอดเขาหิมะใกล้สกุลหวัง ประกายแสงสาดส่องออกมาปรากฏเป็นร่างบรรพชนแซ่หวังลอยลงมาจากบนฟ้า
“พวกเจ้า ไปเตรียมของขวัญ พวกเราจะไปยังฉีซานเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของพวกแซ่หลิน!”
“มีหรือข้าจะไม่ไปที่นั่นเพื่อดูการล่มสลายของพวกมันให้เห็นกับตา?!”
งานเลี้ยงครบรอบเดือนที่ตระกูลหลินจัดขึ้นนั้น บัตรเชิญถูกส่งไปยังทุกตระกูลในอาณาจักรฉีซาน แต่ผู้ที่ตอบรับคำเชิญกลับมีไม่มากนัก
นี่เป็นเพราะว่าในสายตาของพวกเขา ตระกูลหลินและจ้าวหุบเหวนับได้ว่าอยู่คนละชั้นกันอย่างสิ้นเชิง
มีแค่สหายเก่าแก่ของบรรพชนสกุลหลินเท่านั้นที่ยินยอมให้ตระกูลของตนตอบรับคำเชิญนี้ แต่พวกเขาเพียงเตรียมของขวัญแสดงความยินดี ไม่ได้ต้องการที่จะข้องเกี่ยวกับคนแซ่หลินมากนัก บางส่วนถึงขั้นรีบหนีคนส่งสาส์นราวกับพบเจอสัตว์อสูรทรงพลังอยู่เบื้องหน้า
ถึงขั้นบางตระกูลปฏิเสธออกมาโดยตรงเพราะไม่อยากกลายเป็นคนโง่งมที่หลงไปติดอยู่ในวังวนสมรภูมิที่กำลังปะทุขึ้น ช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ จิตสังหารมากมายกระจายไปทั่วทั้งโลก
หลังจากที่บรรพชนหลินและจ้าวห้วงเหวประกาศสงครามต่อกัน รอยแตกของอากาศก็ปรากฏเหนือเมืองต้าหยานในวันรุ่งขึ้น ในคราแรก รอยแยกบนความว่างเปล่านี้ยาวเพียงร้อยลี้เท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความยาวของมันกลับกลายเป็นหลายพัน จนถึงหลายหมื่นลี้ ผู้คนทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
รอยแยกนี้ดูคล้ายกับรอยตัดของกระบี่ที่ผ่าแยกท้องฟ้า ให้ความรู้สึกน่าพรั่นพรึง ประกายแสงสีดำหลุดลอดออกมาพร้อมกับปราณปิศาจข้นคลั่ก รอยแยกบนท้องฟ้าดูราวกับกำลังดูดกลืนแสงอาทิตย์ แสงดาว แม้กระทั่งแสงจันทร์ ในรัศมีห้าพันลี้จากมันบรรยากาศเต็มไปด้วยความขมุกขมัว คล้ายวันสิ้นโลกเดินทางมาถึง ก่อให้เกิดความรู้สึกหดหู่และยอมพ่ายแพ้ แม้กระทั่งการหายใจก็กลายเป็นเจ็บปวด
ยิ่งกว่านั้น หลังจากรอยแยกนี้ปรากฏขึ้น กลิ่นอายกดดันและสะกดข่มของจ้าวห้วงเหวก็ตามมา
กระแสปราณที่สามารถกัดกินวิญญาณของผู้คนกระจายไปทั่ว ผืนป่าเหี่ยวแห้ง สายน้ำเหือดหาย สิ่งมีชีวิตนับหมื่นพันเปล่งเสียงร้องโหยหวนก่อนสิ้นใจ เมฆดำมืดปกคลุมท้องฟ้า อากาศหนาหนักจนหายใจลำบาก ผู้คนมากมายตัดสินใจหนีออกจากเมืองต้าหยานไปในที่สุด
คนมากมายของสมาคมการค้าม่านพิรุณและอาทิตย์วสันต์ก็หลบหนีออกไปจนหมดแล้วเนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ที่ใกล้เกิดขึ้น กล่าวได้ว่าแทบจะในชั่วพริบตา เมืองต้าหยานที่ยิ่งใหญ่แทบจะกลายเป็นนครร้างที่แสนโดดเดี่ยว
สายลมพัดผ่าน ภายใต้ท้องฟ้าแสนมืดมน ทางเดินจากหินโบราณสายหนึ่ง มาคนเฒ่าคนแก่บางส่วนอาศัยอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตและไม่ต้องการจะอพยพจากไป ทว่า เมื่อเห็นท้องถนนที่เคยคลาคล่ำไปด้วยผู้คนว่างเปล่าลง หัวใจของพวกเขาก็พลันรู้สึกเหน็บหนาว
“ไม่มีใครเหลืออยู่เลย....”
“เป็นครั้งแรกที่เมืองต้าหยานดูแห้งเหี่ยวเช่นนี้...”
เหล่าหน่วยเฝ้ายามของตระกูลหลิน พวกเขาออกลาดตระเวนดูแลความเรียบร้อยในเมืองต้าหยานเป็นครั้งคราวเช่นกัน เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าและรอยแตกขนาดใหญ่ด้านบน พวกเขาทำได้เพียงข่มความรู้สึกบางอย่างในหัวใจลงและทำหน้าที่ต่อไป
สองวันต่อมา ตระกูลก้าวออกมาช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการจะออกจากเมืองให้อพยพได้อย่างเป็นระเบียบ เมื่อรอยแตกด้านบนส่งเสียงออกมาคราหนึ่ง แรงกดดันก็ตามมาด้วยเช่นกัน กลิ่นอายของจ้าวห้วงเหวเข้มข้นขึ้นทุกที ปราณปีศาจและหมอกดำกำลังกดทับไปทั่วทั้งเมือง
ราวกับว่าสงครามครั้งบรรพกาลได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ไอปราณของจ้าวหุบเหวมุ่งเป้าไปยังสกุลหลินและบริเวณรอบข้าเป็นรัศมีกว่าร้อยลี้
เมื่อใครสักคนต้องการจะไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะหรือคนธรรมดา พวกเขาล้วนต้องโค้งคำนับสามคราก่อนก้มกราบเก้าครั้งแก่ท่านจ้าวหุบเหว ก่อนหน้านี้เคยมีผู้บ่มเพาะบางคนไม่ต้องการจะสูญเสียศักดิ์ศรีของตน และฝืนก้าวออกไป คนเหล่านั้นล้วนระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดสิ้นเพียงย่างเท้าออกไปจากกำแพงเมืองแค่ก้าวเดียว
หลังจากนั้น ไม่เหลือแม้แต่ผู้เดียวที่กล้าต่อกล้าการคารวะจ้าวหุบเหว หมอกทมิฬแผ่ออกมาจากรอยแยกกลืนกินทั้งเมืองต้าหยานไว้ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่ภายใต้หมอกล้วนราวกับโดนดูดพลังชีวิตไปเรื่อยๆ
พลังชีวิตของผู้ที่มิได้หนีไปอ่อนแอลงด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้โดยตาเปล่า แม้สงครามจะยังไม่เริ่มขึ้น แต่ความหวาดเกรงก็กระจายไปทั่วหัวใจของผู้คนที่เหลือ
“ดูเหมือนว่านายเหนือแห่งก้นเหวต้องการจะต่อสู้ถึงตายกับสกุลหลิน”
เมื่อเหล่าตระกูลอื่นๆ ในฉีซานเห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้ หัวใจของพวกเขาราวกับกลายเป็นน้ำแข็ง บางตระกูลที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากต้าหยาน เมื่อเดินทางออกจากบ้านก็ทำการแสดงความเคารพแก่ท่านจ้าวหุบเหวออกมาด้วยเช่นกัน จ้าวห้วงเหวที่น่ากลัวยิ่งจากในตำนาน เมื่อปรากฏกายขึ้นมา ความน่าหวาดหวั่นกลับมายิ่งกว่าในตำนานเสียด้วยซ้ำ!
วันที่สามหลังจากตระกูลประกาศศึกกับจ้าวแห่งเหวลึก ดวงจันทร์และหมู่ดาวส่องประกายสว่างไสว ในค่ำคืนนั้น ฝูงของอสูรมากมายปรากฏตัวขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิดใกล้กับชายขอบแดนรกร้าง
คลื่นอสูรทำเอาผู้คนรู้สึกถึงความสิ้นหวังในหัวใจ กล่าวได้ว่าจำนวนของมันนั้นมืดฟ้ามัวดิน มีทั้งอสูรและปิศาจนับล้านรวมตัวกัน ตระกูลเล็กๆ จำนวนไม่น้อยที่ยังมิทันได้กระทำสิ่งใดก็โดนกลืนหายไปกับการถาโถมมาของพวกมัน
เปลวเพลิงสีดำมืดมนลุกไหม้อยู่บนปลายขนของของอีกาตัวหนึ่ง มันดูราวกับเป็นดวงอาทิตย์ทมิฬกลางท้องฟ้า ใต้ดวงดารา มันเปล่งเสียงที่ทำให้ผู้คนสูญสิ้นซึ่งความมุ่งมั่นในการมีชีวิตอยู่
“คำสั่งของนายท่าน!”
“ฆ่าให้หมด!”
“จากวันนี้เป็นต้นไป ตระกูลทั้งหมดต้องประกาศขัดขาดกับสกุลหลิน! ผู้ใดกล้าต่อต้าน มันผู้นั้นต้องตาย!”
“หากจะต้องการจะกล่าวโทษผู้ใด พวกเจ้าก็โทษสกุลหลินเสียเถิด!”
ฝูงอสูรและปิศาจพุ่งเข้ากวาดต้อนและฆ่าล้างผู้คนในฉีซานทันที ไม่ว่าที่ใดก็ตามที่พวกมันเคลื่อนผ่าน เมืองทั้งเมืองต้องกลายเป็นเศษซาก ไม่หลงเหลือชีวิตใดๆ ในค่ำคืนเดียว ซากศพนับล้านและทะเลเลือดไหลนองเป็นระยะทางกว่าพันลี้!
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตระกูลทั้งหลายรวมถึงกองกำลังทั้งหลายของฉีซานหาได้หันคมดาบเข้าหาจ้าวห้วงเหวไม่ แต่พวกเขาเริ่มประณามตระกูลหลินแทนเสียอย่างนั้น บางส่วนที่อยู่ใกล้กับแดนรกร้างรีบหลบหนีด้วยทุกสิ่งที่มีทันที บ้างถึงขั้นคุกเข่าสวามิภักดิ์กับนายท่านแห่งก้นเหวเสียด้วยซ้ำไป ทิ้งศักดิ์ศรีและความทระนงเพื่ออ้อนวอนขออภัยโทษต่อจ้าวห้วงเหวลึก
ตระกูลเซียวแห่งเมืองอู๋ตันก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขานับกองกำลังที่รวบรวมตระกูลเล็กตระกูลน้อยทั้งหลายไปขอยอมแพ้โดยตรง ร้องขอความเมตตาและขายข้อมูลสกุลหลินทั้งหมดที่มีแก่แดนรกร้าง!
“ท่านพ่อ พวกเราไม่ควร...” เซียวซุ่ยมีสีหน้าซับซ้อน และไม่รู้ว่าต้องการจะพูดสิ่งใด
อย่างไรเสีย เซียวจ้านปรายตามองไปยังบุตรเพื่อให้เขาหยุดพูดเสีย ในดวงตาของเขามีเพียงความเกรี้ยวกราด
“เช่นนั้นพวกเราควรทำสิ่งใด? พวกเราไม่ควร...ไม่ควรทำอะไร ไหนลองเอ่ยออกมา?”
“หากไม่ใช่เพราะสวะแซ่หลินพวกนั้น หากไม่ใช่เพราะพวกมัน! เหตุใดพวกอสูรจึงได้โจมตีพวกเรา?”
“เพียงแค่ชีวิตของเด็กน้อยสวะผู้หนึ่ง เหตุใดจึงไม่ยอมส่งมอบให้แก่จ้าวหุบเหวไปเสีย? ตระกูลที่เล็กกระจ้อยร่อยเช่นสกุลหลินจะต่อต้านนายท่านผู้นั้นได้อย่างไรกัน?”
“เซียนน้อยแล้วอย่างไร? ชีวิตเขาเทียบได้กับคนตระกูลเซียวของข้าหรือ?”
เซียวซุ่ยอ้าปากราวกับต้องการจะเอ่ยบางอย่าง แต่เมื่อนึกถึงชีวิตมากมายที่ถูกพรากไปเมื่อคืนก่อน เขารู้สึกเหมือนมีสิ่งใดกำลังจุกอยู่ในอก และไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้เลย
เขาทำได้เพียงกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือจนโลหิตไหลย้อยเป็นทาง