ข้าถูกเลี้ยงในกรงมาร 66 สรรพสัตว์ล้วนระทมทุกข์ (ฟรี)
ข้าถูกเลี้ยงในกรงมาร 66 สรรพสัตว์ล้วนระทมทุกข์
คงหนิงอยู่หน้าหลุมศพนอกเมืองเพียงไม่นาน
หลังจากนัดหมายกันอย่างคร่าวๆ กับหว่านเอ๋อเพื่อพบกันในวันพรุ่งนี้ ทั้งคู่ก็แยกทางกันทันที
ส่วนเรื่องปีศาจที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลสวี ตอนนี้ทำได้เพียงพักไว้ก่อนเท่านั้น
สวีเมี่ยวอีตกตายเร็วเกินไปโดยไม่ทิ้งเบาะแสที่มีประโยชน์ใดๆ ไว้ให้เลย
คงหนิงและหว่านเอ๋อไม่ทราบระดับการบ่มเพาะของปีศาจแมว หากปีศาจแมวทรงพลัง แล้วคงหนิงกับพวกรุมล้อมเข้าโจมตี ก็เทียบเท่ากับการแสวงหาความตาย
อย่างไรเสียไหดำลึกลับของคงหนิงก็สามารถค้นหาปีศาจภายในเมืองได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนอะไร
คงหนิงต้องการจะสังหารปีศาจชั่วร้ายทั้งหมดในเมืองอยู่แล้ว การที่ปีศาจแมวสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักพักไม่ใช่เรื่องใหญ่
หลังจากแยกทางกัน คงหนิงก็มุ่งตรงกลับบ้านที่ตรอกฮว๋ายชู่ ส่วนหว่านเอ๋ออุ้มร่างของเด็กหญิงที่กำลังหลับใหลกลับบ้านร้างตระกูลเถียน
ไหดำลึกลับภายในจุดตันเถียนยังคงสั่นสะเทือนไม่หยุด
การกลั่นพลังงานปีศาจสีเลือดยังไม่จบลง
นี่เป็นครั้งแรกที่ไหดำลึกลับใช้เวลากลั่นนานขนาดนี้ ดังนั้นคงหนิงจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะได้รับอะไรเมื่อการกลั่นสิ้นสุดลง
คงหนิงสงสัยตลอดทางในยามค่ำคืน สุดท้ายก็มาถึงตรอกฮว๋ายชู่
ภายใต้แสงดาว ไม่อาจมองเห็นดวงจันทร์ เมื่อคงหนิงก้าวเข้าสู่ตรอกฮว๋ายชู่ เห็นร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่
สีหน้าดูไม่แยแสสิ่งใด ใบหน้าแก่หง่อมดูเหนื่อยล้าอย่างมาก......
พ่อของเขานั่งอยู่ใต้ต้นฉัตรจีนเงียบๆ เฝ้าดูการมาถึงของเขา
คงหนิงสะดุ้งและรีบเดินเข้าไปหา
“พ่อ ทำไมกลางค่ำกลางคืนยังออกมาข้างนอกอีก” คงหนิงถามอย่างเป็นห่วง “แม่ล่ะ? แม่ไปไหน?”
ภายใต้ร่มเงาสีดำของต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าของพ่อซ่อนอยู่ในเงามืดแทบจะทั้งหมด
ลมกระโชกยามค่ำคืนทำเอาต้นฉัตรจีนที่อยู่เหนือศีรษะสั่นสะท้าน เงาของต้นฉัตรจีนเองก็สั่นไหว ทำให้ใบหน้าของผู้เป็นพ่อดูย่ำแย่ยิ่งขึ้นไปอีก
เขาเอนหลังพิงต้นฉัตรจีน ท่าทางดูเหนื่อยอ่อน ถือหนังสือเล่มเก่าในมือ
เมื่อคงหนิงเดินเข้าไปหา เขาก็คว้าแขนของคงหนิงเอาไว้
จากนั้นเสียงที่ดูเหนื่อยล้าก็ดังขึ้นข้างๆ คงหนิง
“ในตอนนี้แม่ของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่......”
“หนิงเอ๋อ เทศกาลไหว้พระจันทร์กำลังจะมาถึง......”
“เจ้าซื้อขนมไหว้พระจันทร์มาหรือเปล่า?”
สีหน้าของพ่อดูกังวลเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คงหนิงได้ยินค่อนข้างจะเข้าใจยากนิดหน่อย
“ถ้าเจ้าไม่ซื้อขนมไหว้พระจันทร์ เจ้าจะไม่ทันเทศกาลไหว้พระจันทร์!”
มือของพ่อจับคงหนิงไว้แน่น และมันก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม คงหนิงหัวสมองว่างเปล่าไปหมด ไม่รู้ว่าพ่อของเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ขนมไหว้พระจันทร์? พ่อ ท่านอยากกินขนมไหว้พระจันทร์หรือ? พรุ่งนี้หนิงเอ๋อจะไปซื้อให้” คงหนิงสงสัยว่าทำไมผู้เป็นพ่อไม่ยอมหลับยอมนอนยามค่ำคืน ออกมาด้านนอกแล้วยังมานั่งคุยเรื่องขนมไหว้พระจันทร์
แต่เขาก็พยายามปลอบพ่อของตน พยายามเกลี้ยกล่อมให้กลับเข้าไปพักผ่อนในบ้าน
มันเป็นเพียงแค่คำพูดปลอบโยนของคงหนิง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผล
หลังจากได้ยินคำพูดของคงหนิง พ่อของเขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ขนมไหว้พระจันทร์!”
“คือเทศกาลไหว้พระจันทร์! เทศกาลไหว้พระจันทร์น่ะ! เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว!”
“เจ้ารีบไปซื้อขนมไหว้พระจันทร์ซะ!”
“ถ้าเจ้าไม่ซื้อขนมไหว้พระจันทร์ ก็จะไม่ทันเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว!”
คนเป็นพ่อดูเหมือนกำลังร้อนรน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คงหนิงได้ยินนั้นกลับจับต้นชนปลายไม่ถูก
เมื่อเห็นท่าทางกังวลใจของพ่อ เขาก็ยังไม่รู้ว่าพ่อต้องการจะสื่อถึงอะไร
เขาต้องพยักหน้าให้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปซื้อขนมไหว้พระจันทร์ทีหลัง จะต้องทันเทศกาลไหว้พระจันทร์แน่ๆ”
“ท่านพ่อ มืดค่ำแล้ว เข้าไปพักผ่อนเถิด เดี๋ยวจะเป็นหวัดกันพอดี”
คงหนิงปลอบโยนพ่อของเขา กลัวว่าชายชราจะเคลื่อนไหวเร็วเกินไป พยายามช่วยพ่อของเขาให้ลุกขึ้น
อย่างไรก็ตาม พ่อของเขานั่งร่างแข็งทื่อ คงหนิงออกแรงเล็กน้อย แม้จะมีความแข็งแรงแต่กลับไม่สามารถยกพ่อขึ้นมาได้
คงหนิงตกตะลึง คิดอยู่ภายในใจ ตั้งใจจะออกแรงมากขึ้น
แต่ในขณะนั้น เสียงของแม่ก็ดังขึ้นที่ด้านนอกตรอกฮว๋ายชู่
“หนิงเอ๋อ เจ้าออกมาทำไม?”
ภายใต้แสงดาวสลัว ก็เห็นแม่เดินออกมาจากตรอกฮว๋ายชู่
นางมองมาที่คงหนิงแล้วพูดว่า “ดึกมากแล้ว เข้านอนซะ พรุ่งนี้ต้องไปรายงานตัวที่ศาลาว่าการอีก”
แม่ดูเป็นห่วงคงหนิง
ในยามที่นางออกมา คงหนิงรู้สึกได้ว่าร่างกายที่แข็งทื่อของพ่อก็พลันอ่อนลงทันที
ความวิตกกังวลบนใบหน้าก็หายไป กลายเป็นใบหน้าบูดบึ้งเย็นชาเหมือนในอดีต
เขาปล่อยมือคงหนิง เอนหลังพิงต้นฉัตรจีนด้วยท่าทางไม่สนใจอะไร แล้วกล่าวว่า “แม่ของเจ้ากล่าวถูกต้อง กลับไปนอนเร็วเข้า”
“กลางค่ำกลางคืนเป็นเวลานอน ออกมาทำอะไรข้างนอก? กลับไปนอนเดี๋ยวนี้!”
ท่าทีของพ่อเปลี่ยนไปในฉับพลัน
คงหนิงรู้สึกสับสน
แม้ว่าพ่อของเขาจะอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอ แต่การจะเปลี่ยนสีหน้าในชั่วพริบตาเช่นนี้ มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?
เมื่อครู่ยังเร่งเร้าให้ตนซื้อขนมไหว้พระจันทร์อย่างกระวนกระวายใจอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเร่งให้คงหนิงเข้านอน นี่มัน......สุดยอดไปเลย
คงหนิงส่ายศีรษะอย่างไร้หนทาง แล้วจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนกันเถิด เดี๋ยวข้าจะไปแล้ว”
เมื่อพูดจบ คงหนิงก็เดินไปที่ประตูรั้ว ตั้งใจจะเข้าไปในห้องนอนโดยตรง
แต่ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตูไป เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้
คงหนิงหันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว และมองไปยังเฒ่าชราทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง
เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “พ่อ แม่ กลางค่ำกลางคืนพวกท่านออกมาข้างนอกทำไม? พวกท่านไม่นอนกันหรือ?”
นี่มันก็ยามสี่แล้ว ค่อนข้างพิกลไม่น้อยที่ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองจะยังอยู่นอกบ้านในเวลานี้
เมื่อเจอกับคำถามของคงหนิง พ่อของเขาที่นั่งพิงต้นฉัตรจีนก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร
แม่ผู้ใจดียิ้มแย้มแล้วกล่าวว่า “แม่จะรีบนอนเร็วๆ นี้แหละ หนิงเอ๋อรีบไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา”
เสียงของแม่ที่อ่อนโยนแสนใจดีมีพลังในการทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงได้ ความกังวลและความสับสนภายในใจของคงหนิงพลันหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาแสดงรอยยิ้มผ่านสีหน้า “เช่นนั้นก็ดี”
หลังจากพูดจบ คงหนิงก็เดินหน้าเข้าไปในลานบ้านอย่างเชื่อฟัง
ภายในตรอกมืดมิด เหลือเพียงเฒ่าชราสองคนเท่านั้นที่มองหน้ากันโดยไม่กล่าวอะไรกันสักคำ
แม่ที่มีรอยยิ้มประดับหน้าก็เดินไปนั่งที่หน้าประตูบ้าน เริ่มเปิดปากพูดกับพ่อที่พิงต้นฉัตรจีนอยู่
“นี่เจ้ากล้าพูดอะไรออกไปจริงๆ หรือนี่.......”
“โชคดีที่ข้าเตรียมการไว้ล่วงหน้าและกลับมาได้ทันเวลา”
“ไม่เช่นนั้นมันจะต้องเป็นเรื่องแย่สำหรับเจ้าจริงๆ......อา......”
“อะไร? นี่เจ้าต้องการจะเป็นปลาตายอวนขาด[1]จริงๆ งั้นหรือ?”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือ บางสิ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้หนิงเอ๋อรู้”
คนเป็นแม่ยิ้มอย่างเป็นมิตร กล่าวตักเตือนผู้เป็นพ่อ
ผู้เป็นพ่อที่อยู่ใต้ต้นฉัตรจีนสูดลมหายใจเข้าออกนิ่งเฉย กำหนังสือในมือแน่นแล้วกล่าวว่า “เจ้าเตรียมพร้อมมาอย่างดี ดูเหมือนมุ่งมั่นอย่างมากที่จะชนะสินะ”
“เมื่อเทศกาลเก้าคู่ผ่านไป เจ้าก็จะเริ่มเลยใช่หรือไม่? หรือพอถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์เจ้าก็รอไม่ไหวแล้ว?”
น้ำเสียงของพ่อฟังดูแย่เหมือนเช่นเคย
แม่ยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือแม้แต่เทศกาลเก้าคู่........ เจ้าจะโมโหไปทำไม? ไม่มีอะไรที่เจ้าจะทำได้อยู่แล้ว มันจะดีกว่าถ้าเชื่อฟังและยอมรับความจริง อย่างน้อยก็ทุกข์ตรมน้อยลง”
พ่อมองนางด้วยความเฉยเมยก่อนจะพูดว่า
“ดวงจันทร์ยังถูกเมฆบดบังได้ กระแสน้ำยังมีขึ้นมีลง เจ้าถือครองอำนาจและได้เปรียบในวันนี้ ย่อมสามารถใช้อำนาจได้อย่างป่าเถื่อน”
“แต่หากเจ้ายืนกรานที่จะเดินตามทางของตัวเอง จะต้องไม่ได้พบกับผลลัพธ์ที่ดีเป็นแน่”
“อย่ามาบอกนะว่าข้าไม่บอกล่วงหน้า อย่ามาบอกล่ะว่าข้าไม่เตือนเจ้า!”
คนเป็นแม่มองไปที่พ่อและหนังสือในมือด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งกล่าวว่า “สิ่งพึงใจนับพัน สิ่งไม่พึงใจนับหมื่น”
“เมื่อกายจาก ใจจาก สรรพสัตว์ล้วนเป็นทุกข์”
“ป๋ายฉือ เส้นทางของเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ไร้ประโยชน์ที่จะพูดอะไรอีกต่อไป นับจากนี้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องเดินไปในเส้นทางสายอื่นแล้ว”
“หนังสือเล่มนั้น ก็ควรจะให้ข้าได้ดูมันด้วย”
“ถ้าเจ้ายังคงทำให้เสียเวลาอยู่อีก พวกเราจะตายกันหมด”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
น้ำเสียงของแม่อ่อนโยน รอยยิ้มสดใส และเสียงของนางเต็มไปด้วยสายใยผูกพัน
อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นพ่อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับพ่นลมออกมาอย่างแรง ไม่สนใจท่าทีของนาง ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาเป็นท่าทีเฉยเมย
“ฮึ่ย!”
----------------------------------------------------------
[1] ปลาตายอวนขาด ก็คือไม่ยอมแพ้ ดิ้นรนต่อสู้จนตัวตาย