STBI : ตอนที่ 6 5 ขั้นตอนฝึกฝนร่างกาย
1 เดือนต่อมา
หอฝึกยุทธ์จูซือ ลานประลองด้านหลัง
“การขึ้นรูป เป็นขั้นตอนแรกของการขัดเกลาร่างกาย ด้วยการเคลื่อนไหว 36 ท่าร่วมกับการหายใจแบบเฉพาะ”
หยวนเถา ได้เปลือยท่อนบนของร่างกาย เขาได้เผยให้เห็นสีผิวแทนที่มีความมันแววคล้ายกับโลหะ ด้วยการเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง จังหวะการหายใจของเขาได้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
หลังจากทำท่าทางเสร็จแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนและเหลือบมองไปที่ ไป๋ตงหลิน ที่กำลังฟังอยู่ใกล้ ๆ เขาและพูดว่า :
“การขึ้นรูปใน ดินแดนขัดเกลาร่างกายนั้นง่ายที่สุด เพราะมันสามารถใช้สิ่งเร้าภายนอกในการเร่งปฏิบัติการขึ้นรูปผิวหนังได้ เช่น ยาต้มเฉพาะ สิ่งนี้จะให้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงแค่ครึ่งเดียว!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หยวนเถา ได้ยิ้มออกมา รายได้หลักของหอฝึกยุทธ์จูซือของพวกเขา ก็คือการขายยาต้มกลั่นทุกชนิด
“ขั้นที่สองก็คือการปรับแต่งร่างกาย ดินแดนแห่งการสร้างกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเป็นที่มาของความแข็งแกร่งของร่างกายมนุษย์ ยิ่งมีกล้ามเนื้อแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ การโจมตีจะยิ่งรุนแรงขึ้นโดยธรรมชาติ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็แสดงให้เห็นเทคนิคอีกชุด ในระหว่างการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อของเขาทั้วตัวก็ปูดโปน ทั่วทั้งร่างราวกับกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ หลังจาก เขาก้าวออกไปข้างหน้าและเหยียดเท้าออกมา หินด้านล่างก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ
“ดินแดนที่สาม อวัยวะภายใน!”
หยวนเถา ได้จบเทคนิคการชก เขาไม่ได้พัก และ แสดงท่าเหมือนกับคางคกบนพื้นทันที
จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกทำให้หน้าอกทั้งหมดขึ้นพอง ไป๋ตงหลิน ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับว่าอากาศทั้งหมดกำลังถูก หยวนเถา ดูดกลืนไป
สูดดด ฟึ่บบ!
ทันทีที่เขาพ่นลมออกมา ดินบนพื้นก็กระจายเป็นฝุ่นผง
คิ้วของ ไป๋ตงหลิน ขมวดเข้าหากันแน่นในทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็น แต่ทว่าภาพนี้กลับทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มเป็นอย่างมาก
“ดินแดนที่สี่ การแบ่งเบากระดูก!”
หลังจากเรียนท่าคางคกเสร็จ เขาก็นอนคว่ำหน้าท้องเหมือนกับเสือที่ลงมาจากภูเขา กล้ามเนื้อของเขาได้กระชับมากขึ้น ทันทีที่เขาสูดลมหายใจเข้า ก็มีเสียงฟ้าร้องเบา ๆ ดังขึ้น
หลังจากแสดงวิธีการฝึกฝนดินแดนทั้งสี่แรกเสร็จ หยวนเถา ก็สวมเสื้อผ้าและมองไปที่ ไป๋ตงหลิน พร้อมกับกล่าวออกมา :
“ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ เปลี่ยนถ่ายโลหิต เมื่อคุ้นเคยกับกระบวนการทั้งหมดแล้ว จะสามารถเปลี่ยนถ่ายโลหิตใหม่ได้ ในกระบวนการนี้ ไขกระดูกจะทำหน้าที่ในการผลิตเลือดใหม่ให้ และ ทดแทนโลหิตเก่าที่ไม่ดีออกไป”
“หลังจากเสร็จสิ้นการเปลี่ยนถ่ายโลหิต การทำงานของร่างกายทั้งหมดก็จะดีขึ้นมาก”
ทั้งสองได้กลับไปที่ห้องนั่งเล่น ดื่มชา สนทนาต่อ และ ถามตอบอย่างรวดเร็วไปจนถึงช่วงเย็น
“นายน้อยหลิง พวกเราครบกำหนดระยะเวลา 1 เดือนแล้ว และ ข้าน้อย ก็ได้สอนวรยุทธ์พื้นฐานทั้งหมดให้แก่ท่านตามที่ตกลงเอาไว้ หลังจากนี้ ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
ไป๋ตงหลิน ได้จิบชาและโบกมือให้กับหยวนเทา :
“ขอบคุณอาจารย์หยวนเถา ที่ให้คำแนะนำแก่ข้า ดูเหมือนว่าผู้เยาว์จะได้รับผลประโยชน์มากมาย อย่างไรก็ตาม ข้าออกจากบ้านมาเป็นเวลานานแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องกลับไป”
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาขี้เกียจเกินกว่าจะวิ่งไปและกลับ ดังนั้นเขาจึงได้บอกกับ ท่านป้าของเขา ว่าจะไปอาศัยอยู่ในหอฝึกยุทธ์จูซือ สักระยะ
ตอนนี้เขาได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ดังนั้น ไป๋ตงหลิน จึงแทบรอไม่ไหวที่จะรีบกลับไปและฝึกฝน
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายน้อยหลิงสุภาพเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ทำตามข้อตกลงของพวกเราเพียงเท่านั้น”
ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนประโยคที่สภาพกันสองสามประโยค จากนั้น หยวนเถา ก็สั่งให้ใครบางคนนำตารา 2-3 เล่มมามอบให้กับ ไป๋ตงหลิน :
“ตำราเหล่านี้ มีประสบการณ์การฝึกของข้าอยู่ บางทีมันอาจเป็นประโยชน์กับนายน้อยก็เป็นได้ หลังจากที่นายน้อยเติบโตมากขึ้นกว่านี้ และ ต้องการฝึกฝนอย่างจริงจัง ได้โปรดมาที่ หอฝึกยุทธ์จูซือ เพื่อซื้อสมุนไพรต้มปรับปรุงร่างกาย!”
ไป๋ตงหลิน ได้ตำราทั้งสี่เล่มมา มันมีชื่อว่า ‘กายทองสัมฤทธิ์’ ‘วานรเคลื่อนกาย’ ‘คางคกทะยานฟ้า’ และ ‘เสียงพยัคฆ์คำรณ’
สำหรับ ดินแดนแห่งการเปลี่ยนถ่ายโลหิต นั้น จะต้องใช้ความพยายามของตัวเอง ไม่มีวิธีการฝึกฝนแยก
จากนั้น หยวนเถา ก็ส่งยาต้มให้กับ ไป๋ตงหลิน
สิ่งสำคัญที่สุดในการฝึกฝนร่างกายไม่ใช่การออกกำลังกาย แต่เป็นการประคบประหงม!
หากไม่ได้ใช้ตัวยาช่วย ความก้าวหน้า มันคงจะเชื่องช้าอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังง่ายต่อการทิ้งบาดแผลและความเจ็บปวดไว้ในร่างกาย เพราะท้ายที่สุด ร่างกายของมนุษย์ก็ค่อนข้างซับซ้อน และ เป็นการยากที่จะประสบความสำเร็จหากไม่ใช้ตัวช่วย
และเพราะแบบนี้เองตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้คนมักจะฝึกฝนร่างกายควบคู่ไปกับสมุนไพรที่มีค่าในการรักษา
ทั้งสองคนได้คุยกันอยู่ครู่นึงก่อนที่ ไป๋ตงหลิน จะจากไป และ หยวนเถา ก็มาส่งเขาที่หน้าประตูอย่างสุภาพ
หลังจากมองรถม้าที่ค่อย ๆ ห่างออกไป หยวนเถา ก็ยิ้มอย่างขมขื่นและสั่นศีรษะ
“ในที่สุด ข้าก็ส่งนายน้อยคนนี้กลับไปได้เสียที เท่านี้นายหญิงก็คงจะพึงพอใจ”
ไป๋ตงหลิน ที่นั่งบนรถม้า เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับดินแดนการขัดเกลาร่างกาย ดังนั้นในตอนนี้ เขาจึงครุ่นคิดและมองหาว่ามีทักษะใดบ้างที่ควรค่าแก่การเรียนรู้
สำหรับเหตุผลที่เขาใช้นามแฝงก่อนหน้านี้ มันก็เป็นแค่เรื่องเหตุผลเล็กน้อย
เขาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังตัวตนของเขาเป็นพิเศษ และ ไม่สำคัญว่าจะถูกเปิดเผยหรือไม่ สิ่งที่เขากังวล ก็คือ ความสามารถพิเศษของเขาต่างห่าง
ในเวลานี้ เขาพร้อมที่จะเริ่มเรียนวรยุทธ์อย่างจริงจังแล้ว
หลังจากกลับไปที่ ตำหนักฉิงโหยว เขาก็เก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้า และ มุ่งหน้าไปที่ ภูเขาเซียวฮุ่ยชาน
ตำหนักฉิงโหยว ตั้งอยู่บริเวณรอบนอกสุดของพื้นที่ และ มี ภูเขาเซียวฮุ่ยชาน ขนาดเล็ก ตั้งอยู่ด้านข้าง
ภูเขาเซียวฮุ่ยชาน นั้นไม่ได้สูงเท่าไหร่ มันก็แค่ 4-5 ร้อยเมตร เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาสามารถไปที่ภูเขาต้าฮุ่ย ได้โดยตรงผ่านภูเขาเซียวฮุ่ยชาน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดในหยุนโจว
นอกจากไปเรียนรู้ที่หอฝึกยุทธ์จูซือในเดือนนี้แล้ว เขายังคิดเกี่ยวกับวิธีในการพัฒนาความสามารถของเขาอีกด้วย
ในที่สุดเขาก็พบสถานที่ยอดเยี่ยมในภูเขาเซียวฮุ่ยชาน ซึ่งเหมาะมากสำหรับการฝึกวรยุทธ์
ในเวลานี้ ดวงจันทร์ได้ลอยขึ้นเหนือฟ้าและส่องแสงสว่างออกมา ทว่าป่าในตอนกลางคืนก็ยังดูมืดมนเป็นอย่างมาก
แต่ ไป๋ตงหลิน ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ตั้งแต่ความสามารถของเขาตื่นขึ้น เขาก็มีความกล้าหาญมากขึ้น และ ไม่เกรงกลัวความตาย ดังนั้นเขาจะต้องไปกลัวอะไรพวกนี้หรือไม่?
เขาใช้เวลาไม่นานจนไปถึงยอดเขา หลังจากมองไปรอบ ๆ เขาก็มองเห็นหน้าผาด้านหลังภูเขา
นี่เป็นเขาที่สังเกตุเห็นมันเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว หน้าผานี้ลึก 100 ฟุต และ ด้านล่าง ต่างเต็มไปด้วยหินหนามที่แหลมคม
ไป๋ตงหลิน พยักหน้าอย่างพึงพอใจ สถานที่แห่งนี้แต่เดิมก็เป็นภูเขาด้านหลังของตระกูลไป๋
เขาได้ถอดเสื้อผ้าและกางเกงออก จากนั้น ก็ยืดเส้นสายเล็กน้อยก่อนที่จะกระโดดลงไปในหน้าผา
ภายใต้การกระทำของเขา ความเร็วในการตกของเขานั้นรวดเร็วมาก จากนั้น หัวของ ไป๋ตงหลิน ก็กระแทกเข้ากับพื้น สมองของเขา ได้บุบลงไป 7-8 ส่วน
ไป๋ตงหลินตาย!
แต่ทว่า 2 วินาทีต่อมา เขาก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะคราบโลหิตบนพื้นที่เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าไม่ใช่ภาพลวงตา ก็คงไม่มีใครคิดว่านี่เป็นเรื่องจริง
การกระโดดในครั้งนี้ได้ทำให้เขาตายในทันทีโดยไม่เกิด ‘การพลิกกลับของการบาดเจ็บ’
เพราะเนื่องจากการตายในทันที เขาจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย
เขาได้ตั้งชื่อให้กับความสามารถนี้ว่า
พลิกฟื้นจากความตาย!
ฟื้นฟูและแข็งแกร่ง
นี่คือที่มาหลังจากที่เขาใช้เวลาคิด
เขาได้เดินไปที่ด้านข้างของหน้าผาและปีนขึ้นไปอีกครั้ง เมื่อเขาปีนขึ้นไปได้ 7-8 เมตร เขาก็ปล่อยมือและตกลงมา
ตุบ!
ขาซ้ายหัก ซี่โครงส่วนใหญ่หัก อวัยวะภายในแตกและมีโลหิตไหลออกมา ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก
แต่อาการบาดเจ็บที่คนปกติจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย กลับถูกรักษาให้หายหลังจากที่ ไป๋ตงหลิน ลุกขึ้นมา
จากนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังภายในร่างกายที่เพิ่มขึ้น จากนั้นเขาก็ฝึก ‘กายทองสัมฤทธิ์’ ต่อ ทำให้พลังงานจำนวนมากเริ่มผสานเข้ากับร่างกายของเขา
หลังจากออกกำลังกายเสร็จ เขาก็สัมผัสได้เลยว่าผิวของเขาแข็งแกร่งขึ้น
เขาไม่รู้ว่าเอฟเฟกต์นี้ดีกว่ายาต้มมากแค่ไหน แต่พลังงานที่ได้รับมากลับบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง และ มีผลประโยชน์มากต่อร่างกาย
ไป๋ตงหลิน ได้ยิ้มออกมา ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ การกระโดดหน้าผา และ ทำร้ายตัวเอง คือ ‘งาน’ ของเขา
เป้าหมายก็คือ ‘การพลิกฟื้นจากความตาย’
เขาได้พยายามทำความเข้าใจความสามารถนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ตราบใด ที่มันเป็นการทำร้ายตัวเอง ความสามารถนี้จะถูกเปิดใช้งานในทันที
ไม่ว่าจะเป็น การตบตัวเอง แทงตัวเองด้วยมีด ซ้อมตัวเองอย่างหนัก ฯลฯ
‘ข้อกำหนด’ ของความสามารถนี้ก็คือพลังของตัวเอง
ดังนั้นการดูดซึมจึงไม่สามารถย้อนกลับได้
ก็เหมือนกับคนที่ยกตัวเองขึ้นไปไม่ได้
กฏของความสามารถนี้ค่อนข้างชัดเจน เรียบง่าย และ ดูมั่นใจ
ไป๋ตงหลิน ได้บิดเอวของเขาและปีนหน้าผาต่อไป
ในตลอดทั้งคืน ภูเขาเซียวฮุ่ยชาน ได้มีเสียงก้องกังวานแปลก ๆ ‘ปั้ง ปั้ง ปั้ง’ เกิดขึ้น