ตอนที่แล้วSTBI : ตอนที่ 3 ความสามารถที่ท้าทายสวรรค์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSTBI : ตอนที่ 5 พูดคุย

STBI : ตอนที่ 4 หอฝึกยุทธ์จูซือ


เช้าวันถัดไป!

ตำหนักฉิงโหยว

ทันทีดวงอาทิตย์ขึ้น ไป๋ตงหลิน ก็ตื่นแต่เช้า

เขาแต่งกายเรียบร้อย และ ใช้ยาสีฟันที่ทาจากขี้ผึ้งและเกลือ แปรงฟันและล้างหน้าล้างตา

จากนั้นก็นำกองธนบัตรที่เขาได้เก็บไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ออกมามันมีมูลค่าหลายพันตำลึง

นี่คือเงิน ปีใหม่ เงินเดือน และ เงินจากผู้ใหญ่

ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาไม่ได้ใช้เงินใช้จ่ายอะไรเลย เขาอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลไป๋ ทุกวัน ดังนั้นเขาจึงเก็บเงินได้จำนวนมาก

และนี่คือสมบัติทั้งหมดของเขา

แต่สิ่งที่เขาต้องทำในวันนี้ จำเป็นจะต้องใช้เงิน เขาไม่ได้สนใจว่าจะต้องใช้จ่ายเท่าไหร่ ตราบใดที่มันมีประโยชน์แก่เขา

นี่ไม่ต่างไปจากลูกเศรษฐีหัวดื้อที่ต้องการล้างผลาญ!

เขาได้ปิดประตูลานบ้าน โดยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะในโลกแห่งการฝึกฝน เช่นนี้ ไม่มีอะไรที่สามารถคุกคามเขาได้ในขณะนี้

เขาได้ออกไปที่ห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้าก่อน ก่อนหน้านี้ เขาได้ขับไล่สาวใช้และบ่าวรับใช้ออกไปจากตำหนักฉิงโหยวทั้งหมด ทำให้เขาต้องออกไปหาอะไรกินเอง

มีเด็กหลายในคนตระกูลไป๋ และ พวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ฝึกศิลปะต่อสู้ ดังนั้น ห้องอาหารเช้านี้จึงเสิร์ฟอาหารไม่จำกัดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และ สามารถรับประทานอาหารร้อน ๆ ได้ตลอดเวลา

โชคดีที่ตระกูลไป๋มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง จะบอกว่า ครึ่งนึงของ หยุนโจว เป็นของตระกูลไป๋ สิ่งนี้ก็ไม่นับว่าเกินเลย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็นั่งรถม้าที่หน้าประตู และ ไปที่สำนักศึกษา

เนื่องจากเขาตัดสินใจที่จะเริ่มเรียนศิลปะต่อสู้ เขาก็ไม่มีเวลามาร่ำเรียนอักษรอีกต่อไป

ตัวอักษรในโลกนี้ก็เป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกับชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เห็นได้ชัดว่าพวกมันวิวัฒนาการมาจากอักษรอียิปต์โบราณ

และ คล้ายคลึงกับพัฒนาการของอักษรจีน

ดังนั้นเขาไม่ได้แปลกใจเลยที่ อักษรอียิปต์โบราณจะเป็นสัญลักษณ์ของนามธรรมทุกสิ่ง

โดยปกติแล้วทั้งสองโลกอาจจะดูแตกต่างกันมาก แต่ ไม่ว่าจะเป็น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า และ ฝน ต่างก็เหมือนกันทุกประการ

ดังนั้น หากจะพูดว่าทั้งสองโลกค่อนข้างคล้ายคลึงกันจะสมเหตุสมผลมากกว่า

ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาได้ศึกษาวิชาโบราณคตี เป็นวิชาเอก และ วิจัยอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพัฒนาการของอักษรจีน

นอกจากนี้ เขายังได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาเป็นเวลา 4-5 ปี ในชีวิตนี้ ตรงกันข้าม เขาได้เข้าใจวิถีการอ่านเขียนของโลกนี้อย่างสมบูรณ์

เมื่อเขามาถึงสำนักศึกษา ไป๋ตงหลิน ก็ตรงไปที่ลานที่พักของอาจารย์ในทันที ในเวลานี้ อาจารย์น่าจะกำลังเตรียมสอนคัดลายมืออยู่

“ท่านอาจารย์ ศิษย์มีเรื่องที่จะปรึกษาบางอย่าง!”

ไป๋ตงหลิน ได้เคาะประตูและยืนอยู่ข้างนอกด้วยความเคารพ

ว่ากันว่า อาจารย์คนนี้เป็นลูกชายของตระกูลสูงศักดิ์ เขาได้รับรางวัลเกี่ยวกับการประดิษฐ์อักษร และ เป็นข้าราชการมา 2-3 ปีแล้ว

แต่น่าเสียดาย ที่เขามีปัญหาเรื่องความโลภ และ รับสินบน ทำให้ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง

แต่เนื่องจากความสามารถของเขา ทำให้เขาได้เข้ามาที่สำนักศึกษาแห่งนี้และได้ทำงานเป็นอาจารย์ที่นี่

แม้ว่า ไป๋ตงหลิน จะไม่ชื่นชอบอีกฝ่าย แต่ที่โลกนี้ ก็ให้ความสนใจกับการเคารพอาจารย์และผู้ใหญ่ เหมือนกัน ทำให้เขาต้องปฏิบัติตัวตามมารยาท

“นายน้อยสิบสามท่านมาพบตาเฒ่าคนนี้มีอะไรงั้นหรือ?”

อู๋ฉิงเหลียน ได้รับต้อน ไป๋ตงหลิน ด้วยความสุภาพ แม้ว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะทำตัวหยาบคาย

คนอื่นล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลไป๋ ส่วนเขาเป็นคนที่ถูกจ้างมาทำงานนอกเวลาเพียงเท่านั้น

ทั้งสองคนได้นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น และ ไป๋ตงหลิน ก็ตรงไปที่หัวข้อสำคัญในทันที

“ท่านอาจารย์ ศิษย์มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวอักษรอย่างชำนาญ และเข้าใจงานเขียนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงต้องการประเมินความสำเร็จล่วงหน้า”

ผู้คนในโลกนี้เรียกพวกตำราว่า งานเขียนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการตีความหมายว่าเป็นงานเขียนที่เทพบนฟ้ารังสรรค์ขึ้นมาเพื่อสอนให้มนุษย์ปุถุชน

“โอ้ คุณชายเพิ่งจะอายุเพียงแค่ 12-13 ปีเพียงเท่านั้น โดยปกติแล้ว การประเมินจะทำได้ก็ต่อเมื่ออายุ 14 ปีเท่านั้น”

“แต่ว่าท่านต้องการจะประเมินล่วงหน้า นี่มัน…”

อู๋ฉิงเหลียน ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็เงียบลง หลังจากสอนเด็กทุกคนในตระกูลไป๋มาสักระยะนึง เขาก็มีความเข้าใจบางอย่าง ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะเชี่ยวชาญตัวอักศณ กระทั่ง มีคนงี่เง่าบางคน ที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้แม้จะอายุครบ 14 ปี ก็มี

ทว่า เด็กเหล่านั้น ก็ค่อย ๆ เรียนรู้หลังจากอายุ 14

หากปล่อยให้ใครซักคนออกไปก่อนเวลา ก็ไม่เป็นไรที่จะเรียนรู้ภายหลัง เพียงแต่ถ้าปล่อยคนที่ไม่รู้ตำราออกไป หากโชคไม่ดี เขาก็จะถูกสอบสวนจากเบื้องบน

อีกอย่าง เขาเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนของ นายน้อยสิบสามคนนี้ อีกฝ่ายไม่ใช่อัจฉริยะ และไม่น่าจะเรียนรู้ งานเขียนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างชำนาญ

“ไปทดสอบกันเถอะ ถ้าศิษย์ไม่มีความมั่นใจก็คงไม่กล้าพูดเรื่องการสำเร็จการศึกษาก่อนเวลา”

หลังจาก ยืนขึ้นและโค้งคำนับ ไป๋ตงหลิน ก็ยื่นเงินสด 200 ตำลึงให้แก่เขา

ดวงตาของ อู๋ฉิงเหลียน ได้เปล่งประกาย และ เอื้อมมือไปหยิบธนบัตรในทันที

อีกอย่างจะต้องรู้ว่าเงินแค่ 5 ตำลึง ก็เพียงพอสำหรับใช้จ่ายครอบครัว 3 คน ตลอดทั้งปีแล้ว และ เงินประจำเดือนของเขาก็ประมาณนี้

“เอาล่ะ ในเมื่อนายน้อยสิบสามมีความมั่นใจ โปรดรอให้ตาเฒ่าคนนี้เตรียมตัวครู่นึง”

หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบ ตำรา ปากกา หมึก และ กระดาษ มา

“การประเมินจะแบ่งออกเป็นการ อ่าน ฟัง และ การเขียน ดังนั้นเราจะเริ่มด้วยกันอ่าน ‘ตำนานการเปลี่ยนแปลง’ นี้ก่อน

‘ตำนานการเปลี่ยนแปลง’ นี้อธิบายถึงเทพเจ้าและการเปลี่ยนแปลงที่มีคำศัทพ์มากกว่า 4-5 พันคำ ในบรรดางานเขียนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ใช้สำหรับการประเมินได้ดีไปกว่านี้

ดูเหมือนว่า อู๋ฉิงเหลียน ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แต่เขาก็ไม่กล้าละเลยหน้าที่ของตัวเอง

ไป๋ตงหลิน รู้สึกมั่นใจ เขาได้หยิบตำราขึ้นมาและอ่านอย่างเฉยเมย พร้อมกับ คารมคมคาย แต่เขาต้องใช้เวลาในการอ่านพอสมควร กว่าจะอ่านมันได้ทั้งหมด

ต่อไปคือการ ฟัง และ การเขียน

อู๋ฉิงเหลียน ได้หยิบตำราเล่มอื่นออกมา และ กล่าวหนึ่งประโยค ซึ่ง ไป๋ตงหลิน จะต้องเขียนประโยคนั้นบนกระดาษขาว

“โอ้ว,ดูเหมือนว่า นายน้อยสิบสามจะเชี่ยวชาญ งานเขียนศักดิ์สิทธิ์แล้วจริงๆ!”

อู๋ฉิงเหลียน ได้ตรวจสอบอย่างระวัง และ พบว่าไม่มีข้อผิดพลาดเท่านั้น แต่การเขียนยังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและทรงพลังอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่าย ได้พยายามอย่างหนักเพื่อคัดลาดมือ

“ในเมื่อนายน้อยสิบสามผ่านการทดสอบแล้ว ผู้เฒ่าคนนี้จะไปรายงานที่สำนักงานกิจการภายในภายหลัง จากนี้ไป นายน้อยสิบสามไม่ต้องมาเรียนที่สำนักศึกษานี้แล้ว”

อู๋ฉิงเหลียน ได้พยักหน้า ตอนนี้ เขาได้รับเงินมาอย่างสบายใจแล้ว

“ขอบคุณท่านอาจารย์!”

ไป๋ตงหลิน ได้โค้งมือคำนับ และ เดินจากไป

นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยในขั้นตอนแรก ซึ่งเขาไม่ได้ใส่ใจ สิ่งต่อไปก็คือขั้นตอนสำคัญ

“ไปที่ หอฝึกยุทธ์จูซือ!”

“ขอรับ นายน้อยสิบสามโปรดนั่งให้สบาย+.

นอกจากการร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้ในตระกูลไป๋แล้ว หากต้องการร่ำเรียน ศิลปะต่อสู้อื่น ๆ สามารถเข้าร่วมกับอิทธิพลต่าง ๆ ใน ไป่เฉิง หรือไม่ก็ใช้เงิน เพื่อซื้อทักษะมาร่ำเรียนเท่านั้น

แม้ว่าการเข้าร่วมอิทธิพลบางอย่างจะสามารถเรียนรู้ศิลปะต่อสู้ได้ฟรี แต่มันก็ไม่มีเสรีภาพส่วนบุคคล และ ในบรรดา กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ หากไม่มีความสามารถก็จะไม่ได้รับการยอมรับ

ดังนั้น สิ่งเดียวที่ทำได้ ก็คือไปที่ร้านค้าหรือตลาดมืด เพื่อซื้อทักษะต่อสู้ระดับต่ำ

เมื่อคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของตัวเอง ไป๋ตงหลิน ก็เชื่อว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เพราะมันแค่ใช้เงินเพียงเท่านั้น

หอฝึกยุทธ์จูซือ เป็นสถานที่รับรู้แต่เงินไม่ใช่ผู้คน อีกทั้งยังสะดวกต่อการปกปิดตัวตนอีกด้วย

แม้ว่าเขาจะสามารถเรียนรู้เทคนิคพื้นฐานได้เพียงบางส่วน แต่มันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้วในตอนนี้

เพราะจิตใจของเขายังคงตั้งมั่นเกี่ยวกับบุตรคนรองของตระกูลไป๋ สำหรับตอนนี้ เขาเพียงแค่ต้องการสร้างรากฐานที่ดีล่วงหน้าเท่านั้น

“เพียงแค่รอพี่รองกลับมา แผนต่าง ๆ ของฉัน ก็จะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น”

“นายน้อยสิบสาม พวกเรามาถึง หอฝึกยุทธ์จูซือ แล้ว!”

หอฝึกยุทธ์จูซือ เป็นสถานที่รวบรวมทักษะต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ไป่เฉิง แล้ว

มีบุรุษร่างใหญ่ 8 คนในชุดสีดำยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ด้วยร่างที่กำยำของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับการฝึกฝนทักษะภายนอกที่ดีมาก

เมื่อได้ยิน เสียงแจ้งเตือนจากคนรับใช้ ไป๋ตงหลิน ก็พยักหน้าเล็กน้อย

“ค่อนข้างดูดีทีเดียว”

เขาได้เดินออกมาจากรถม้าเพียงลำพัง

หลังจากอธิบายเจตนาของเขา เขาก็ถูก บุรุษชุดดำนำตัวเข้าไป จากนั้นเอง ไป๋ตงหลิน จะเห็นอักขระสีขาวตัวใหญ่ ‘จูซือ’ ที่ถูกเขียนไว้บนแผ่นหลังของบุรุษคนนี้

หลังจากเดินไปได้ซักพัก เขาก็ถูกพาตัวไปที่ห้องโถงด้านข้าง จากนั้น ก็มีสาวใช้มาเสิร์ฟชาและเค้กต้อนรับเขา

“นายน้อย โปรดรอสักครู่ นายท่านของเรากำลังอบรมเด็กฝึกงานใหม่อยู่ แต่ทางเราได้ส่งคนไปแจ้งให้นายท่านทราบแล้ว คาดว่านายท่านจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า”

บุรุษชุดดำได้ป้องมือคำนับอย่างสุภาพ เขาไม่กล้าละเลยเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นแค่เด็ก

ดูจาก เสื้อผ้า นิสัย และ ลักษณะท่าทีของอีกฝ่าย หากไม่ตาบอดก็สามารถบอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดา

ไป๋ตงหลิน ได้พยักหน้าพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา

เขามีความอดทนมากพอที่จะรอได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด