495 - ตำหนักเต๋าชั้นห้า
495 - ตำหนักเต๋าชั้นห้า
ข้างนอกนั้นอสูรน้อยสีทองกำลังเพลิดเพลินกับพลังของต้นกำเนิดสวรรค์ที่รั่วไหลออกมา ในตอนนี้มันจมอยู่กับความสุขอย่างสมบูรณ์
พลังงานมากมายมหาศาลจากต้นกำเนิดกำลังชำระล้างร่างกายของเย่ฟ่าน แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะดูดซับมันได้ทั้งหมด ส่วนใหญ่รั่วไหลออกมาจึงกลายเป็นอาหารอันโอชะของเจ้าตัวเล็กนี้
เสียงที่นุ่มนวลในตำหนักเต๋าก้องผ่านชีพจรของเย่ฟ่าน แม้แต่หนอนไหมสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน แต่โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาทางนี้ ไม่อย่างนั้นมันอาจกระตุ้นความสนใจของผู้คนได้
เสียงบทสวดของเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ดังขึ้นเป็นเวลาสามวัน พลังงานจากที่ไม่สิ้นสุดไหลทะลักออกมาด้านนอกทำให้หิมะที่ปกคลุมภูเขาเริ่มละลายและพืชพรรณสีเขียวก็งอกงามกลับขึ้นมาอีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้เจ้าสัตว์น้อยสีทองอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
“บูม!
ความว่างเปล่าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในวันที่ยี่สิบสี่ แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันปกคลุมร่างกายของสิ่งมีชีวิตตัวน้อยสีทองจนหมดสิ้น
เมื่อพลังที่เกิดขึ้นจากต้นกำเนิดแห่งสวรรค์หายไปสถานที่นั้นเงียบสงบเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ลึกลับ
เย่ฟ่านลืมตาขึ้น ร่างเนื้อนั้นสดใสราวกับเป็นราชาอมตะ เขาค่อยๆ ลุกขึ้น เขารู้สึกว่าเขาสามารถทำลายโลกทั้งใบได้อย่างง่ายดาย!
นี่เป็นความมั่นใจในตนเองที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เขาทะลวงเข้าไปในตำหนักเต๋าชั้นห้าโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากดินแดนศักสิทธิ์เขาก็ยังมาถึงจุดนี้ได้
แต่ในขณะเดียวกันนั้นร่างกายและจิตใจของเย่ฟ่านไม่ได้สุขสงบเลย
การที่เขาบุกทะลวงเข้าสู่อาณาจักรตำหนักเต๋าชั้นห้าแทนที่จะเข้าสู่อาณาจักรสี่สุดขั้วโดยตรงมันทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย เพราะมันจะหมายความว่าการเข้าสู่อาณาจักรสี่สุดขั้วของเขาจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากจนแทบไม่มีโอกาสทำได้สำเร็จ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเย่ฟ่านก็รู้ตัวดีว่าเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นแค่ไหน
ทันทีที่เย่ฟ่านออกจากความสันโดษ เขาก็ยิ้มและสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตตัวน้อยสีทองนั้น
“ไม่คิดว่าจะพบเจ้าที่นี่
ต้องบอกว่าเจ้าตัวเล็กสีทองตื่นตัวมาก มันสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของเย่ฟ่านและมันก็รีบหนีไปในทันที
“ความเร็วของมันมากกว่าราชาเผิงน้อยปีกทองซะอีก!
เย่ฟ่านไม่ได้ไล่ตามมัน การเลี้ยงดูเจ้าตัวเล็กนี้อาจทำให้เขาล้มละลายภายในวันเดียว
และตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆที่ไม่ได้ใช้ต้นกำเนิด 800,000 จินซึ่งได้รับมาจากจักรพรรดิเซี่ย
ไม่คิดว่าเพียงต้นกำเนิดสวรรค์ 2 ก้อนและต้นกำเนิดแปรผันอีกเล็กน้อยจะทำให้เขาทะลวงเข้าสู่อาณาจักรตำหนักเต๋าชั้นห้าได้ในทันที
เย่ฟ่านยืนอยู่บนยอดเขาเตรียมที่จะเดินทางข้ามผ่านความว่างเปล่าด้วยค่ายกลที่เรียนรู้มาจากจักรพรรดิดำ จักรพรรดิดำเคยกล่าวไว้ว่าขอแค่มีต้นกำเนิดเพียงพอพวกเขาจะสามารถไปที่ไหนก็ได้
ด้วยวิธีนี้เย่ฟ่านใช้ต้นกำเนิดมากมาย ในที่สุดเขาก็ข้ามผ่านความว่างเปล่าไปถึงพื้นที่ของตระกูลเจียงโดยตรง
เขาไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับถิงถิงกับลุงเจียงหรือไม่
ตระกูลเจียงมีระยะห่างจากเมืองศักดิ์สิทธิ์มากกว่า 200,000 ลี้ เมื่อเทียบกับภาคเหนือที่กว้างใหญ่ไพศาล มันเป็นระยะทางที่สั้นมาก และระหว่างที่จะเข้าสู่ตระกูลเจียงนั้นเย่ฟ่านก็ต้องเดินทางผ่านอีกหลายเมือง
ตระกูลเจียงถือเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ พวกเขามีสถานะทัดเทียมกับตระกูลจี้และดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงในภาคใต้
แม้ว่าเย่ฟ่านจะมาถึงเขตอิทธิพลของตระกูลเจียงแล้ว แต่หากเขาต้องการเดินทางไปถึงจุดศูนย์กลางของตระกูลเจียงเขายังต้องเดินทางอีกกว่าหมื่นลี้
ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น แทบจะไม่มีผู้คนเดินทางตามถนนที่เย่ฟ่านมุ่งหน้าไป
เย่ฟ่านสะพายแส้ศักดิ์สิทธิ์ไว้บนหลัง เขาเดินทางผ่านทุ่งน้ำแข็งเพียงลำพังท่ามกลางลมเหนือที่รุนแรง เขาเดินทางผ่านหลายสิบเมือง ห่างจากดินแดนบริสุทธิ์ของตระกูลเจียงไม่ถึงสองพันลี้
ในระหว่างนี้มีหน่วยลาดตระเวนของตระกูลเจียงที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน แม้ว่าข้างนอกจะมีลมหิมะหนาวเหน็บแต่พวกเขายังคงมีสัตว์อสูรที่ใช้เป็นพาหนะ
เย่ฟ่านไม่สามารถไปตระกูลเจียงด้วยตัวเองได้ มิเช่นนั้นอาจเกิดหายนะครั้งใหญ่กับเขา เพราะมันเกี่ยวข้องกับเก้าญาณวิเศษลึกลับที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
เขาไม่ได้อธิบายและไม่สามารถพูดได้ว่าเขาอยู่ในภูเขาสีม่วง มิฉะนั้นแม้ว่าการส่งข่าวครั้งนี้จะเป็นเจตนาที่ดี แต่สุดท้ายผู้คนจากตระกูลเจียงจะไม่มีทางปล่อยให้เขารอดชีวิตอย่างแน่นอน
ในบ้านของพรานเฒ่า เย่ฟ่านกำลังดื่มเหล้าองุ่น กินเนื้อกวางย่าง และพูดคุยกับพรานเฒ่า เขาได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับตระกูลเจียงจากปากของชายชรา
ในเตา ฟืนยังคงส่งเสียงดัง ห้องอบอุ่นมาก พวกเขาดื่มเหล้าสองสามไหและมองดูลมหนาวที่แผดเสียงคำรามข้างนอก
ในวันรุ่งขึ้นเย่ฟ่านทิ้งต้นกำเนิดก้อนใหญ่ไว้ให้ชายชราก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งอย่างเงียบๆ
ในระหว่างวันนี้เย่ฟ่านพบผู้บ่มเพาะระดับต่ำห้าคน ขอให้คนเหล่านี้ส่งจดหมายคนละฉบับเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น
เนื้อหาของจดหมายนั้นเรียบง่ายมาก มันเป็นภาพวาดหยาบๆที่บ่งชี้ไปยังภูเขาม่วง และภายในนั้นมีแผนที่ขนาดเล็กชี้ตรงไปยังสถานที่ที่เจียงไท่ซูติดอยู่ มันเป็นแผนที่ที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก
แม้ว่าตระกูลเจียงจะมีความเคลือบแคลงในเรื่องนี้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องไปตรวจสอบอย่างแน่นอน
หลังจากที่เย่ฟ่านเสร็จสิ้นธุระทั้งหมดนี้ เขาก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่ชักช้า เขาใช้แท่นหยกลึกลับหลายครั้งติดต่อกัน จากสิ่งนี้เขาได้ข้ามความว่างเปล่าและเดินทางผ่านหลายสิบเมือง
เขาไม่ได้ออกจากพื้นที่นี้ แต่อาศัยอยู่ในเมือง ฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ และในขณะเดียวกันก็เริ่มเรียนรู้ "คัมภีร์จักรพรรดินีตะวันตก"
เพียงแค่ไม่กี่วัน พื้นที่นี้ก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาก ยอดฝีมือของตระกูลเจียงกำลังพยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่างอย่างชัดเจน
เย่ฟ่านรู้ดีว่าสิ่งที่เขาส่งไปได้ไปถึงผู้คนระดับสูงของตระกูลเจียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนถึงตอนนี้เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ว่าตระกูลเจียงจะช่วยเหลือราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เจียงได้หรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของตระกูลเจียงเองแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา ข่าวที่น่าตกใจแพร่กระจายในภาคเหนือราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เจียงไท่ซูยังมีชีวิตอยู่!
ข่าวนี้สะเทือนขวัญทั้งแผ่นดิน มันแพร่กระจายออกไปราวกับไฟลามทุ่ง
ต่อจากนั้น พื้นที่รกร้างทางทิศตะวันออกทั้งหมดก็เคลื่อนไหว ทุกนิกายและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างรู้ข่าวนี้ ซึ่งทำให้ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนตกตะลึง
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เจียงไท่ซูคือยอดคนอันดับหนึ่งของดินแดนรกร้างตะวันออก ในรอบห้าพันปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างแน่นอน
ในตอนที่เขายังเป็นหนุ่มเขามีความแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาสามารถฝึกฝนร่างศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองจนทะลุขีดจำกัดกลายเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนรกร้างตะวันออกที่ไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรได้!
แต่ในช่วงเวลาที่เขามีความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย สุดท้ายเวลาก็ผ่านไปถึงสี่พันปี ผู้คนจำนวนมากต่างก็เข้าใจว่าเขาน่าจะเสียชีวิตไปตั้งแต่แรกแล้ว
เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตระกูลเจียง ร่างราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่โลก มันคือสัญญาณแห่งความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงไท่ซูจะพบกับอุบัติเหตุที่เลวร้าย
หลังจากที่เขาหายสาบสูญไปไม่นานมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์และตระกูลขุนนางโบราณในดินแดนรกร้างตะวันออกก็ระเบิดขึ้น
เวลานานกว่าสี่พันปีผ่านไปในพริบตา และชื่อเจียงไท่ซูก็เกือบจะถูกลืมไปแล้ว
ในตอนนี้ข่าวที่บอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่กลับปรากฏขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย มันทำให้ผู้คนมากมายเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
กว่าสี่พันปีมาแล้วที่เจียงไท่ซูปกครองดินแดนรกร้างตะวันออกโดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้าน
“ทำไมเขาถึงหายตัวไปนานถึงขนาดนี้”
นี่เป็นคำถามของใครหลายคน ภายใต้สถานการณ์ปกติราชันย์ศักดิ์สิทธิ์สามารถมีชีวิตอยู่ได้สี่ถึงห้าพันปี หลังจากผ่านไปหลายปีราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เคยรุ่งโรจน์ในอดีตก็ควรจะมีอายุถึงช่วงท้ายของชีวิตแล้ว
เขาเสียเวลาชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์ถึงสี่พันปี แต่ในช่วงเวลาที่เขากำลังจะตายชื่อของเขากับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง?
ต่อให้เขาเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ แต่คนแก่ที่มีอายุขัยขนาดนี้จะสามารถทำอะไรได้อีก?
ข่าวเครื่องนี้รั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจและมันทำให้ผู้นำตระกูลเจียงคุ้มคลั่งถึงขีดสุด เขาลงมือประหารชีวิตลูกหลานที่เป็นคนปล่อยข่าวนี้ด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นานผู้นำตระกูลเจียงจึงได้ยอมรับว่าราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เจียงไท่ซูถูกขังอยู่ในภูเขาสีม่วง เมื่อข่าวเรื่องนี้ถูกเปิดเผยยิ่งทำให้ผู้คนมากมายหวาดกลัวถึงขีดสุด
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ที่หายตัวไปเป็นเวลาสี่พันปีอยู่ในภูเขาสีม่วง ความลึกลับทางประวัติศาสตร์ได้รับการเปิดเผยในที่สุด