STBI : ตอนที่ 7 นิกายกระบี่ซวนเยว่
ในช่วงเช้าที่แดดเผา
แสงแดดอ่อน ๆ ได้แผ่ซ่านไปทั่วท้องฟ้าและปลุกทุกสิ่งให้ตื่นขึ้น
หน้าผา เซียวฮุ่ยชาน
ในที่สุด เสียง ‘ปั้ง ปั้ง ปั้ง’ ที่ดังตลอดทั้งคืนก็หยุดลง และ แทนที่ด้วยเสียงนกที่ขับขานเสียงเพลงอย่างไพเราะ
ไป๋ตงหลิน ที่ฝึกฝนหนักอยู่ทั้งคืนได้นอนอยู่ที่ก้นหน้าผาและไม่อยากจะขยับ เขาปล่อยให้ แสงอาทิตย์ส่องผ่านต้นไม้และโปรยปรายลงมาบนใบหน้าที่อ่อนล้าของเขา
เขาไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย กลับกันเขาอยู่ในสภาพที่ดี เพียงแต่เขารู้สึกชาเล็กน้อยจากการโดดลงมาจากหน้าผานับครั้งไม่ถ้วน
มันเป็นความรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตใจ
ในตลอดทั้งคืนที่เขากระโดดลงมาทำให้พื้นที่หินโดยรอบทั้งหมดถูกย้อมเปลี่ยนเป็นสีแดง
เขาได้เดินไปบนเส้นทางแห่งความตายนับ 10 ครั้ง แม้กระทั่งบาดเจ็บสาหัสนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ทว่าตอนนี้เขากลับแข็งแรงดี ไม่มีอาการผิดปกติ หรือกระทั่ง เจ็บปวดรวดร้าวอันใด
ในเวลานี้สัมผัสของความตื่นเต้นได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ความพยายามตลอดทั้งคืนของเขา ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
ความก้าวหน้า แบบนี้ช่างน่ากลัวมากจริง ๆ
จะบอกว่าเทคนิคการฝึกฝนเช่นนี้ ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้ ในผืนดินอันกว้างใหญ่นี้ แม้แต่คนที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ก็ไม่มีทางที่จะฝึกฝนและได้รับผลลัพธ์ที่ดีได้ในชั่วข้ามคืนแบบนี้
ไป๋ตงหลิน รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ เพราะทั้งหมดนี้สำเร็จได้ด้วยความพยายามของเขาเอง โดยอาศัย ทั้งเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อของเขา มันเป็นการพึ่งพาโดยการทำให้ตัวเองตาย
ความมุมานะเช่นนี้ ช่างสุดยอดเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกขี้อวดและออกไปเที่ยวเล่นไปทั่ว
เขาลุกขึ้นยืนด้วยสภาพที่เปลือยกาย นอกจากกางเกงที่มีสภาพซ่อมซ่อในปัจจุบัน เขาก็ไม่ได้สวมใส่สิ่งอื่นใดอีก ในเวลานี้ เขาได้ปัดฝุ่นที่ตัวและปีนขึ้นไปบนยอดเขาอีกครั้ง
ด้วยสมรรถภาพทางร่างกายในปัจจุบัน ประกอบกับประสบการณ์ในการปีนหน้าผาตลอดทั้งคืน ทำให้เขาสามารถปีนขึ้นไปข้างบนยอดเขาได้อย่างง่ายดาย
เขาสวมเสื้อผ้าที่เปียกปอนไปด้วยน้ำค้าง และ สับเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่ ก่อนที่จะรีบวิ่งกลับไปทาง ตำหนักฉิงโหยว
เขาแค่อยากจะอาบน้ำให้สบายตัวและพักผ่อนให้เพียงพอ
การฝึกฝนวรยุทธ์นั้นให้ความสำคัญกับการผสมผสานระหว่างการปฏิบัติและการพักผ่อน จุดมุ่งหมายของการแข็งแกร่งขึ้นก็คือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ดังนั้น เขาจึงไม่คิดจะรีบร้อน
ตอนนี้ทุกอย่างได้ถูกวางรากฐานเอาไว้หมดแล้ว ที่เหลือเขาก็แค่ค่อย ๆ ก้าวไปสู่จุดที่แข็งแกร่ง โดยไม่ผิดพลาดระหว่างทาง
โดยสิ่งเริ่มต้นก็คือการหมั่นดูแลตัวเอง
เขากลับไปที่บ้านของเขาด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเมื่อคืนก่อนหลายเท่า ทั้งนี้มาจากการฝึกฝนของเขา หลังจากเทน้ำเติมลงไปในบ่อน้ำในสวน เขาก็ลงไปชำระล้างร่างกายเพื่อคลายความอ่อนล้าในทันที
หลังจากขจัดคราบโลหิตเสร็จภายใต้การกระตุ้นของน้ำที่เย็น เขาก็ไม่มีอาการง่วงเลยเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเขาก็กลับไปพักสายตาครู่นึง
จากนั้นเขาก็ตื่นในช่วงบ่าย และ ไปที่ตำหนักจื่อหยุน เพื่อป้อนอาหารนก และ รับประทานอาหารเย็นกับท่านป้าของเขา
ตกช่วงเย็น เขาได้แอบย่องไปที่ภูเขาเซียวฮุ่ยชาน เพื่อฝึกฝนวรยุทธ์ และ ใช้ชีวิตในช่วงกลางวันและกลางคืนตามปกติ
…
ประเทศหนานหยาง
หยูโจว เทือกเขา อวี้ฮวา
“สำนักฝึกกระบี่!”
ภูเขาอวี้ฮวา อยู่ห่างออกไปไกลหลายพันลี้ ที่นี่คือพื้นที่ส่วนตัวของนิกายกระบี่แห่งแรกของประเทศหนานหยาง นิกายกระบี่ซวนเยว่
นิกายกระบี่ซวนเยว่ ตั้งอยู่บนภูเขา อวี้ฮวา โดยก่อสร้างขึ้นเป็นพระราชวังที่มีลูกคลื่นเรียงเป็นชั้น ๆ มันค่อนข้างสง่างามตระการตา ภายในพื้นที่ป่า มีเหล่าลูกศิษย์ลูกหา ทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งในการเก็บสมุนไพร และ เฝ้าระวัง
ทว่า ในเวลานี้ กลับมีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดในตำหนักจันทรา เหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของนิกายต่างมาประชุมกันด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“ท่านประมุข รีบตัดสินใจเถอะ! นี่ก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่ข้าเชื่อว่ายอดเขาเพลิงนิรันดร์ของข้านั้นเหมาะสมที่สุด”
ชายชราที่มีเคราสีแดงและถือกระบี่สีแดงเพลิงโกรธจนตาลุกเป็นไฟ
“ข้าเชื่อว่า ทุกคนเองก็น่าจะรู้จักความสามารถของเขาเพลิงนิรันดร์ของข้าเป็นอย่างดี!”
ทันทีที่สิ้นสุดเสียงของเขา เขาก็ยักไหล่ขึ้นด้วยความมั่นใจ
“บ้านแกเถอะ ฮั่วกุ้ย เจ้าคนหน้าไม่อาย เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าเจ้าหวังโควต้านี้มาตั้งนานและคิดจะครอบครองมันคนเดียวหรอกเหรอ?”
“เขาสันโดษของข้าไม่เห็นด้วย!”
“เขาพฤกษาเองก็ไม่เห็นด้วย!”
“ข้าด้วย!”
“ข้าก็ด้วย!”
“!!!”
ประมุข เฉินซวนเฟิง มองไปที่ห้องโถงด้วยท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูก แม้ว่าสถานการณ์ในปีนี้จะพิเศษ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจจริง ๆ
นอกจากทำตัวเสียงดัง และ ดูไม่เหมาะสม คนเหล่านี้ยังดูเหมือนเหล่าผู้อาวุโสอยู่อีกหรือไม่? นี่ช่างเป็นเรื่องน่าละอายของนิกายซวนเยว่ของข้าอย่างแท้จริง
หากปล่อยให้นิกายซวนเยว่มีสภาพเช่นนี้ต่อไป ข้าจะมีหน้าไปเจอท่านบรรพบุรุษได้อย่างไร
ประมุข เฉินซวนเฟิง รู้สึกเหนื่อยล้าทางใจ เขาได้กระแอมไอออกมาสองครั้ง
“อะแฮ่ม!”
“อะแฮ่ม!”
ทว่าเสียงโต้เถียงก็ยังดังเจี๊ยวจ๊าวกันไม่หยุด
“พอได้แล้ว เงียบทั้งหมดนั่นแหล่ะ!”
เฉินซวนเฟิง ได้ตบโต๊ะอย่างรุนแรง เจตจำนงค์กระบี่ได้ปกคลุมไปทั่วภูเขาอวี้ฮวา จนทำให้โลกทั้งใบพลันเงียบสงัด แม้แต่ นก สัตว์ป่า แมลง งู หนู และ มด ต่างพากันหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
เหล่าผู้อาวุโสของยอดเขาทั้งหมดต่างกลับมายังที่นั่งและนั่งลงอย่างเงียบ ๆ
“เฮ้อ เผลอไปทำให้ท่านประมุขโกรธซะแล้วสิ่ ข้าคิดว่าพวกเราควรมาจับเข่าพูดคุยกันดี ๆ ดีกว่า!”
ชายชราที่ดูดุร้ายและเป็นตัวต้นเหตุของเรื่อง ได้กล่าวพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ใช่แล้ว ข้าก็คิดเช่นนั้น”
“ข้าเห็นด้วย”
“ท่าทีของพวกเราก่อนหน้านี้ช่างไม่สง่างามเสียจริง ข้าคิดว่าพวกเราควรมาพูดคุยกันอย่างสันติ!”
ในเวลานี้ น้ำเสียงของแต่ละคนดูอ่อนนุ่มขึ้นมาก
“ใช่ ใช่ ไม่แปลกใจเลยที่ข้ามีชีวิตอยู่มานานกว่า 2,000 ปี แล้วยังจะเป็นสุนัขตัวคนเดียว ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก!”
จากเสียงที่ดังปกคลุมไปทั่วห้องโถง
ในเวลานี้กลับเป็นเพียงเสียงกระซิบเบา ๆ เท่านั้น
เหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างให้ความเคารพในตัวประมุขของพวกเขามาก เห็นได้ชัดจากท่าทีที่พวกเขาแสดงออกต่อจากนี้
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก เฉินซวนเฟิง ก็กล่าวพูดออกมาอย่างช้า ๆ :
“ในเมื่อไม่มีใครสามารถเกลี้ยกล่อมใครได้ ก็มาตัดสินด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้า ให้แต่ละคนส่งตัวแทนศิษย์ที่ดีที่สุดออกมา ใครก็ตามที่ชนะ ก็จะได้รับโควต้าไป!”
“ทั้งนี้ให้เหล่าศิษย์แข่งขันกันเอง พวกเจ้าไม่ได้อนุญาติให้เข้าร่วมด้วย!”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน พบว่ามีร่องรอยของปีศาจทางตอนใต้ ใครก็ตามที่ฆ่าพวกปีศาจได้มากที่สุด ให้นับเป็นผู้ชนะ!”
“กำหนดระยะเวลา 6 เดือน ผู้ชนะจะได้รับโควต้า ผู้แพ้จะต้องถอยออกไป!”
ผู้อาวุโสทุกคนต่างมองหน้ากัน ดูเหมือนว่า ท่านประมุข จะตัดสินใจได้อย่างยอดเยี่ยม และ นี่น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ฝีมือกระบี่ของพวกเขาแต่เดิมก็เป็นรุ่นที่ค่อนข้างสูสีกัน ไม่มีใครมั่นใจว่าจะสามารถชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน และ การแข่งขันกันล่าปีศาจในครั้งนี้ ก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล
ดังนั้น ผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขาจึงยื่นขึ้นพร้อมกับป้องมือพร้อมกัน :
“พวกเราน้อมรับคำสั่งท่านประมุข!”
หลังจากพูดจบ พวกเขาก็กลายร่างเป็นกระบี่และหายตัวไป
ยอดเขาเก้าสี
แสงกระบี่ที่สร้างโดย ยอดปรมาจารย์ หลี่ซินฮวา ได้ตกลงมาที่กลางห้องโถง หลังจากแสงกระบี่หายไป หญิงสาว ที่ดูมีอายุราว 27-28 ปี ก็ปรากฏตัวออกมา
นางเป็นสตรีที่สง่าผ่าเผย อีกทั้งยังมีนัยน์ตาที่อ่อนหวาน และ สีหน้าท่าทางที่ดูไร้เดียงสา
“ไป๋น้อย! ไป๋น้อย! เจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกัน!”
“รีบออกมาหาข้าเร็ว อาจารย์มีข่าวดีจะบอก!”
“ไป๋น้อย!”
ในเวลานี้เอง สตรีในชุดสีเขียวก็ออกมาทักทาย หลี่ซินฮวา :
“ท่านอาจารย์! ศิษย์น้องกำลังฝึกกระบี่อยู่ที่ภูเขาด้านหลัง!”
“ท่านอาจารย์โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปตามศิษย์น้องมาให้!”
“ไม่จำเป็น พวกเราไปด้วยกันเนี่ยแหล่ะ!”
หลังจากพูดเสร็จ นางก็คว้าไหล่ของ หลิวอี้ และ กลายเป็นแสงกระบี่หายตัวไป
ยอดเขาเก้าสี ด้านหลังภูเขา ข้างสระล้างกระบี่
มีบุรุษหนุ่มในชุดขาวที่หลับตานั่งไขว่ห้างอยู่ที่ริมสระ ที่ขาของเขามีกระบี่ยาวพร้อมฝัก ตัวกระบี่เป็นสีขาวเขามีผมที่ค่อนข้างยาว ผมที่ยาวสลวยของเขาได้ปลิวไปตามแรงลมในปัจจุบัน
หน้าตาของเขาสะอาดหมดจดคล้ายกับผู้อมตะ
ทันใดนั้น บุรุษคนนี้ก็ลืมตาตื่นขึ้น นัยน์ตาที่คมกริบของเขาได้ส่องสว่างเจิดจ้าในทันที
“ถึงเวลาแล้วงั้นหรือไม่!”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นและมองไปยังทิศทางที่กระบี่ยาวพุ่งเข้ามา
หลังจากที่ หลี่ซินฮวา ลงจอด บุรุษคนนั้นก็เอนตัวไปข้างหน้า :
“ลูกศิษย์คำนับท่านอาจารย์! ทำความเคารพศิษย์พี่หลิว ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มาหาข้าเร่งด่วนเช่นนี้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่?”
“ข่าวดี ข้ามีข่าวดี เสี่ยวไป๋ เจ้าลองทายสิว่าข่าวดีที่ว่าคืออะไร?”
เมื่อมองไปที่ หลี่ซินฮวา ที่กำลังดึงแขนของเขาพร้อมกับกระโดดไปรอบ ๆ บุรุษคนนี้ก็ดูทำตัวไม่ถูก อาจารย์ของเขาก็มีร่างกายเหมือนกับเขา นั่นก็คือร่างจิตกระบี่
ในเวลานี้ เขาได้ครุ่นคิดในใจก่อนที่จะกล่าวออกมา :
“เหตุผลที่ทำให้ท่านอาจารย์ดูมีความสุขเช่นนี้ เป็นเพราะเงื่อนไขโควต้าได้เปลี่ยนไปใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของ หลี่ซินฮวา ได้ทรุดตัวลง ความตั้งใจของนางได้กลายเป็นหดหู่ในทันที จากนั้นนางก็กล่าว :
“เสี่ยวไป๋ เจ้ามันทั้งเก่งและฉลาด ไม่สนุกเอาซะเลย!”
จากนั้นนางก็กล่าวพูดต่อ
“ในบรรดาศิษย์ของเขาเก้าสี พวกเจ้าสองคนมีระดับการฝึกตนที่สูงที่สุด ดังนั้น ข้าจะให้พวกเจ้าลงเขาไปพร้อมกัน”
หลังจากลังเลเล็กน้อย นางก็หยิบ กระบี่หยกสองเล่มออกมา และ หนึ่งในนั้นได้ถูกมอบให้กับเขา
“นี่คือ กระบี่ยันต์ที่สร้างขึ้นโดยข้า มันสามารถช่วยชีวิตพวกเจ้าได้ในช่วงเวลาวิกฤติ ท่านประมุขห้ามมิให้พวกเราเหล่าผู้อาวุโสเข้าไปแทรกแซง ถ้าเกิดเจ้าใช้กระบี่ยันต์ขึ้นมา จะถือว่าเป็นการสละโควต้า”
หลี่ซินฮวา กล่าวพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังซึ่งหาดูได้ยาก :
“ถึงโค้วต้าจะดี แต่ชีวิตก็มีค่ามากกว่า!”
“หลิวอี้ เสี่ยวไป๋ พวกเจ้าสองคนไปเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวลงจากภูเขาทันที!”
“ขอรับ/ค่ะ ท่านอาจารย์”
ทั้งสองคนได้ยื่นมือออกไปด้วยความเคารพและตอบกลับ จากนั้นทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นแสงกระบี่และหายตัวไปทันที