เกิดใหม่เป็นลิโป้ ตอนที่ 7
เกิดใหม่เป็นลิโป้ ตอนที่ 7
"ท่านทั้งหลายมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อกำจัดทรราชตั๋งโต๊ะ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น และการจะรวมกำลังได้อย่างประสิทธิภาพนั้นก็จำต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน" ทันทีที่เข้ามาในกระโจม อ้วนเสี้ยวก็นั่งลงบนเก้าอี้แถวแรกพร้อมเอ่ยเข้าประเด็นทันที
"อืม ที่นี่ประกอบด้วยเจ้าเมืองหลายคน พวกเราจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำที่คอยบัญชาการ" อองของเจ้าเมืองโห้ลายเอ่ยสนับสนุน
อ้วนเสี้ยวกวาดสายตามองเหล่าเจ้าเมืองที่อยู่ภายในกระโจม ไม่ช้าสายตาของเขาก็ค่อยๆหยุดลงที่ลิโป้ "ข้าอ้วนเสี้ยวมีความเห็นว่า แม่ทัพลินำทัพทำศึกกับโจรชั่วตั๋งโต๊ะมาโดยตลอด ความกล้าหาญเป็นที่ประจักษ์แจ้ง หากแม่ทัพลิขึ้นเป็นผู้นำของกองทัพพันธมิตร ข้ามั่นใจว่าการปราบตั๋งโต๊ะจะต้องประสบความสำเร็จ"
"เหอะ ลิโป้มีความสามารถอะไรกัน มีดีแค่ความกล้าหาญก็เท่านั้น" อ้วนสุดแค่นเสียงเอ่ยดูแคลน
ลิโป้เหลือบมองอ้วนสุดคราหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า "พรสวรรค์และความสามารถของผู้แซ่ลิยังตื้นเขินนัก ยังไม่เพียงพอจะแบกรับหน้าที่สำคัญนี้ ตระกูลอ้วนเป็นตระกูลขุนนางใหญ่รับใช้ราชสำนักมาหลายชั่วคน มีสมาชิกในตระกูลที่รับราชการอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน ข้าคิดว่าควรให้ท่านอ้วนเสี้ยวขึ้นเป็นผู้นำของกองทัพพันธมิตร เพื่อที่จะสามารถรวมใจผู้คนทั่วหล้า"
"เจ้า....." สีหน้าของอ้วนสุดแปรเปลี่ยนจนปั้นยาก ตัวเขาเป็นทายาทสายตรงที่ถูกตั้งตัวเป็นผู้สืบทอดตระกูลคนถัดไป ขณะที่อ้วนเสี้ยวนั้นเป็นเพียงบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาก็เท่านั้น กระนั้นอ้วนเสี้ยวกลับได้รับการเสนอชื่อจากลิโป้
"เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เอาตามที่แม่ทัพลิกล่าวเถอะ" โจโฉกล่าวเสริมขึ้น สิ่งที่ลิโป้กล่าวนั้นตรงกับสิ่งที่เขาคิดอยู่พอดี
"ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจของพวกท่าน ทว่าข้าเพียงเป็นขุนนางตัวเล็กๆ ข้าจะกล้ารับตำแหน่งผู้นำแห่งกองทัพพันธมิตรสิบแปดหัวเมืองได้อย่างไร" อ้วนเสี้ยวเอ่ยปากปฏิเสธ
แต่ภายใต้การคะยั้นคะยอของเหล่าเจ้าเมือง ในที่สุดอ้วนเสี้ยวก็ยอมรับตำแหน่งผู้นำกองทัพพันธมิตร เขาจดจำท่าทีของเหล่าเจ้าเมืองไว้ และเขาก็มีความประทับใจที่ดีต่อลิโป้
"ในเมื่อทุกท่านเลือกข้าเป็นผู้นำ เช่นนั้นพวกท่านก็จะต้องรับฟังการแจกแจงหน้าที่จากข้า พวกเราทั้งหลายมารวมตัวกันก็เพื่อโค่นล้มโจรชั่วตั๋งโต๊ะ ดังนั้นอย่าได้ประพฤตินอกลู่ ผู้ที่สร้างความดีความชอบย่อมได้รับรางวัล และผู้ที่ล้มเหลวย่อมได้รับการลงโทษ" หลังจากที่ลงนามในคำปฏิญาณโลหิต อ้วนเสี้ยวที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็กล่าวด้วยเสียงจริงจัง
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดเอ่ยปากคัดค้าน อ้วนเสี้ยวก็กล่าวสืบต่อ "ให้เจ้าเมืองอ้วนสุด รับหน้าที่เป็นแม่ทัพคุมเสบียง คอยดูแลจัดส่งเสบียงกรังให้กองทัพอย่าได้ขาด"
"ขอรับ" อ้วนสุดรู้สึกยินดี แม้จะไม่ได้เป็นผู้นำกองทัพพันธมิตร แต่แม่ทัพคุมเสบียงนั้นก็ยังเป็นตำแหน่งที่สำคัญ คอยดูแลควบคุมเสบียงของทัพทั้งหมด ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้ใดก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกัน เป็นครั้งแรกที่อ้วนสุดรู้สึกว่าญาตผู้พี่ที่น่ารังเกลียดของตนดูน่ารักขึ้นมา
"ไม่ทราบว่ามีผู้ใดอยากจะอาสาเป็นทัพหน้าหรือไม่?" อ้วนเสี้ยวถามขึ้นขณะกวาดสายตามองเหล่าเจ้าเมือง
"ข้าขออาสา" ซุนเกี๋ยนลุกขึ้นยืน
"เหวินไถ[1] กล้าหาญ เหมาะสมกับหน้าที่สำคัญนี้" อ้วนเสี้ยวพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ "เจ้าเมืองที่เหลือให้ตระเตรียมกำลังพลและม้า เตรียมเคลื่อนกำลังไปด่านกิสุยก๋วน"
[1 ชื่อรองของซุนเกี๋ยน]
..........
"ขอเรียนถาม ท่านคือแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ แม่ทัพลิโป้ใช่หรือไม่? ข้าคือกองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเป๋ง"
"เลื่อมใสมานานๆ ที่แท้ท่านก็คือท่านกองซุนจ้านนี่เอง" ลิโป้รีบกุมมือคารวะตอบ เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองจะกลายเป็นแม่ทัพเลื่องชื่อไปเสียแล้ว มิน่าล่ะอ้วนเสี้ยวถึงได้มีสีหน้าลังเลก่อนจะเสนอชื่อเขาเป็นผู้นำทัพพันธมิตร
"แม่ทัพลิ คำสั่งทางทหารถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าคงต้องขอตัวก่อน เอาไว้ในภายภาคหน้า ข้าจะขอจัดเลี้ยงท่านแม่ทัพสักครา"
"ไม่ต้องรีบๆ ด้านหลังของท่านกองซุนใช่เป็นสามพี่น้องเล่ากวนเตียวใช่หรือไม่?" ลิโป้ที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจากบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังของกองซุนจ้านพลันเอ่ยถามขึ้น
"โอ้ แม่ทัพลิรู้จักพวกเขาด้วย?" กองซุนจ้านถามอย่างสนอกสนใจ
"ย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงมา สามพี่น้องเล่ากวนเตียวสาบานตนเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ออกปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง สร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ยังมีผู้ใดไม่รู้จัก?" ลิโป้ทอดถอนใจชมเชย
"แม่ทัพลิช่างมีสายตากว้างไกล ไม่เหมือนคนบางคน เพียงมีนัยน์ตาสุนัขงอกเงยเท่านั้น ฮ่าๆ" เตียวหุยหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
เตียวหุยกล่าวด้วยเสียงอันดัง เสียงหัวเราะยิ่งทำให้อ้วนสุดที่เพิ่งเดินออกมาจากกระโจมต้องหน้าเขียวคล้ำ อ้วนสุดแค่นเสียงคำหนึ่งก่อนจะเดินจากไป
กองซุนจ้านได้แต่ฝืนยิ้ม แบบนี้ตนคงไม่พ้นถูกอ้วนสุดหมายหัวเอาเสียแล้ว
"ฮ่าๆ นี่คงเป็นพี่อี้เต๋อ[2] แล้ว ช่างเป็นผู้ที่กล้าหาญสัตย์ซื่อ ตรงไปตรงมาดั่งคำร่ำลือ เอาไว้วันหลังพวกเราต้องดื่มด้วยกันสักคราแล้ว" ลิโป้หัวเราะ
[2 ชื่อรองของเตียวหุย]
"ชมเกินไปๆ ได้ยินมาว่าแม่ทัพลิเป็นแม่ทัพผู้เยี่ยมยุทธ์ ข้าเลยอยากจะขอคำชี้แนะสักหน่อย" ยิ่งมอง เตียวหุยก็ยิ่งรู้สึกว่าลิโป้ผู้นี้น่ามอง แต่แม้แต่ตัวเขาเองคงคิดไม่ถึงว่า ในประวัติศาสตร์ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปนั้น ตนเป็นผู้ที่ริเริ่มเรียกลิโป้ว่า “ไอ้ลูกสามพ่อ ไอ้คนสามแซ่”
"อี้เต๋อ อย่าได้เสียมารยาท" เล่าปี่ก้าวออกมาพลางกุมมือคารวะ "หากว่าน้องชายของข้าล่วงเกินที่ใดไป หวังว่าท่านแม่ทัพลิจะไม่ถือสา"
"ไม่หรอกๆ เป็นเรื่องปกติของนักรบผู้กล้า" ลิโป้โบกไม้โบกมือ ได้ประมือกับแม่ทัพที่ร้ายกาจอย่างเตียวหุย ตัวเขาคงจะได้รับประสบการณ์มากมาย
หลังจากกล่าวสนทนากันอีกเล้กน้อย พวกเขาก็เอ่ยลากัน จากนั้นลิโป้ก็รีบเดินเข้าไปทักซุนเกี๋ยน "พี่เหวินไถโปรดชะลอฝีเท้า"
"โอ ท่านแม่ทัพลิมีคำชี้แนะใด?" ซุนเกี๋ยนถาม
"แม่ทัพซุนโจมตีด่านกิสุยก๋วนครั้งนี้ ต้องแน่ใจว่ามีหญ้าเสบียงกรังเพียงพอ และข้าเกรงว่าจะมีบางคนที่มีจิตใจคิดไม่ซื่อคอยขัดขวาง" ลิโป้กล่าวกระตุ้นเตือน
"ย่อมแน่นอน ดั่งคำกล่าวที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แต่เราผู้แซ่ซุนรับหน้าที่เป็นทัพหน้ากรุยเบิกเส้นทางให้ ยังมีผู้ใดคิดไม่ซื่อด้วย? แม่ทัพลิกังวลเกินไปแล้ว" ซุนเกี๋ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ
"แม่ทัพซุน...." ลิโป้กำลังจะกล่าวต่อแต่ก็ต้องหยุดลง แม้ว่าในประวัติศาสตร์ครั้งก่อนจะถูกบันทึกเอาไว้เช่นนั้น แต่ในครั้งนี้มันก็ไม่แน่เสมอไป อีกทั้งการทำเช่นนี้ยังเป็นการไปล่วงเกินทั้งซุนเกี๋ยนและอ้วนสุดโดยไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนอีกด้วย
"แม่ทัพลิ ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องกระทำ เอาไว้พูดคุยกันวันหลัง"
"เฮ้อ" ลิโป้ถอนหายใจ คิดกับตนเองอย่างหดหู่ ทุกคนย่อมมีเส้นทางของตัวเอง ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกนั้นมีผู้คนอยู่มากมาย หรือยังคิดว่าตนเองจะสามารถเข้าไปกล่าวเตือนได้ทุกคน? เอาเป็นว่าทำตัวเองให้ดีก่อน ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่บิดาบุญธรรมของเขาเต๊งหงวนยังไม่อาจหลีกเลี่ยงจากโชคชะตา
"ท่านแม่ทัพ อ้วนสุดผู้นั้นดูไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี ทัพปิงโจวของพวกเราและทัพเสเหลียงของตั๋งโต๊ะก็รบกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง กระนั้นเขาก็ยังดูแคลนท่านแม่ทัพ หากไม่ใช่เพราะแม่ทัพโกหยุดข้าเอาไว้ ข้าคงจะเข้าไปสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาไปแล้ว" หลังจากกลับมาถึงค่ายของตน โจเส็งก็กล่าวขึ้นอย่างพลุ่งพล่าน แม้แต่โกซุ่นที่มักจะสงบนิ่งอยู่เสมอก็ยังมีสีหน้ามืดครึ้ม
"ช่างเถอะ นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หลังจากแยกย้ายกลับไปแล้ว ให้สั่งการให้ไพร่พลสวมเกราะพกพาอาวุธไว้กับตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะในยามกลางคืน ให้เพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการตรวจตรา ป้องกันเหตุเปลี่ยนแปร" ลิโป้ไม่ได้ยึดถือคำดูถูกดูแคลนของอ้วนสุดมาใส่ใจ หากอยากจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น เช่นนั้นเขาก็จะต้องแสดงความสามารถออกมา
"ขอรับ" โจเส็งและโกซุ่นกุมมือขานรับ
"ส่งพลสอดแนมไปจับตาดูการเคลื่อนไหวกองกำลังของซุนเกี๋ยนและคอยรายงานกลับมา" ลิโป้ยังคงกังวลอยู่ เวลานี้กล่าวได้ว่าขุมกำลังของเขานับว่าค่อนข้างอ่อนแอหากเทียบกับกองกำลังของเจ้าเมืองคนอื่นๆ การมองการณ์ไกลนั้นสามารถสร้างโอกาสในการที่จะได้คบหาเป็นมิตรสหายกับเจ้าเมืองคนอื่นๆเพื่อวางรากฐานเอาไว้ใช้ในภายภาคหน้า
ในด้านการข่าวกรอง ทัพปิงโจวสามารถปฏิบัติภารกิจได้เป็นอย่างดี ภายในรัศมีสามสิบลี้ การเคลื่อนไหวทุกประการจะถูกรายงานถึงโจเส็งอย่างรวดเร็ว เขามั่นใจว่าในบรรดากองกำลังของเหล่าเจ้าเมืองนั้น คงมีเพียงไม่กี่คนที่มีความสามารถถึงขีดขั้นนี้
พลสอดแนมที่ดีจะต้องรับข้อมูลจากรอบด้าน อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการขี่ม้ายอดเยี่ยมด้วย
............
ที่หน้าด่านกิสุยก๋วน ซุนเกี๋ยนมองประเมินด่านปราการที่อยู่ไกลๆด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถตีหักด่านแห่งนี้
"รายงานท่านแม่ทัพ เปาต๋ง น้องชายของเปาสิ้นเจ้าเมืองเจปักได้นำทัพบุกตีด่านกิสุยก๋วนก่อนทัพเรา และถูกสังหารโดยฮัวหยงที่เฝ้ารักษาด่านแล้วขอรับ"
"เปาสิ้นกลับลงมือชิงตัดหน้า" ซุนเกี๋ยนถอนหายใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของลิโป้ก่อนที่จะออกมา ดูเหมือนจะมีคนพยายามจะแย่งชิงความดีความชอบและคอยกระตุกขาหลังเขาจริงๆ นี่ทำให้ซุนเกี๋ยนต้องนิ่งเงียบไป จากนั้นเขาก็ใจหายวาบ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกิดปัญหากับหญ้าเสบียง?
"เต๋อโหมว[3] รีบนำคนไปตรวจนับเสบียง"
[3 ชื่อรองของเทียเภา]
"ขอรับ" เทียเภากุมมือรับคำ
วันรุ่งขึ้น ซุนเกี๋ยนก็สั่งเคลื่อนกองกำลังของเขาไปที่หน้าด่านกิสุยก๋วนและรักษาระยะห่างเอาไว้ ซุนเกี๋ยนยกชูดาบพลางด่าทอ "พวกโจรชาติชั่ว! ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก? หรือจะรอให้พวกข้าปิดล้อมจนตาย!"