เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 52 : จากห้วงเหวลึก!
ตอนที่ 52 : จากห้วงเหวลึก!
ท้องฟ้ายามราตรีช่างมืดมิด ดวงดารามากมายลอยอยู่บนนั้น ส่องแสงลงมากระทบเข้ากับร่างเงาที่กำลังวิ่งหนีเต็มฝีเท้า
“กล้าดีอย่างไร!”
“เจ้าพวกมนุษย์กล้าดีอย่างไรถึงได้ทำกับข้าเยี่ยงนี้!”
“กล้าต่อต้านข้า กล้าต่อต้านประสงค์ของนายท่าน กล้าแม้กระทั่งวางกับดัก!”
ในระหว่างที่ซวนหนีกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงพร้อมคำรามออกมา โลหิตสีดำทมิฬของมันก็ไหลหยดเป็นทางยาวลงสู่พื้นดิน ก่อเกิดเป็นการกัดกร่อนพืชพรรณโดยรอบเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ตามหลัง
ฟู่....
สายฟ้าและปราณกระบี่นับไม่ถ้วนบัดนี้กำลังกัดกินร่างกายของมันอย่างไม่หยุดหย่อน มันทำได้เพียงมองร่องรอยบาดแผลตามร่างกายด้วยสีหน้าโกรธเคือง
เจ้าพวกสวะน้อยแซ่หลินกล้าถึงเพียงจึงได้ลงมือเช่นนี้กับมัน!? พวกมันกล้าต่อต้านนายท่าน! บังอาจทำร้ายร่างกายอันสูงศักดิ์! เมื่อหวนนึกไปถึงกับดักและค่ายกลของตระกูลหลินที่มันต้องเผชิญหน้าเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา หัวใจของซวนหนีมีเพียงโทสะอัดแน่นอยู่ภายในมากมายจนแทบระเบิดออกมา
ตั้งแต่ครั้งบรรพกาล มิใช่ว่าพวกมนุษย์ทั้งหลายต่างกราบไหว้บูชามันในทุกที่ที่มันเยื้องย่างไปหรอกหรือ? ใครเลยจะไม่สั่นกลัวเมื่อได้เจอกับนายเหนือหัว? ใครจะบังอาจไม่เคารพมัน?
แต่บัดนี้! ในเวลาเพียงมิกี่หมื่นปี มันกลับถูกสกุลหลินแห่งอาณาจักรฉีซานทำให้ต้องอับอาย!
เมื่อใดกันที่อสูรซวนหนีผู้สูงส่งเช่นมันกลับต้องพ่ายแพ้เช่นนี้? เมื่อไหร่กันที่ได้รับการปฏิบัติอย่างย่ำแย่? อย่างได้กล่าวถึงเหมืองหินวิญญาณแค่ไม่กี่แห่งเลย แม้กระทั่งชีวิตของทั้งตระกูล หากมันต้องการมันก็ย่อมต้องได้! ถ้ามันต้องการได้คนแซ่หลินเป็นอาหาร นั่นก็ย่อมเป็นชะตาที่ต้องเดินตาม สิ่งใดที่มันต้องการควรเป็นไปตามนั้น พวกสกุลหลินกล้าดีอย่างไรถึงได้ไม่ทำตามประสงค์ของอสูรผู้ยิ่งใหญ่เช่นมัน!
สีหน้าของมันช่างเกรี้ยวกราด ปราณมืดรอบกายเดือดพล่านไปทั่ว น่าสงสารที่ความโกรธในอกของมันกลับมิได้รับการระบายแต่อย่างใด
“หรือเป็นเพราะเวลาที่เนิ่นนานเกินไปทำให้ชื่อเสียงของนายท่านถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา?”
“ช่างเป็นตระกูลหลินที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ดี ดีมาก ข้าจะจดจำไว้!”
“แม้นายท่านจะไม่ได้อยู่ในจุดสมบูรณ์และมิสามารถจะลงมือด้วยตนเองได้ในตอนนี้ แต่ไหนเลยจะปล่อยผ่านพวกหยิ่งผยองเช่นนี้ไว้ได้!”
“เจ้าก็เป็นได้แค่อาหาร กล้าดีอย่างไรมาต่อต้านพวกเรา!”
“กล้าดีอย่างไร!”
แววตาของซวนหนีหนาวเย็น ประกายฆ่าฟันผุดขึ้นมาอย่างเข้มข้น
“หากเป็นเยี่ยงนี้ คอยดูเถิด พวกเจ้าจะกลายเป็นแค่เศษเนื้อ!”
“นายท่านจะส่งพวกเจ้าไปเฝ้ายมบาล!”
เจ้าอสูรผู้โชคร้ายบ่นพึมพำไปตลอดทางที่วิ่งกลับห้วงเหวในแดนรกร้าง ช่างน่าสงสารยิ่งนัก....
......
เมืองต้าหยาน
อสูรตนนั้นหลบหนีไปแล้วพร้อมด้วยบาดแผลฉกรรจ์ คนสกุลหลินทั้งหลายค่อยๆ ร่อนลงมายืนบนพื้นดิน
ค่ายกลของพวกเขาค่อยๆ จางหายไป เหล่าอาวุโสทั้งหลายที่ช่วยในการขับไล่ซวนหนีครั้งนี้ต่างมีใบหน้าเศร้าโศก
“ช่างน่าเสียดาย มันเป็นถึงซวนหนีตัวเป็น แต่เรากลับปล่อยให้หลุดมือไปได้!”
“ซวนหนีสายเลือดบริสุทธิ์ที่หามิได้อีกแล้ว ทั้งร่างของมันนับเป็นสมบัติล้ำค่า น่าเศร้านัก!”
“แม้สายเลือดของมันจะมันว่าใช้ได้อยู่บ้าง แต่ปากเน่าเหม็นถึงเพียงนี้ ผยองเกินไป!”
“เฮ้อ ข้าลงมือเร็วเกินไป หากรอคอยอีกสักระยะและเก็บเกี่ยวเอาเลือดเนื้อของมันมาให้ซวนเอ๋อร์ของข้าได้คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย!”
เหล่าตาแก่แซ่หลินทั้งหลายทำได้เพียงส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมา พวกเขาแค่เสียใจที่ไม่ได้รีดเลือดเถือเนื้อของอสูรออกมาเท่านั้น หาได้มีความเกรงกลัวอันตรายใดๆ จากมันไม่....
“เจ้าซวนหนีตัวนี้นับว่าทรงพลังพอสมควร คาดว่ามันคงเป็นอสูรจำนวนน้อยนิดที่รอดชีวิตมาจากสมัยบรรพกาล”
“แม้กระทั่งถูกรุมล้อมโดยพวกเราอาวุโสตระกูลหลินจำนวนมากถึงเพียงนี้ กลับสามารถพังม่านพลังของค่ายกลหลบหนีออกไปได้”
ด้านในจวน หลินซวนเองก็ได้เห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้านนอกเช่นกัน เขากำลังครุ่นคิดกับตนเองอย่างเงียบๆ และหากซวนหนีมาได้ยินสิ่งที่ตาเฒ่าทั้งหลายพูดคุยกันแล้วล่ะก็ มันคงได้กระอักเลือดออกมาจนตกตายด้วยความแค้นแน่นอน
มิใช่แค่เหล่าอาวุโสแซ่หลินที่ไม่เกรงกลัวอสูรและนายเหนือของมันเท่านั้น พวกเขาถึงขั้นคิดจะรีดเลือดมันออกมาใช้งาน ช่างไร้คำจะเอ่ยยิ่ง...
ใบหน้าของหลินเฮ่าคราวนี้ดูเคร่งขรึมนัก เขาค่อยๆ ก้าวเดินมายืนอยู่ด้านข้างของผู้อาวุโสทั้งหลาย ก่อนจะประสานมือคารวะและกล่าวอย่างนอบน้อม
“อาวุโสท่าน เจ้าอสูรซวนหนีตนนั้นดูท่าทางแล้วมันน่าจะมีชีวิตแต่ยุคโบราณ”
“ทว่า มันมาที่นี่เพื่อทวงถามถึงแท่นบูชาห้าสีอันนั้น!”
ตาแก่สกุลหลินทั้งหลายบัดนี้กำลังจ้องมองไปยังหลินเฮ่า หลินเฮ่าจึงหายใจเข้าลึกก็จะอธิบายถึงรายละเอียดที่ได้รับจากการพูดคุยกับซวนหนี เมื่อพวกผู้อาวุโสได้ยิน สีหน้าของพวกเขากลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“แท่นบูชาห้าสี?”
“หมายถึงแท่นบูชาอันนั้นที่เสี่ยวซวนกินเข้าไปน่ะหรือ? สิ่งนั้นเป็นสมบัติของจ้าวห้วงเหวลึก?”
“ครานี้ เจ้าอสูรตัวนั้นมาเพื่อตามหาแท่นบูชานั้น?”
“หากมันเป็นเพียงอสูรรับใช้จริง ดูท่าว่านายเหนือของมันคงมิสามารถจะจัดการได้ง่ายดายนัก”
“เรื่องนี้คงมิจบลงง่ายๆ เสียแล้ว”
ตาแก่หลินทั้งหลายหรี่ตาลงก่อนมองไกลออกไป ใบหน้าปรากฏความคิดบางอย่าง บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ผ่านไปพักใหญ่ ก่อนที่หลินเปาจะหัวเราะออกมาเพื่อทำลายความเงียบลง
“พวกเจ้าจะเคร่งเครียดไปไย?”
“อย่างไรเสีย แท่นบูชาอันนั้นก็ถูกกินไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่พวกเราจะต้องขบคิดให้หนักหัว เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ก็เพียงพอ!”
“ถูกของเจ้า พวกมันต้องการซวนเอ๋อร์ไปเป็นอาหาร? เจ้าอสูรหน้าเหม็นนั่นช่างบังอาจนัก!”
ตาเฒ่าทั้งหลายพยักหน้าเห็นด้วย
หากว่าเป็นเรื่องอื่นแล้ว การจะเจรจากันก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ แม้แท่นบูชาจะหายไปแล้ว แต่พวกเขายังสามารถจะเสนอสิ่งอื่นเพื่อชดใช้ได้ ทว่า เมื่ออสูรซวนหนีกล่าวออกมาว่าต้องการให้หลินซวนกลายเป็นอาหารของนายเหนือของมัน การเจรจาก็ไม่สามารถเกิดได้ขึ้นอีกต่อไป! หากต้องการจะได้เซียนแซ่หลินของพวกเขาแล้ว คงต้องข้ามศพทั้งตระกูลไปเสียก่อน!
“ถ้าเจ้าต้องการเซียนน้อยของเรา พวกเราจะไม่หยุดพักจนกว่าจะได้เหยียบย่ำศพเจ้า ทารกน้อยคนนั้นคือความหวังของพวกเราทั้งหมด ไหนเลยพวกเราจะยอมให้มีสิ่งใดมากล้ำกรายเขา!”
“แต่กล่าวถึงแท่นบูชาห้าสี...ก่อนหน้านี้ที่ซวนเอ๋อร์กลืนกินมันเข้าไป พวกเจ้าหาตัวคนบงการภารกิจลอบสังหารเจอหรือยัง?”
“เจอแล้ว ผู้นำของพวกนักฆ่าคือผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหวัง หวังก้านคุน!” หลินเฮ่าเอ่ยออกมา
จากนั้น เขาก็ยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนเอ่ยว่า
“ข้าได้ให้คนนำข่าวเกี่ยวกับการตายของหวังก้านคุนไปส่งยังสกุลหวังแล้ว เชื่อว่าพวกมันต้องรับรู้ในเร็วๆ นี้ขอรับ”
“อยากรู้เสียจริงว่าพวกตระกูลหวังจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อได้ยินข่าวนี้!”
เมื่อได้ฟังหลินเฮ่าจนจบ ตาแก่แซ่หลินทั้งหลายก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“วะฮะฮ่าๆๆๆๆๆ”
มองตาเฒ่าพวกนี้พูดคุยกัน ราวกับไม่มีเรื่องใดในใต้หล้านี้จะกวนใจพวกเขาได้เลย แต่หลินซวนที่สังเกตอยู่กลับพบว่า แม้พวกเขาจะดูผ่อนคลายเพียงใด แต่มิได้ลดการระวังตัวลงแม้แต่น้อย ตาแก่ทั้งหลายไม่ได้กลับไปสถานที่กักตัวอีกต่อไป พวกเขาแค่นั่งสมาธิอยู่ตามมุมต่างๆ ของอาณาเขตตระกูลเพื่อพักผ่อนเท่านั้น
เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่วันมานี้คงมิสามารถจัดการได้โดยง่าย การแสดงออกของผู้อาวุโสทั้งหลายเพียงเพื่อทำให้เหล่าศิษย์ตัวน้อยของสกุลหลินรู้สึกปลอดภัย
อย่างที่คาดการณ์ไว้ เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน พระอาทิตย์เพิ่งพ้นจากขอบฟ้า ลำแสงสีดำสายหนึ่งกลับระเบิดพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา แม้จะอยู่ไกลสุดสายตา แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรุนแรงของมัน ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ปะทุขึ้นนั้นมองดูราวกับเป็นเสาค้ำสวรรค์
ทันใดนั้น กระแสเสียงสูงส่งเย็นชาสายหนึ่งก็ดังก้องไปทั่วทั้งอาณาจักรฉีซาน
“ตระกูลหลินอยู่ที่ใด?”