ต่างโลกกับเทพบริหาร ตอนที่ 212 รายงานที่เข้ามา
ตอนที่ 212 รายงานที่เข้ามา
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?”
ผมเริ่มถามแบบไม่รอช้าหลังจากที่ทหารเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าของทหารก็ดูไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรมากเพราะงั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่มันเป็นเรื่องอะไรกันล่ะตอนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนิ?
“เมื่อครู่ทางหน่วยล่าตะเวณติดต่อเข้ามาครับว่ามีกลุ่มคน… ไม่สิ! กลุ่มทูตของมหาจักรวรรดิต้องการเจรจากับท่านเกี่ยวกับสงครามครับ”
โห่ว! เราเดินทางออกมาและเข้าเขตจักรได้ไม่ถึงชั่วโมงก็เจอพวกมันแบบนี้แปลว่าทางพวกมันเตรียมตัววเอาไว้แล้วสินะ หึหึ! น่าสนุกอยากรู้จริงๆ ว่าพวกมันจะมาไม้ไหน
“เข้าใจแล้วเจ้าไปบอกให้หน่วยล่าตะเวณพาตัวทูตของมันมา”
“ครับ”
ทหารเดินออกไปทันทีหลังตอบ จากนั้นผมก็หันไปทางดัสข้างๆ
“สั่งหยุดเดินทางแล้วเตรียมที่เจรจาให้ข้ากับพวกมันเอาไว้ด้วย”
“ดะ ได้ครับ …แต่ว่าแบบนี้มันจะดีเหรอครับ”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
มันถามอะไรของมัน ถึงบอกว่าเจรจาแต่เราก็ไม่ได้คิดจะร่วมมือกับพวกมันสักหน่อย เพียงแค่อยากรู้ว่าพวกมันจะมาไม้ไหนเท่านั้นเอง
“ก็ท่านทำข้อตกลงกับองค์ชายซิคแน็คไปแล้ว ถ้าท่านไปทำข้อตกลงอะไรกับพวกมันอีกก็หมายความว่าท่านต้องผิดคำพูดของตัวเองนะครับ”
“หึหึหึหึ”
หลังผมหัวเราะออกไปดัสที่กำลังสงสัยอยู่ก็มองผมด้วยสีหน้าสงสัยเข้าไปอีก คิดว่าตอนนี้มันต้องสงสัยมากอยู่แน่ว่าผมกำลังหัวเราะอะไรอยู่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ดัสถึงมันจะมีตำแหน่งในกองทัพแล้วศึกษาวิธีการทำสงครามไปเยอะแล้วก็ตาม แต่่เรื่องที่มันเข้าใจได้มันก็ยังมีขอบเขตของมันอยู่เช่นเรื่องในตอนนี้
“เจ้าพูดมามันก็ถูกต้อง แต่มันก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด”
“…..” ดัสยังคงยืนมองผมด้วยใบหน้าสงสัยแบบเดิม
“ส่วนเรื่องที่ไม่เข้าใจก็คือคำว่าสงครามมันไม่มีคำว่าเกียรติหรือศักดิ์ศรีกันหรอก ข้อตกลงเองก็เช่นกัน มันก็เป็นเพียงคำพูดและกระดาษสัญญาบ้าบ่อที่เขียนขึ้นมาเท่านั้น สงคราม… ไม่สิ! โลกใบนี้นะกฎของมันมีเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือความแข็งแกร่ง ถ้าแข็งแกร่งก็รอด ถ้าอ่อนแอก็ตาย มันเป็นกฎของโลกมันนับพันปี หมื่นปี ล้านปี ก่อนที่พวกเราจะรู้จักคำว่าเกียรติหรือศักดิ์ศรีกันอีก”
ระหว่างที่ฟังผมพูดดัสก็ได้ทำสีหน้าตกใจแบบอ้าปากค้างมองมาทางผม พวกทหารที่อยู่ตามห้องเองก็เช่นกันมีสีหน้าตกใจไม่ได้ต่างกันกับดัสเลย พวกนี้คงไม่คิดกันเลยสินะว่าคำพูดแบบนี้จะออกจากปากของเราแต่นี่แหละความจริงที่พวกนี้ต้องรู้เอาไว้ อย่างโลกที่ผมจากมาประเทศที่คุ้มอำนาจก็คือประเทศที่ชนะเท่านั้น ถึงจะมีบอกว่าปกครองตัวเองก็เถอะ แต่ถ้าต่อต้านก็โดนกำจัดอยู่ดี เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช้เกียรติหรือศักดิ์ศรี แต่มันคือความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สมควรมี
หลังจากที่อธิบายความเป็นจริงออกไปดัสก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาและได้เริ่มทำตามคำสั่งที่ผมได้สั่งเอาไว้ทันที
############
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
หลังจากที่จัดการหยุดรถแล้วตั้งเต็นท์เรียบร้อย ผมก็เข้ามารอในเต็นท์ที่ได้เตรียมเอาไว้เพื่อรอพบกันทูตที่จะเดินทางมาพบ
รอบตัวของผมตอนนี้ก็เป็นเหมือนห้องปกติไม่ได้ต่างอะไรจากห้องบนรถไฟมาก ขนาดก็ประมาณ 5x5 เมตร กลางเต็นท์ก็มีชุดโต๊ะเก้าอี้ขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้ซึ่งมีเพียงเก้าอี้สองตัวที่ตั้งหันหน้าเข้าหากันเท่านั้น
ตามขอบเต็นท์ก็มีครกไฟทั้งสี่ฝั่งให้แสงสว่างอยู่ ถึงมันจะไม่มากอะไรขนาดแสงจากหลอดไปแต่มันก็พอช่วยได้นิดหน่อยในเรื่องของแสงเพราะถ้าไม่มีละก็คงมองหน้ากันไม่เห็นแน่นอน
ทางด้านนอกค่ายผมก็ได้สั่งให้ทหารตั้งค่ายเป็นวงกลมเอาไว้เพื่อป้องกันหลายต่อหลายอย่าง ส่วนป้องกันอะไรก็ไม่ต้องอธิบายมากเพราะตอนนี้ถึงกองทัพจะเป็นกองทัพของผมก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทหารจะไม่ได้ทำงานให้กับคนอื่นอย่างเช่นทำงานหาข้อมูลให้ซิคแน็ค หรือประเทศอื่นที่ต้องการได้ข้อมูล
เพราะถึงจะเป็นทหารของผมก็ตามแต่ก็ยังเป็นมนุษย์ ถ้าโดนเสนอเงินจำนวนมากไม่ว่าใครก็รับกันหมดแหละ ด้วยเหตุผลแบบนี้การเจรจาระหว่างผมกับทูตที่มหาจักรวรรดิส่งตัวมาก็ต้องให้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นนักฆ่าก็ไม่สามารถเข้ามาได้ถ้าจะเข้ามาได้มันก็ต้องมีเวทย์ล่องหนเท่านั้น แต่โลกนี้มันไม่มีเวทย์แบบนั้นหรอก!
“ท่านไมล์ทูตของมหาจักรวรรดิเดินทางมาถึงแล้วครับ”
เสียงดัสดังขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังนั่งรออยู่
“เข้ามาได้เลยข้าพร้อมแล้ว”
“ครับ”
คุยจบประตู… ไม่สิ! เรียกว่าผ้าคลุมเต็นท์ ไม่ๆ ผ้าปิดทางเข้า ช่างมันเถอะว่าจะเรียกมันว่าอะไรเอาเรื่องตรงหน้าก่อนดีกว่า หลังจากที่ดัสเดินเข้ามาก็มีผู้ชายสวมชุดเกราะเดินตามเข้ามาด้วย
ชายที่สวมชุดเกราะที่อยู่ด้านหลังของดัสเป็นชายตัวสูงกว่า 2 เมตร บนร่างกายก็เป็นชุดเกราะหนักสีน้ำเงินที่มีร่องรอยการต่อสู้มากมาย ใบหน้าเหี่ยวย่น ผมสีขาวทรงคล้ายกับสกรีนเฮด ผิวสีดำเข้ม และดวงตาทั้งสองที่แหลมคมเหมือนกับปลายดาบที่กำลังมองมาทางผม
นี่มันไม่ใช่ทูตแล้วมั้ง นี่มันนักรบผ่านศึกชัดๆ สรุปทางมหาจักรวรรดิต้องการเจรจาสงบศึกหรืออยากทำสงครามกันแน่ …ชักเริ่มสนุกขึ้นแล้วสิที่เรื่องมันมาเป็นแบบนี้ หึหึ!