ตอนที่แล้วเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 57 : พบเจอพายุ เมืองที่แสนโกลาหล!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 59 : จุดจบที่น่าเศร้าของตระกูลหลิน

เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 58 : งานเลี้ยงใหญ่ใกล้เข้ามา!


ตอนที่ 58 : งานเลี้ยงใหญ่ใกล้เข้ามา!

เมื่อข่าวเรื่องการท้าทายจ้าวห้วงเหวแพร่ไปถึงตระกูลหวัง พวกเขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“พวกเจ้ากำลังจะตาย อาศัยความสามารถใดถึงจะต่อต้านนายท่านแห่งเหวลึกได้?”

บนยอดเขาหิมะใกล้สกุลหวัง ประกายแสงสาดส่องออกมาปรากฏเป็นร่างบรรพชนแซ่หวังลอยลงมาจากบนฟ้า

“พวกเจ้า ไปเตรียมของขวัญ พวกเราจะไปยังฉีซานเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของพวกแซ่หลิน!”

“มีหรือข้าจะไม่ไปที่นั่นเพื่อดูการล่มสลายของพวกมันให้เห็นกับตา?!”

งานเลี้ยงครบรอบเดือนที่ตระกูลหลินจัดขึ้นนั้น บัตรเชิญถูกส่งไปยังทุกตระกูลในอาณาจักรฉีซาน แต่ผู้ที่ตอบรับคำเชิญกลับมีไม่มากนัก

นี่เป็นเพราะว่าในสายตาของพวกเขา ตระกูลหลินและจ้าวหุบเหวนับได้ว่าอยู่คนละชั้นกันอย่างสิ้นเชิง

มีแค่สหายเก่าแก่ของบรรพชนสกุลหลินเท่านั้นที่ยินยอมให้ตระกูลของตนตอบรับคำเชิญนี้ แต่พวกเขาเพียงเตรียมของขวัญแสดงความยินดี ไม่ได้ต้องการที่จะข้องเกี่ยวกับคนแซ่หลินมากนัก บางส่วนถึงขั้นรีบหนีคนส่งสาส์นราวกับพบเจอสัตว์อสูรทรงพลังอยู่เบื้องหน้า

ถึงขั้นบางตระกูลปฏิเสธออกมาโดยตรงเพราะไม่อยากกลายเป็นคนโง่งมที่หลงไปติดอยู่ในวังวนสมรภูมิที่กำลังปะทุขึ้น ช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ จิตสังหารมากมายกระจายไปทั่วทั้งโลก

หลังจากที่บรรพชนหลินและจ้าวห้วงเหวประกาศสงครามต่อกัน รอยแตกของอากาศก็ปรากฏเหนือเมืองต้าหยานในวันรุ่งขึ้น ในคราแรก รอยแยกบนความว่างเปล่านี้ยาวเพียงร้อยลี้เท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความยาวของมันกลับกลายเป็นหลายพัน จนถึงหลายหมื่นลี้ ผู้คนทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

รอยแยกนี้ดูคล้ายกับรอยตัดของกระบี่ที่ผ่าแยกท้องฟ้า ให้ความรู้สึกน่าพรั่นพรึง ประกายแสงสีดำหลุดลอดออกมาพร้อมกับปราณปิศาจข้นคลั่ก รอยแยกบนท้องฟ้าดูราวกับกำลังดูดกลืนแสงอาทิตย์ แสงดาว แม้กระทั่งแสงจันทร์ ในรัศมีห้าพันลี้จากมันบรรยากาศเต็มไปด้วยความขมุกขมัว คล้ายวันสิ้นโลกเดินทางมาถึง ก่อให้เกิดความรู้สึกหดหู่และยอมพ่ายแพ้ แม้กระทั่งการหายใจก็กลายเป็นเจ็บปวด

ยิ่งกว่านั้น หลังจากรอยแยกนี้ปรากฏขึ้น กลิ่นอายกดดันและสะกดข่มของจ้าวห้วงเหวก็ตามมา

กระแสปราณที่สามารถกัดกินวิญญาณของผู้คนกระจายไปทั่ว ผืนป่าเหี่ยวแห้ง สายน้ำเหือดหาย สิ่งมีชีวิตนับหมื่นพันเปล่งเสียงร้องโหยหวนก่อนสิ้นใจ เมฆดำมืดปกคลุมท้องฟ้า อากาศหนาหนักจนหายใจลำบาก ผู้คนมากมายตัดสินใจหนีออกจากเมืองต้าหยานไปในที่สุด

คนมากมายของสมาคมการค้าม่านพิรุณและอาทิตย์วสันต์ก็หลบหนีออกไปจนหมดแล้วเนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ที่ใกล้เกิดขึ้น กล่าวได้ว่าแทบจะในชั่วพริบตา เมืองต้าหยานที่ยิ่งใหญ่แทบจะกลายเป็นนครร้างที่แสนโดดเดี่ยว

สายลมพัดผ่าน ภายใต้ท้องฟ้าแสนมืดมน ทางเดินจากหินโบราณสายหนึ่ง มาคนเฒ่าคนแก่บางส่วนอาศัยอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตและไม่ต้องการจะอพยพจากไป ทว่า เมื่อเห็นท้องถนนที่เคยคลาคล่ำไปด้วยผู้คนว่างเปล่าลง หัวใจของพวกเขาก็พลันรู้สึกเหน็บหนาว

“ไม่มีใครเหลืออยู่เลย....”

“เป็นครั้งแรกที่เมืองต้าหยานดูแห้งเหี่ยวเช่นนี้...”

เหล่าหน่วยเฝ้ายามของตระกูลหลิน พวกเขาออกลาดตระเวนดูแลความเรียบร้อยในเมืองต้าหยานเป็นครั้งคราวเช่นกัน เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าและรอยแตกขนาดใหญ่ด้านบน พวกเขาทำได้เพียงข่มความรู้สึกบางอย่างในหัวใจลงและทำหน้าที่ต่อไป

สองวันต่อมา ตระกูลก้าวออกมาช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการจะออกจากเมืองให้อพยพได้อย่างเป็นระเบียบ เมื่อรอยแตกด้านบนส่งเสียงออกมาคราหนึ่ง แรงกดดันก็ตามมาด้วยเช่นกัน กลิ่นอายของจ้าวห้วงเหวเข้มข้นขึ้นทุกที ปราณปีศาจและหมอกดำกำลังกดทับไปทั่วทั้งเมือง

ราวกับว่าสงครามครั้งบรรพกาลได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ไอปราณของจ้าวหุบเหวมุ่งเป้าไปยังสกุลหลินและบริเวณรอบข้าเป็นรัศมีกว่าร้อยลี้

เมื่อใครสักคนต้องการจะไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะหรือคนธรรมดา พวกเขาล้วนต้องโค้งคำนับสามคราก่อนก้มกราบเก้าครั้งแก่ท่านจ้าวหุบเหว ก่อนหน้านี้เคยมีผู้บ่มเพาะบางคนไม่ต้องการจะสูญเสียศักดิ์ศรีของตน และฝืนก้าวออกไป คนเหล่านั้นล้วนระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดสิ้นเพียงย่างเท้าออกไปจากกำแพงเมืองแค่ก้าวเดียว

หลังจากนั้น ไม่เหลือแม้แต่ผู้เดียวที่กล้าต่อกล้าการคารวะจ้าวหุบเหว หมอกทมิฬแผ่ออกมาจากรอยแยกกลืนกินทั้งเมืองต้าหยานไว้ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่ภายใต้หมอกล้วนราวกับโดนดูดพลังชีวิตไปเรื่อยๆ

พลังชีวิตของผู้ที่มิได้หนีไปอ่อนแอลงด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้โดยตาเปล่า แม้สงครามจะยังไม่เริ่มขึ้น แต่ความหวาดเกรงก็กระจายไปทั่วหัวใจของผู้คนที่เหลือ

“ดูเหมือนว่านายเหนือแห่งก้นเหวต้องการจะต่อสู้ถึงตายกับสกุลหลิน”

เมื่อเหล่าตระกูลอื่นๆ ในฉีซานเห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้ หัวใจของพวกเขาราวกับกลายเป็นน้ำแข็ง บางตระกูลที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากต้าหยาน เมื่อเดินทางออกจากบ้านก็ทำการแสดงความเคารพแก่ท่านจ้าวหุบเหวออกมาด้วยเช่นกัน จ้าวห้วงเหวที่น่ากลัวยิ่งจากในตำนาน เมื่อปรากฏกายขึ้นมา ความน่าหวาดหวั่นกลับมายิ่งกว่าในตำนานเสียด้วยซ้ำ!

วันที่สามหลังจากตระกูลประกาศศึกกับจ้าวแห่งเหวลึก ดวงจันทร์และหมู่ดาวส่องประกายสว่างไสว ในค่ำคืนนั้น ฝูงของอสูรมากมายปรากฏตัวขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิดใกล้กับชายขอบแดนรกร้าง

คลื่นอสูรทำเอาผู้คนรู้สึกถึงความสิ้นหวังในหัวใจ กล่าวได้ว่าจำนวนของมันนั้นมืดฟ้ามัวดิน มีทั้งอสูรและปิศาจนับล้านรวมตัวกัน ตระกูลเล็กๆ จำนวนไม่น้อยที่ยังมิทันได้กระทำสิ่งใดก็โดนกลืนหายไปกับการถาโถมมาของพวกมัน

เปลวเพลิงสีดำมืดมนลุกไหม้อยู่บนปลายขนของของอีกาตัวหนึ่ง มันดูราวกับเป็นดวงอาทิตย์ทมิฬกลางท้องฟ้า ใต้ดวงดารา มันเปล่งเสียงที่ทำให้ผู้คนสูญสิ้นซึ่งความมุ่งมั่นในการมีชีวิตอยู่

“คำสั่งของนายท่าน!”

“ฆ่าให้หมด!”

“จากวันนี้เป็นต้นไป ตระกูลทั้งหมดต้องประกาศขัดขาดกับสกุลหลิน! ผู้ใดกล้าต่อต้าน มันผู้นั้นต้องตาย!”

“หากจะต้องการจะกล่าวโทษผู้ใด พวกเจ้าก็โทษสกุลหลินเสียเถิด!”

ฝูงอสูรและปิศาจพุ่งเข้ากวาดต้อนและฆ่าล้างผู้คนในฉีซานทันที ไม่ว่าที่ใดก็ตามที่พวกมันเคลื่อนผ่าน เมืองทั้งเมืองต้องกลายเป็นเศษซาก ไม่หลงเหลือชีวิตใดๆ ในค่ำคืนเดียว ซากศพนับล้านและทะเลเลือดไหลนองเป็นระยะทางกว่าพันลี้!

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตระกูลทั้งหลายรวมถึงกองกำลังทั้งหลายของฉีซานหาได้หันคมดาบเข้าหาจ้าวห้วงเหวไม่ แต่พวกเขาเริ่มประณามตระกูลหลินแทนเสียอย่างนั้น บางส่วนที่อยู่ใกล้กับแดนรกร้างรีบหลบหนีด้วยทุกสิ่งที่มีทันที บ้างถึงขั้นคุกเข่าสวามิภักดิ์กับนายท่านแห่งก้นเหวเสียด้วยซ้ำไป ทิ้งศักดิ์ศรีและความทระนงเพื่ออ้อนวอนขออภัยโทษต่อจ้าวห้วงเหวลึก

ตระกูลเซียวแห่งเมืองอู๋ตันก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขานับกองกำลังที่รวบรวมตระกูลเล็กตระกูลน้อยทั้งหลายไปขอยอมแพ้โดยตรง ร้องขอความเมตตาและขายข้อมูลสกุลหลินทั้งหมดที่มีแก่แดนรกร้าง!

“ท่านพ่อ พวกเราไม่ควร...” เซียวซุ่ยมีสีหน้าซับซ้อน และไม่รู้ว่าต้องการจะพูดสิ่งใด

อย่างไรเสีย เซียวจ้านปรายตามองไปยังบุตรเพื่อให้เขาหยุดพูดเสีย ในดวงตาของเขามีเพียงความเกรี้ยวกราด

“เช่นนั้นพวกเราควรทำสิ่งใด? พวกเราไม่ควร...ไม่ควรทำอะไร ไหนลองเอ่ยออกมา?”

“หากไม่ใช่เพราะสวะแซ่หลินพวกนั้น หากไม่ใช่เพราะพวกมัน! เหตุใดพวกอสูรจึงได้โจมตีพวกเรา?”

“เพียงแค่ชีวิตของเด็กน้อยสวะผู้หนึ่ง เหตุใดจึงไม่ยอมส่งมอบให้แก่จ้าวหุบเหวไปเสีย? ตระกูลที่เล็กกระจ้อยร่อยเช่นสกุลหลินจะต่อต้านนายท่านผู้นั้นได้อย่างไรกัน?”

“เซียนน้อยแล้วอย่างไร? ชีวิตเขาเทียบได้กับคนตระกูลเซียวของข้าหรือ?”

เซียวซุ่ยอ้าปากราวกับต้องการจะเอ่ยบางอย่าง แต่เมื่อนึกถึงชีวิตมากมายที่ถูกพรากไปเมื่อคืนก่อน เขารู้สึกเหมือนมีสิ่งใดกำลังจุกอยู่ในอก และไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้เลย

เขาทำได้เพียงกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือจนโลหิตไหลย้อยเป็นทาง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด