เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 56 : เชื่อมั่นในกระบี่สามฉื่อ สังหารมังกรวายุที่ขวางทาง
ตอนที่ 56 : เชื่อมั่นในกระบี่สามฉื่อ สังหารมังกรวายุที่ขวางทาง
ไกลออกไป บรรพชนหวังกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขามิได้รับรู้เลยว่าเซียนน้อยแซ่หลินนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงทารกคนหนึ่งเท่านั้น
..........
บรรยากาศทางด้านตระกูลหลินบัดนี้ปกคลุมไปด้วยความแปลกประหลาดบางประการ
ฝนกำลังกระหน่ำเข้าใส่เมืองต้าหยาน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำที่ดูมืดมนเป็นพิเศษ สายฟ้านับหมื่นคำรามก้องอยู่ในด้านบน
แม้สายฝนจะยังคงโปรยปรายลงมา แต่ก็มองเห็นได้ถึงรถม้าและอาชาเต็มไปหมดในเมือง เหล่านี้ล้วนเป็นสกุลร่ำรวยทั้งหลายที่กำลังเก็บเงินทองของตนบรรจุหีบเตรียมจะหนีไปจากเมืองนี้ สามวันมาแล้วที่จ้าวห้วงเหวได้ประกาศศึกขึ้น
ไม่มีข่าวใดเล็ดลอดออกจากตระกูลหลิน อย่างไรก็ตาม เหนือเมืองต้าหยานขึ้นไป มีม้วนคัมภีร์เล่มหนึ่งสีดำสนิทกำลังล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้าและสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สิ่งนี้คือประกาศิตสงครามจากจ้าวหุบเหว ต่อให้เหล่าอาวุโสสกุลหลินจะพยายามทำลายมันกี่ครั้งกี่ครา แต่ราวกับว่ามันเป็นสมบัติอมตะ ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันก็ยังคงลอยเด่นอยู่ตรงนั้น
แม้ในม้วนประกาศิตนี้จะไม่มีตัวอักษรอยู่เลยสักตัวเดียว แต่กลิ่นอายที่มันปล่อยออกมาก็มากพอจะทำให้หัวใจของผู้คนสั่นกลัว ประกายแสงดำมืดเปล่งออกมาราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง เมื่อใครก็ก็ตามจ้องมองมันก็อดไม่ได้ที่จะถูกความรู้สึกหวั่นเกรงจู่โจมใส่สมองทันที
ประกาศิตลอยอยู่เหนือเมืองต้าหยานอย่างพอดิบพอดี กล่าวได้ว่านี่เป็นการยั่วยุอย่างหนึ่ง อย่างไรเสีย หลังจากผ่านไปหลายวัน สกุลหลินก็มิได้สนใจสิ่งใด
“มิใช่ว่าตระกูลหลินล้วนหวาดกลัวกันไปหมดแล้วหรือ?”
“เจ้าผายลมอะไร? มิรู้หรือว่าเจ้าของประกาศิตนี้คือผู้ใด? เป็นนายท่านแห่งห้วงเหวโบราณ สุดยอดผู้บ่มเพาะเหนือใต้หล้าที่มีชีวิตมาอย่างยาวนาน!”
“ต่อให้สกุลหลินจะทรงพลังเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านจ้าวห้วงเหว พวกเขามิพ้นต้องย่อยยับไป....”
“สกุลหลินที่มีอนาคตอันสดใส อีกทั้งยังดูแลเมืองต้าหยานเป็นอย่างดี ช่างน่าเสียดาย พวกเขาไม่มีทางหลุดพ้นจากการล่มสลายในครั้งนี้”
ครืน!
ฟ้าแลบปรากฏขึ้นทั่วทุกที่ และฝนก็เทลงมาหนักยิ่งขึ้น
ในตอนนี้ คนสกุลหลินทั้งหลายหาได้เดินเพ่นพ่านไปมาเช่นปกติไม่ บรรยากาศในตระกูลกลับกลายเป็นหนักหน่วงและกดดันยิ่ง หลังจากประกาศิตประกาศศึกของเขาได้ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งตระกูลก็ยกระดับการป้องกันของตนถึงขีดสุด หน่วยยามทั้งหลายเดินตรวจตราอย่างเข้มงวดไม่เว้นว่างตลอดเวลา
จู่ๆ มียามเฝ้าระวังคู่หนึ่งทรุดลงกับพื้นโดยไร้สัญญาณเตือนใดๆ ก่อนปรากฏเป็นร่างเงาสองคนขึ้นในจุดที่ยามคู่นั้นล้มลง
ด้วยความช่วยเหลือของสายฟ้าที่แล่นผ่านหมู่เมฆไปมาบนท้องฟ้า ทำให้สามารถเห็นใบหน้าของร่างผู้มาใหม่ได้ นั่นคือหลินเฮ่าและซวนยู่ หลินเฮ่ากล่าวขอโทษยามตรวจการของตระกูลตนเบาๆ ในใจ จากนั้นเขาก็กางค่ายกลออกมาเบื้องหน้า
“อายู่ รีบไปเถิด ค่ายกลนี้สามารถส่งเจ้าและซวนเอ๋อร์ออกไปจากอาณาจักรฉีซานได้ หลังจากนั้น เจ้าควรทำลายร่องรอยการเดินทางทั้งหมดและซ่อนตัวมิให้ใครได้พบเห็น” ดวงตาหลินเฮ่าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นประกายความไม่ยินยอมและปณิธานบางอย่างแฝงอยู่
ภายใต้พายุฝนที่โหมกระหน่ำ ซวนยู่กอดหลินซวนในอ้อมอกแน่น
ต่อให้หลินซวนที่ผ่านการบ่มเพาะมาอย่างเหน็ดเหนื่อยและบรรลุขั้นลมปราณในระดับหนึ่งแล้วก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ต้องนอนหลับ และในเวลานี้ เขากำลังหลับใหลอยู่ ซวนยู่เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าซีดขาว รอยยิ้มนุ่มนวลที่มีอยู่เสมอกลับกลายเป็นขมขื่น นางกำชายเสื้อของหลินเฮ่าแน่น
“เฮ่า เหตุใดจึงไม่ไปกับพวกเรา? พวกเรายังหลบหนีไปได้ในตอนที่ไม่มีใครหาเจอเช่นนี้”
หลินเฮ่าที่ได้ยินคำพูดของภรรยา สีหน้าปรากฏความเจ็บปวดขึ้น
เขาไม่ได้ตอบสิ่งใด เพียงค่อยๆ แกะมือของซวนยู่ออกอย่างนุ่มนวลและลูบผมนางเบาๆ ดวงตาแม้ไม่ยินยอมจะปล่อยนางไป แต่อย่างไรเสีย ไม่ว่าเขาจะต้องการเพียงใด แต่มิอาจจากตระกูลไปได้
ชื่อ “จ้าวห้วงเหวไร้ก้น” กดทับอยู่บนบ่าของเขา สมาชิกตระกูลหลินบางคนเริ่มร้องขอให้เขาส่งตัวหลินซวนให้กับจ้าวห้วงเหวและอ้อนวอนขอความเมตตาเสีย แม้อาวุโสที่มีสิทธิ์มีเสียงในตระกูลจะปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้ไปแล้ว แต่ยังมีอาวุโสบางคนที่ไม่ได้กล่าวห้ามแต่อย่างใด
ชัดเจนว่าพวกเขาบางคนมองเห็นทางออกของปัญหานี้เป็นการเสียสละชีวิตของหลินซวน แต่ถึงอย่างไร ต่อให้พวกเขาส่งตัวหลินซวนไปแล้ว จ้าวหุบเหวไม่มีทางหยุดความตั้งใจจะทำลายสกุลหลินลงอย่างแน่นอน
เพราะแท่นบูชาห้าสีนั้นถูกหลินซวนกลืนกินไปแล้ว ข้อขัดแย้งระหว่างตระกูลหลินและจ้าวห้วงเหวย่อมหมดทางแก้ไข หลินเฮ่าที่เป็นเจ้าเมืองต้าหยานและหัวหน้าตระกูลในตอนนี้ย่อมมีสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ แต่แม้เขาจะเป็นคนซื่อตรงเพียงใด เขาก็ยังเป็นบิดาของหลินซวน!
หลังจากขบคิดอย่างระมัดระวังมาหลายวัน นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาทรยศสกุลหลิน
เข้าต้องการให้หลินซวนหลบหนีออกไป เขามุ่งมั่นจะให้บุตรชายของเขารอดชีวิต!
ต่อให้เขาจะถูกสกุลหลินทุบตีจนพิการ ต่อให้จะไม่มีวันได้เงยหน้าขึ้นมามองผู้ใดในตระกูลอีกเลย หรือแม้กระทั่งอาจจะถูกสังหารลง เขาก็จะไม่ยอมให้ลูกของเขาต้องตาย!
“เฮ่า พวกเรายังไปด้วยกันได้นะ!” ซวนยู่กำลังวิตกกังวลอย่างยิ่ง นางร้องร่ำไห้ออกมา
“ข้ามิอาจจากไปได้”
“แม้ข้าจะเป็นบิดาของหลินซวน แต่ข้าคือเจ้าเมืองต้าหยานและผู้นำตระกูลหลิน”
สายฝนโปรยปราย หลินเฮ่าส่ายหน้าปฏิเสธ เขาเพียงจูบลาภรรยาและบุตรชายที่หน้าผาก
“อายู่ อนาคตของซวนเอ๋อร์คงต้องอาศัยเจ้าดูแลแล้ว”
“ข้าเองก็อยากได้มองเขาเติบโตเช่นกัน....”
หลินเฮ่าฝืนใจผลักซวนยู่เข้าไปยังค่ายกล แต่ทว่า ค่ายกลนั้นกลับไม่ทำงานแต่อย่างใด
หลินเฮ่าสูดหายใจลึก ระหว่างที่มองไปรอบด้านร่างกายเขาก็ปล่อยไอปราณสีทองและอาวุธประจำกายก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือ เขายืนหยัดปกป้องสองแม่ลูกไว้ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าของเขามีชายชราในชุดสีขาวยืนอยู่ แค่กลิ่นอายที่ชายแก่คนนั้นปลดปล่อยออกมาก็ทำให้หลินเฮ่าขยับอย่างยากลำบาก
“เจ้าจะไปที่ใดกัน?” ชายชุดขาวเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงบ
“ท่านบรรพชน!”
หลินเฮ่ากัดฟันแน่น เส้นเลือดผุดขึ้นบนหน้าผาก เขาสะบัดทวนในเมืองเพื่อทำลายแรงกดดันที่พบเจอ ก่อนจะกวาดทวนเข้าในชายชราอย่างรุนแรง
ตาแก่หลินเพียงเงยหน้าขึ้น ก่อนที่ทวนของหลินเฮ่าจะได้สัมผัสชายชราผู้นั้น หลินเปาก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อหยุดคนทั้งคู่
“บรรพบุรุษ โปรดฟังข้าก่อน!” หลินเปาตะโกนออกมา
บรรพชนสกุลหลินเพียงมองตามเท่านั้น
หลินเปากายสั่นสะท้าน แต่ก็ยังฝืนตัวเองกล่าวออกมา
“บรรพชนท่าน ต่อให้พวกเราส่งหลินซวนให้แก่เขา อย่างไรเสียพวกเราทั้งหมดก็ต้องตายอยู่ดี....”
ก่อนที่ตาแก่เปาจะพูดจบ เขาก็ถูกกระแทกลอยละลิ่วไปด้วยฝ่ามือของบรรพบุรุษตนเสียแล้ว หลินเฮ่าและซวนยู่ปรากฏสีหน้าย่ำแย่ออกมา ด้านหลินเปาที่พยายามจะลุกขึ้นมาถูกบรรพชนตบปลิวออกไป
“เจ้าเป็นใครจะมาสั่งสอนข้า?”
“ใครบอกว่าข้าจะส่งตัวซวนเอ๋อร์ไป?”
“ข้าเป็นคนที่มิสามารถตัดสินผิดถูกได้ไปตั้งแต่เมื่อใด?”
หลินเฮ่า ซวนยู่ และหลินเปาชะงัดค้างไปพร้อมกัน จากนั้น บรรพบุรุษสกุลหลินก็ก้าวออกมาด้านหน้าก่อนจะเตะหลินเฮ่าให้พ้นทาง
“อย่างน้อยเจ้าก็ยังพอนับว่ามีอะไรติดตัวบ้างล่ะนะ รูปแบบการต่อสู้ของข้าเมื่อก่อนช่างคล้ายคลึงกับเจ้าตอนนี้ยิ่งนัก”
หลินเฮ่าราวกับตื่นขึ้นมาจากฝันและขยับมาปกป้องซวนยู่และหลินซวน
“ความแข็งแกร่งของเจ้ามิได้มากมายถึงเพียงนั้น แล้วเหตุใดจึงยังขวางทางข้า! เจ้าหนูน้อยจะต้องป่วยไข้เพราะเจ้า!” ตาแก่หลินตบหลินเฮ่ากระเด็นออกไปอีกครั้ง....
จากนั้น ตาเฒ่าหลินก็ยื่นแขนเสื้อออกมาเพื่อบังสายฝนให้กับหลินซวน ก่อนจะปาบัตรเชิญบางอย่างใส่หน้าของหลินเฮ่า
“งานฉลองครบรอบของซวนเอ๋อร์กำลังจะถูกจัดขึ้น ส่งบัตรเชิญออกไป!”
“จำไว้ว่าเจ้าต้องเชิญทุกคนในอาณาจักรฉีซาน! อีกอย่าง เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงจะส่งทารกน้อยที่แสนล้ำค่าจากไป! เจ้าลูกเต่าบัดซบ!”
เหม่อมองจดหมายเชิญที่ร่วงหล่นเบื้องหน้าเขา หลินเฮ่าก็ได้แต่นิ่งค้างไป ครู่ใหญ่ต่อมา เขาก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“บรรพชน...ท่านพูดจริงหรือ....”
ตาแก่หลินหรี่ตามองหลินเฮ่าและพูดออกมา
“ออกไปส่งบัตรเชิญได้แล้ว! เจ้าจะถามซ้ำหาสวรรค์วิมานอันใด?!”
หลินเฮ่ารีบพุ่งตัวจากไปทันที ตาเฒ่าสกุลต้องการที่จะกอดหลินซวนตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของซวนยู่ แต่ทว่าซวนยู่กลับถอยหลังออกไป ในแววตามีความหวาดกลัวปรากฏขึ้น
บรรพชนหลินอดรู้สึกช่วยไม่ออกมา
“สาวน้อย”
“เจ้ารู้นามของข้าและชื่อของกระบี่ที่ข้าห้อยอยู่ที่เอวหรือไม่?”
ซวนยู่หาได้เข้าใจความหมายของบรรพชนสหุลหลินไม่
“ข้าแซ่หลิน นามฉิงเทียน”
“กระบี่นี้ชื่อของมันคือซันฉื่อ”
(ซันฉื่อคือชื่อกระบี่ แปลว่ายาวสามฉื่อ)
“กระบี่ซันฉื่อนี้คือเคล็ดลับในการผสานอำนาจแห่งเต๋าของข้า”
เขาดึงกระบี่ออกมาจากฝักอย่างนุ่มนวล เสียงของมันใสกระจ่าง ชายชราเงยหน้าขึ้นหรี่ตาลงก่อนเหม่อมองไปยังประกาศิตสีดำสนิทเบื้องบน
“ด้วยกระบี่เล่มนี้ แม้กระทั่งมังกรพายุยังถูกข้าสังหารลงได้”
ทันทีที่บรรพชนหลินกล่าวจบ เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าคำรามก็ดังขึ้น
“หลินฉิงเทียน!”
“เจ้ากล้าประกาศสงครามกับข้า?!”
“รู้หรือไม่ว่าจะต้องเกิดซากศพนับไม่ถ้วนและแม่น้ำเลือดในอนาคต?”
ในตอนนี้ ชายชราตัวเปียกปอนเงยหน้าขึ้น หลังค่อมงอของเขายืดตรงคล้ายได้รับพลังแห่งความเยาว์วัยกลับมา
บรรพชนแซ่หลินเหยียบย่างออกไปครึ่งก้าวก่อนจะฟาดฟันม้วนประกาศิตด้านบนด้วยกระบี่ของเขา ก่อนปราณกระบี่อีกสายจะพุ่งออกไปตัดผ่านเมฆฝนที่ปกคลุมเหนือตระกูล จากนับก็เก็บมือกลับมาไขว้หลังก่อนจะมองไปยังที่แสนไกล
“ก็ให้มันเป็นไป”