เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 59 : จุดจบที่น่าเศร้าของตระกูลหลิน
ตอนที่ 59 : จุดจบที่น่าเศร้าของตระกูลหลิน
หลังจากข่าวเรื่องของฝูงอสูรขนาดมหาศาลแพร่ออกไป ตระกูลหลินก็ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วง ชีวิตมากมายที่สูญเสียไป ทำเอาสมาชิกสกุลหลินรู้สึกถูกบีบคั้นอย่างยิ่ง ราวกับแรงบีบเค้นนี้จะทำให้พวกเขาไม่อาจแม้กระทั่งจะหายใจ
สามารถกล่าวได้ว่าตระกูลเล็กมากมายที่เคยพึ่งพาพวกเขาต่างก็ตีตนออกหาก พยายามจะหนีให้ไกลจากสกุลหลินให้มากที่สุด
ส่วนคนที่ไม่สามารถหนีได้ก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง พวกเขารู้สึกว่าคงต้องตกตายไปพร้อมกับตระกูลหลินอย่างแน่นอนในครานี้
พายุโหมกระหน่ำ เมืองทั้งเมืองราวกับถูกเขย่าด้วยมือที่มองไม่เห็น
เมืองต้าหยาน ณ โถงประชุมของตระกูลหลิน บรรยากาศกดดันหนักหนาเป็นอย่างยิ่ง
ครานี้ ผู้เข้าร่วมประชุมไม่มากนัก มีเพียงอาวุโสและระดับหัวหน้าฝ่ายต่างๆ เท่านั้น ส่วนเหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลายที่ยังมีความแข็งแกร่งน้อยเกินไปล้วนถูกกันออกจากที่นี่ทั้งสิ้น
เหตุผลเดียวที่มีคนเพียงน้อยนิดในห้องประชุมนี้เป็นเพราะหัวข้อการประชุมหาหลุดออกไปภายนอกคงสร้างความไม่พอใจขึ้นอย่างแน่นอน
“การเตรียมค่ายกลของเราไปถึงไหนแล้ว?” อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ค่ายกลพื้นฐานถูกวางไว้ทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงบางส่วนที่ยังต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการทำให้มันสมบูรณ์ แม้เวลาจะเหลืออีกเพียงผ่านวันก่อนสงครามจะมาถึง แต่ข้ามั่นใจว่าค่ายกลของเราจะเรียบร้อยก่อนถึงเวลานั้น” หลินเฮ่ากล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
อาวุโสคนอื่นพยักหน้ารับ
“แล้วงานเลี้ยงครบรอบเดือนล่ะ? เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทุกสิ่งพร้อมแล้วขอรับ สถานที่และการเตรียมการอื่นๆ เสร็จแล้ว บัตรเชิญก็ถูกส่งออกไปแล้ว เหลือเพียงรอเวลาให้ถึงวันเท่านั้น” หลินเฮ่าเอ่ยตอบอีกครั้ง
“มีใครตอบรับคำเชิญบ้าง?”
“อันที่จริง ไม่มีผู้ใดต้องการที่จะมาแม้แต่ผู้เดียว พวกเขาอ้างเหตุผลสารพัดเพื่อจะปฏิเสธพวกเรา” บัดนี้ สีหน้าของหลินเฮ่าดูขมขื่นอยู่บ้าง
“ไม่ได้เกินจากที่คาดไว้”
ด้านนอกหอประชุม ชายชราชุดขาวเดินมาด้วยรอยยิ้ม ชายแขนเสื้อปลิวล้อลม ใบหน้าผ่อนคลายอย่างยิ่ง
“บรรพบุรุษ!”
“ท่านบรรพบุรุษ!”
บรรพชนหลินโบกมือให้คนในห้องประชุมที่เหลือนั่งลง ก่อนเขาจะนั่งตามและยังคงรอยยิ้มนั้นเอาไว้
“อันที่จริงแล้ว มิคิดเลยว่าเส้นทางหลบหนีที่ข้าได้เตรียมพร้อมไว้หลายปีก่อนจะได้ใช้ประโยชน์จริงๆ”
“พวกเราจะรอจนค่ายกลที่วางไว้เพื่อต้อนรับพวกมันกางเรียบร้อย ในระหว่างการต่อสู้ เราสามารถใช้ค่ายกลหลบหนีของข้าส่งเหล่ารุ่นเยาว์หนีออกไปได้อย่างรวดเร็ว นี้คือสิ่งที่พวกเราควรจะทำ”
บัดนี้ บรรพบุรุษแซ่หลินไม่หลงเหลือความหวาดกลัวใดในแววตา เขามองไปยังทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นและยิ้มอ่อนโยน
“ต่อให้พวกเราจะไม่สามารถต่อต้านจ้าวหุบเหวได้ แต่อย่างไรเสีย เราก็พอจะถ่วงเวลาได้บ้าง เพราะตัวข้าเองก็เหลืออีกเพียงครึ่งก้าวสู่แดนปราณในตำนานเท่านั้น!”
“ไม่ว่าจ้าวแห่งก้นเหวจะแข็งแกร่งเพียงใด การจะโค่นล้มข้ายังต้องใช้เวลาไม่น้อยอย่างแน่นอน”
ได้ยินคำกล่าวของบรรพบุรุษของตน ทั่วทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยความเงียบงัน บรรยากาศในห้องแปลกไปเล็กน้อย
เหล่าคนในห้องนี้ย่อมมิใช่ผู้โง่งม พวกเขารู้ว่าบรรพชนสกุลหลินกำลังหมายถึงสิ่งใด จ้าวห้วงเหวช่างทรงพลังนัก ความจริงแล้วบรรพบุรุษตระกูลหลินเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ เขาเพียงต้องการรั้งศัตรูไว้กับจนระหว่างปล่อยให้รุ่นเยาว์ที่เหลือหนีออกไปจากที่นี่
“ข้า หลินเฮ่า ทำให้ตระกูลหลินต้องผิดหวังแล้ว!”
จู่ๆ หลินเฮ่าก็คุกเข่าลงกับพื้นก่อนโค้งลงก้มกราบอย่างเคารพแก่อาวุโสที่เหลือในห้องด้วยความรู้สึกผิดในหัวใจ หน้าผากของเขาแตะแนบลงดิน ร่างกายสั่นเทา
มุมปากของหลินเฮ่าบิดลงอย่างเจ็บปวด เขารู้ดีว่าหากมิใช่เพราะหลินซวนกินแท่นบูชาห้าสีเข้าไป พวกเขาคงไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์กึ่งเป็นกึ่งตายเยี่ยงนี้ ตระกูลจะยังคงยืนอยู่ ณ จุดเหนือสุดของอาณาจักรฉีซาน ทอดตามองผู้อื่น ไม่ใช่ต้องเจอกับความน่าอับอายอย่างปัจจุบัน
เหล่าอาวุโสขมวดคิ้ว ครู่ต่อมา หลินเปากล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้าจะคุกเข่าทำไม?”
“เจ้าคิดว่าถ้าไม่มีซวนเอ๋อร์แล้วจ้าวหุบเหวจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่รุกรานพวกเรางั้นหรือ?”
“ผายลม!”
“อดีตที่ผ่านมา เขาซุกซ่อนความแข็งแกร่งของตนไว้อย่างยาวนาน เพื่ออะไร? เพื่อให้ถึงวันที่เขาสามารถจะบรรลุแดนปราณขั้นถัดไปได้อย่างไรเล่า! หลังจากนั้น เขาไม่มีทางปล่อยฉีซานให้รอดมือไปได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีซวนเอ๋อร์ก็ตามที!”
อาวุโสคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย “บัดนี้ ผู้อื่นในอาณาจักรเราต่างก็เมินเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกมันช่างโง่งม เมื่อพวกเราไม่สามารถรับต้านทานห้าวหุบเหวได้ พวกมันจะเป็นเหยื่อรายต่อไป!”
ตาแก่จอมฉุนเฉียวคนหนึ่งตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด
“ลุกขึ้นเดียวนี้หลินเฮ่า! เจ้าคือบิดาของเซียนน้อยของพวกเรา เหตุใดจึงกล้าคุกเข่าอย่างขลาดเขลาเช่นนี้!”
เมื่อเหล่าตาแก่หลินทั้งหลายเห็นหลินเฮ่าคุกเข่าลงกับพื้น พวกเขาทั้งโกรธเคืองและเจ็บปวด เจ็บปวดที่ความแข็งแกร่งมีน้อยเกินไปจนไม่สามารถปกป้องลูกหลานของตนได้ แต่เคืองโกรธที่จ้าวแห่งห้วงเหวคุกคามและหยิ่งผยองถึงเพียงนี้
บรรพชนหลินลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อพยุงหลินเฮ่าขึ้นมา
“เจ้าจะคุกเข่าไปเพื่อสิ่งใด? ข้ามิเคยโทษเจ้า!”
“หลินเฮ่า สกุลหลินผ่านอุปสรรคมามากมายในอดีต”
สีหน้าของบรรพชนหลินสงบนิ่ง เขาเดินผ่านไปยังโถงบรรพบุรุษพร้อมมือไขว้หลัง และหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องนั้นเหม่อมองไปยังอดีตอันแสนไกล
“ข้าใช้กระบี่ของตนตัดผ่านความมืดมากมาย แผ้วถางเส้นทางของพวกเรามานับครั้งไม่ถ้วน”
“ครานี้ พายุกระหน่ำ สายฝนถาโถมเข้ามา ภัยพิบัติจากจ้าวห้วงเหวเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”
“อาณาจักรฉีซานเวลานี้ ผู้คนกำลังหัวเราะและร้องไห้ท่ามกลางลมฝน บ้างก็อาศัยหลังคาเพื่อซ่อนตน บ้างกางร่มรอคอยสายรุ้ง มีกระทั่งผู้ที่ยืนมองอย่างเย็นชาจากที่ไกลออกไป และคนที่หันหลังเพื่อวิ่งหนีพายุที่เกิดขึ้น....”
ไกลออกไปบนท้องนภา ความมืดมิดทาทับ เมืองต้าหยานและรัศมีห้าหมื่นลี้โดยรอบตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่การหายใจก็ยากลำบาก
บรรพบุรุษตระกูลหลินยื่นมือออกไปเบื้องหน้าเพื่อผลักประตู สีหน้าเขาค่อยๆ เข้มข้นขึ้นมาอย่างช้าๆ
เขามองไปยังทิศทางของแดนรกร้าง กลิ่นอายรุนแรงสายหนึ่งปะทุออกจากร่าง ความต้องการต่อสู้พวยพุ่งสู่เบื้องบน!
ชายชราหันศีรษะกลับมา ประกายไฟบางอย่างวาบผ่านในตาเขา
“ไม่ว่าผู้อื่นจะทำเช่นใด แต่ตระกูลหลินของข้าจะไม่ซ่อนตัวอย่างคนขี้ขลาดหวาดกลัว!”
“ยืดอกของพวกเจ้าขึ้น! เขาก็เป็นเพียงจ้าวแห้งหุบเหวเท่านั้น หากกล้าที่จะเหยียบเข้ามา เราก็พร้อมจะต่อกร!”
มองไปยังโถงบรรพชนที่กางค่ายกลไว้ บรรพบุรุษสกุลหลินบอกให้เหล่าอาวุโสที่เหลือไปพารุ่นเยาว์ทั้งหลายของตระกูลมาที่นี่ เพื่อที่พวกเขาจะได้ส่งเด็กน้อยทั้งหลายออกไปในวันงานเลี้ยง
ในจวนของหลินเฮ่า หลินซวนนอนอยู่ในอ้อมกอดของซวนยู่และกำลังบ่มเพาะอยู่อย่างเงียบงัน
เขาเองก็รับรู้ได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกเป็นอย่างดี
จ้าวแห่งหุบเหวกำลังจะมาที่นี่เพื่อสังหารล้างตระกูลหลิน รอยแยกสีดำสนิทขนาดใหญ่เบื้องบน และในเมืองบัดนี้เก้าในสิบกลายเป็นอาคารว่างเปล่า
ยิ่งกว่านั้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน สถานะของตระกูลหลินกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง
จ้าวหุบเหวถือได้ว่าเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่มาแต่โบราณ แม้กระทั่งผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดของสกุลหลิน บรรพชนหลินผู้นั้นก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะศัตรูในครานี้ได้
หลินซวนเต็มไปด้วยความกังวล แต่เขาก็รู้ด้วยเช่นกันว่าความวิตกนี้ไร้ประโยชน์ เขาเพียงปล่อยให้อารมณ์ไหลผ่านความคิดไป หันหน้ามุ่งมั่นกับการดูดซับปราณม่วงและสำเนียงแห่งเต๋าที่กักเก็บไว้ในกายของตน
“ข้าควรจะดูดกลืนปราณม่วงและเสียงแห่งเต๋านี้ให้สำเร็จก่อนวันงานเลี้ยง”
“ข้าอาจจะสามารถทำอะไรบางอย่างได้ในวันนั้น”
“ในตอนนั้น จะเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่จะรอดชีวิต”
หลินซวนครุ่นคิดกับตัวเอง ดวงตาปิดแน่น และเข้าสู่ห้วงภวังค์แห่งสมาธิในที่สุด
ระหว่างที่เขากำลังตั้งใจบ่มเพาะตัวเอง เวลาก็เลยผ่านไป
------------
*ใช่คำว่าตีตัวออกหากเพราะเป็นภาษาโบราณนะครับ