MDB ตอนที่ 39 เรียกฉันว่า ‘ภัณฑารักษ์’
คนสามคนนี้เป็นบุคคลสำคัญหรือนักฆ่าผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว หลินจินด้อยกว่าในทุก ๆ ด้านอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ พวกเขาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของเขา พวกเขาทั้งระมัดระวัง หวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาได้ยินเขาอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย พวกเขามองหลินจินราวกับว่าพวกเขาได้เห็นผี
เมื่อมองไปที่ประตูทั้ง 20 บาน หลินจินเข้าใจว่า พิพิธภัณฑ์ได้เปิดห้องโถงเยี่ยมชมนี้ มันจะต้องมีคนได้รับ 'เชิญ' ผู้เยี่ยมชมอย่างน้อย 20 คน จากทั่วโลกให้มาเป็นแขกของเขา
หากทุกครั้งที่แขกเหล่านี้มาพร้อมกับชิ้นส่วนของสัตว์หายาก เช่น ขนสัตว์ ตัวอย่างเลือดหรืออื่น ๆ บันทึกสัตว์หายากในพิพิธภัณฑ์ของเขาก็จะเพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้เมื่อมีการบันทึกสัตว์หายาก 10 ตัว พิพิธภัณฑ์ได้มอบรางวัลอย่าง รูปแบบพลังงานอสูร ส่วนแรก หลังจากนั้น หลินจิน พบว่าความสำเร็จครั้งต่อไปของเขา จำเป็นต้องมีการบันทึกสัตว์หายากอย่างน้อย 50 ตัว
ด้วยความที่ตัวเขาอ่อนแอมาก คงเป็นเรื่องยากที่จะบันทึกสัตว์หายาก 50 ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาติดอยู่ในสถานที่เล็ก ๆ เช่น เมืองเมเปิ้ลแห่งนี้
จนถึงตอนนี้ เขาได้บันทึกสัตว์หายากเพียงสิบกว่าตัวเท่านั้น แต่การปรากฏขึ้นของห้องโถงเยี่ยมชมนี้ สิ่งต่าง ๆ ก็จะแตกต่างออกไป
คนเหล่านี้อาจมาจากส่วนต่าง ๆ ของอาณาจักรหรือแม้กระทั่งจากต่างอาณาจักรก็ได้ จำนวนสัตว์หายากที่พวกเขาพบต้องเกินจำนวนของเขามาก
หลินจินตั้งใจจะ 'ข่มขู่' พวกเขาก่อนก่อนที่จะให้สิทธิพิเศษบางอย่างแก่พวกเขา ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ราชวงศ์หรือผู้เชี่ยวชาญระดับโลกก็ต้องยอมจำนนต่อเขา
ด้วยความคิดที่น่าพึงพอใจนี้ หลินจินก็ยิ้มสดใส เมื่อตระหนักว่าใบหน้าของเขาถูกปกปิดโดยพิพิธภัณฑ์ เขาก็ยิ้มโดยไม่ลังเล
หลังจากที่เขาเปล่งเสียงการประเมินของสัตว์เลี้ยงไปแล้ว เหอฉิง, อีกาทมิฬและบุคคลที่สามที่มองไม่เห็นต่างก็ตกตะลึง
มันเป็นเรื่องปกติสำหรับเหอฉิงเพราะสิ่งที่เธอรู้สึกจะสะท้อนออกมาในการแสดงออกของเธอ แต่อีกาทมิฬนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นนักฆ่ามือฉมังที่สามารถทำลายทั้งอาณาจักรด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ทว่าในตอนนี้เขาไม่สามารถปกปิดความตกใจนี้ได้
เหตุผลก็คือเขาได้ใส่ 'พร' ที่ไม่เหมือนใครไว้บนเหยี่ยวดำของเขา แม้จะมีเทคนิคการประเมินเฉพาะทางแต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกข้อมูลที่แท้จริงของเหยี่ยวดำของเขาได้ อย่างน้อย ๆ ก็ด้วยตาเปล่า
ถึงกระนั้น ชายที่อยู่ชั้นสองสามารถอธิบายเหยี่ยวดำของเขาได้อย่างง่ายดายและทำให้อีกาทมิฬรู้สึกเหมือนถูกเปลื้องผ้าในที่สาธารณะ
มันเป็นความรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง พอไม่สบายใจก็จะหงุดหงิดและเมื่อเขารู้สึกหงุดหงิด เขาก็อยากฆ่าอีกฝ่าย
“พอกันทีกับการกระทำลึกลับ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใครแต่เจ้ากำลังยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจผลที่ตามมาจากการก้าวล่วงใครบางคนที่เจ้าไม่ควรจะยั่วยุ” อีกาทมิฬข่มขู่
เขาร่ายมนต์ทันทีและเหยี่ยวดำก็ลุกขึ้นจากไหล่ของเขา พลังงานธาตุมืดล้อมรอบร่างของมัน รวมตัวกันเป็นเงาสีดำขนาดใหญ่ ในทันที พลังของเหยี่ยวดำระดับสี่ก็ระเบิดออกมา
ธาตุมืด มันคือคุณสมบัติของเหยี่ยวดำ
เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัตินี้หายากเพียงใดและความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่น่ากลัวนั้นน่ากลัวมากเช่นกัน
อีกาทมิฬเชื่อมั่นในสัตว์วิเศษของเขา ความมั่นใจนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์การต่อสู้นับไม่ถ้วนและเอกลักษณ์ของมันในฐานะสัตว์วิเศษระดับสี่ที่มีสายเลือดที่ซ่อนอยู่ซึ่งก็เพียงพอต่อการทำลายทั้งอาณาจักร
“ฆ่ามัน!”
อีกาทมิฬชี้ไปที่หลินจินบนชั้นสองและเหยี่ยวดำส่งเสียงร้องออกมา จากนั้น มันบินโฉบไปที่เป้าหมายราวกับยมฑูต
เหอฉิงนั่งยอง ๆ จับศีรษะของเธอด้วยความตกใจ ไม่ว่าเธอจะฉลาดแค่ไหน เธอก็ยังกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษระดับสี่
หลินจินก็ตกใจเช่นกัน แม้เขาจะมีทักษะกำราบสัตว์วิเศษแต่มันก็มีผลแค่ระดับหนึ่งถึงระดับสามเท่านั้น เขาไม่สามารถทำอะไรกับระดับสี่ได้
ดังนั้นเขาเองก็ประหม่าเช่นกัน
แต่ในขณะนั้น ป้ายไม้ในมือของเขาที่เขียนว่า 'ภัณฑารักษ์' ได้ปล่อยคลื่นแห่งความข่มขู่ คลื่นนี้ได้สาดซัดออกมาและเหยี่ยวดำหยุดนิ่งราวกับถูกฟ้าผ่า จากนั้นมันก็ร่อนลงพื้นและคุกเข่าต่อหน้าหลินจิน
สีหน้าอันดุร้ายบนใบหน้าของอีกาทมิฬหยุดนิ่ง เขายังคงชี้ไปที่ชั้นสอง แต่ความตื่นตระหนกครั้งใหญ่นี้และจิตใจที่ฟุ้งซ่านทำให้เขาลืมวิธีคิดไป
‘เกิดอะไรขึ้น?’
เหยี่ยวดำของเขาเป็นสัตว์เลี้ยงที่เย่อหยิ่ง ในฐานะเจ้าของของมัน อีกาทมิฬต้องสุภาพกับมันและปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียมกัน หากน้ำเสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย เหยี่ยวดำจะโกรธ ทำให้อีกาทมิฬสงสัยว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงของมันหรือไม่?
แต่ตอนนี้ เหยี่ยวดำที่เย่อหยิ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเหมือนมนุษย์ที่ถ่อมตน
สติหวนคืนสู่จิตใจที่ว่างเปล่าของเขาพร้อมกับคลื่นแห่งความกลัว ตอนนี้เม็ดเหงื่อได้ปกคลุมหน้าผากของอีกาทมิฬ
หลินจินก็มีเหงื่อออกเช่นกัน สัตว์วิเศษระดับสี่ช่างน่ากลัวจริง ๆ หากเป็นคนอื่นที่กล้าหาญน้อยกว่าเขา พวกเขาอาจจะล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ แต่โชคดีที่เขาตั้งสติได้ทันและป้ายของภัณฑารักษ์ก็กำราบเหยี่ยวดำตัวนี้
หลินจินกำป้ายแน่นขึ้นและถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็กดเสียงต่ำเพื่อถามอีกาดำว่า “เจ้ากำลังทำอะไร?”
น้ำเสียงของเขาผสมกับการส่อเสียดและขุ่นเคือง
“ข้า…ข้า…” มือของอีกาทมิฬสั่นเทาขณะที่เขาพูดตะกุกตะกัก ด้วยความจริงที่ว่าสัตว์เลี้ยงของเขามีระดับสี่และชายคนนั้นเองก็มีชื่อเสียงในฐานะยมทูต คนอย่างเขาไม่รู้จักความกลัวเพราะความอวดดี มีเพียงผู้ที่อยู่สูงกว่าเท่านั้นที่ควรค่าต่อการแสดงความเคารพจากเขา
ในที่สุดอีกาทมิฬก็ตระหนักว่าเขาได้ยั่วยุคนผิด ชายคนนั้นที่อยู่เบื้องหน้าแข็งแกร่งกว่าเขามาก
ความโกรธ ความเย่อหยิ่งและความเกลียดชังของเขาก็สลายไปราวกับว่าเขาถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ เขาน่าจะรู้ว่าเจ้าของสถานที่นี้พิเศษแค่ไหนที่สามารถพาเขามาที่นี่ได้ แต่อีกาทมิฬโง่พอที่จะคิดว่าเขาสามารถท้าทายชายผู้พูดด้วยเหยี่ยวดำของเขาได้
เมื่อมองย้อนกลับไป นั่นเป็นความคิดโง่เขลาอย่างแท้จริง
อีกาทมิฬไม่อยากตาย เขาเป็นนักฆ่าที่เก็บเกี่ยวชีวิตมาหลายชีวิตโดยที่ไม่ต้องสบตามามากมาย แต่เขาก็ยังกลัวความตายเป็นอย่างมาก
เมื่อปราศจากแรงต่อต้าน ประพฤติกรรมอันเย่อหยิ่งและทะนงตนได้หายไป อีกาทมิฬคุกเข่าลงกับพื้นและหาแก้ตัวที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำอย่างนี้
“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ได้โปรดอย่าถือสาข้าเลย”
“อุ๊ปส์!” เหอฉิงที่กลั้นขำไม่ไหวได้หัวเราะออกมา
หลินจินไม่ทำอะไรกับเขาเพราะเขาไม่มีวิธีโจมตีหรือผูกมัดแขกของเขา เขาเพียงอาศัยป้ายภัณฑารักษ์ในมือเพื่อกำราบสัตว์เลี้ยงของแขกเท่านั้น
หลินจินมีความรู้สึกว่าป้ายของภัณฑารักษ์ต้องติดตั้งทักษะกำราบสัตว์วิเศษระดับกลางเอาไว้
"ไม่เป็นอะไร ข้าหวังว่าจะไม่เห็นพฤติกรรมอย่างนี้อีกในครั้งต่อไป”
หลินจินโบกมือของเขา ราวกับว่าอีกฝ่ายได้รับการนิรโทษกรรม อีกาทมิฬก็ลุกขึ้นอีกครั้งด้วยความเย่อหยิ่งและความได้เปรียบของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหยี่ยวดำบินเปลี่ยนรูปร่างให้ที่ขนาดเท่าเดิมและบินมาเกาะบนไหล่ของอีกาทมิฬอย่างเชื่อฟัง
“มาพูดถึงธุระของเรากันเถอะ ยินดีต้อนรับผู้เยี่ยมชมทั้งสามของข้าที่มาเยือนในพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษ ที่แห่งนี้ เจ้าสามารถสอบถามอะไรก็ได้เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของเจ้าและจำไว้ว่า มันต้องเกี่ยวกับสัตว์วิเศษเท่านั้น เจ้าสามารถถามอะไรก็ได้และข้าจะตอบพวกเจ้า แต่แน่นอนว่าไม่มีคำตอบฟรี สำหรับคำถามแต่ละข้อ พวกเจ้าต้องมอบขนหรือตัวอย่างเลือดจากสัตว์หายาก เอาล่ะ ตอนนี้ เริ่มถามคำถามได้แล้ว!” หลินจินพูดอย่างจริงจัง
แต่อีกฝ่ายไม่ถามสิ่งใด ปล่อยให้ความเงียบพัดผ่านไป
หลินจินไม่ได้เร่งพวกเขา แต่เฝ้ารออย่างเงียบ ๆ
เหอฉิงกระพริบตากลมโตของเธอมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นอย่างวิตก
“เจ้าอยากจะถามอะไร?” หลินจินมองตรงไปที่เจ้าหญิง
เหอฉิงชี้ไปที่สัตว์เลี้ยงของเธอแล้วดึงขนออกมา “ข้าขอถามหน่อยได้หรือว่า ข้าจะพัฒนาสัตว์เลี้ยงของข้าภายในกรอบเวลาที่สั้นที่สุดได้อย่างไร?”
คำถามนี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับหลินจิน เขามีมากกว่า 4 วิธีที่จะช่วยให้มังกรผีเสื้อปีกเหลี่ยมวิวัฒนาการ หลินจินเลือกวิธีที่ง่ายที่สุด เขาเขียนลงไปแล้วโยนให้เธอ
เหอฉิงหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านและรู้สึกตื่นเต้นทันที เธอสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่ารายงานการประเมินนี้มีมูลค่ามากเพียงใด
อีกาทมิฬผู้อยากรู้อยากเห็นยืนอยู่ใกล้ ๆ เพื่อดูเนื้อหาของรายงานการประเมินนี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงเอียงคอไปมองแต่น่าเสียดายที่เขามองไม่เห็นอะไรเลย แต่เขาไม่ได้ตาบอด เนื่องความตื่นเต้นของเด็กสาว รายงานการประเมินจะต้องให้วิธีการวิวัฒนาการที่แท้จริงให้แก่เธอ
นอกจากความกลัว ความอยากรู้ก็เบ่งบานในหัวใจของอีกาทมิฬ
“ข้ามีคำถามอื่น” เหอฉิงครุ่นคิดก่อนที่จะถอดสร้อยคอรอบคอที่งามของเธอออก ที่แขวนอยู่บนสร้อยคอนี้เป็นเกล็ดสีรุ้ง
เห็นได้ชัดว่าเกล็ดนี้มาจากสัตว์ร้ายหายาก
เธอโยนให้หลินจินและคนหลังคิดว่าเธอต้องการถามเกี่ยวกับเกล็ดนี้ แต่ใครจะรู้ว่าเหอฉิงถามคำถามอื่นแทน
“ท่านช่วยบอกข้าที…ท่านเป็นใคร?”
คำถามนี้ขัดกับกฎเล็กน้อย หลินจินไม่ใช่สัตว์วิเศษแต่หลังจากพิจารณาอย่างจริงจังแล้ว เขาจึงตอบว่า
“งั้นเจ้าเรียกข้าว่า 'ภัณฑารักษ์' ก็ได้!”