MDB ตอนที่ 36 รางวัลใหม่
ไข่ใบที่สองนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาไข่ทั้งหมด มันสูงครึ่งหนึ่งของมนุษย์วัยผู้ใหญ่ หลินจินจะอยากรู้ว่าจะมีตัวอะไรฟักจากไข่ขนาดใหญ่ใบนี้
เมื่อยื่นมือออกไป พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษก็บันทึกไข่ที่กลายพันธุ์ใบที่สองในทันที
ไข่กลายพันธุ์: ระดับสอง สามารถฟักเป็นไทรันโนซอรัสเพลิงได้
คุณสมบัติ: ธาตุไฟ
วิธีการฟักไข่: 2 วิธีคือ…
วิธีการเลี้ยงดู: ด้วยการเลี้ยงดู มันมีโอกาสที่จะเพิ่มระดับเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตขึ้นเป็นระดับสาม มี 3 วิธีคือ…
วิธีสร้างพันธสัญญาโลหิต: 5 วิธีคือ…
หลินจินไม่สามารถอธิบายความประหลาดใจของเขาได้ในขณะที่เขาอ่านทีละบรรทัด
‘นี่คือรูปร่างตอนที่มันฟักออกมาอย่างงั้นเหรอ?’
ส่วนที่ดีที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือสามารถแสดงรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตก่อนที่ไข่จะฟักออกมา ดังนั้น หลินจินจึงมองดูไทรันโนซอรัสเพลิงสูง 30 เซนติเมตร มันปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่ลุกเป็นไฟ มันช่างน่าเกรงขามมาก
หากสัตว์ตัวนี้ได้รับการดูแลอย่างดี มันก็จะเป็นระดับสามเมื่อฟักออกมา แม้ว่าการสร้างพันธสัญญาโลหิตจะลำบาก มันต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและวัสดุหายากแต่การได้ครอบครองสัตว์วิเศษระดับสามก็ถึงว่าคุ้มค่ามาก
นอกจากนี้ อัตราศักยภาพของมันถึงระดับห้าอีกด้วย!
นั่นหมายความว่า ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สิ่งมีชีวิตดังกล่าวสามารถเลื่อนระดับเป็นระดับห้าได้!
สัตว์เลี้ยงระดับสามนั้นมีค่ามากอยู่แล้วในเมืองเมเปิ้ล ดังนั้นแม้แต่คนโง่ที่ไร้สมองก็สามารถบอกได้ว่าสัตว์วิเศษระดับห้าจะน่ากลัวขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้น ไทรันโนซอรัสเพลิงตัวนี้ยังมีสายเลือดของ 'มังกรเพลิง' ซึ่งทำให้มันยิ่งน่าเกรงขามมากขึ้น
พูดตามตรง มันเป็นไปไม่ได้ที่หลินจินจะไม่หวั่นไหวเมื่อพบสัตว์วิเศษที่มีระดับและศักยภาพถึงขนาดนี้ ลืมเสี่ยวฮั่วไปได้เลย แม้แต่สัตว์วิเศษตัวอื่น ๆ ที่หลินจินบันทึกไว้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับไทรันโนซอรัสเพลิงได้เลย
ขอแค่เขาสามารถทำให้มันเชื่องและเขาก็สามารถลงนามในพันธสัญญาโลหิตกับสัตว์วิเศษตัวนี้ได้
แต่หลินจินก็แค่คิดเท่านั้น เนื่องจากไข่ใบนี้ไม่ได้เป็นของเขาและความต้องการทรัพยากรในการเลี้ยงดูและการฟักไข่ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาอยู่ห่าง ๆ จากมัน
หลังจากคำนวณคร่าว ๆ มันต้องใช้หินวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งพันก้อนเพื่อฟักไข่นี้และไม่ใช่หินวิญญาณระดับต่ำนับพัน อย่างน้อยต้องเป็นระดับปานกลาง
หลินจินยกนิ้วขึ้นและคำนวณ ด้วยเงินเดือนปัจจุบันของเขา เขาต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะหาเงินได้มากขนาดนั้นโดยไม่ต้องกินหรือดื่ม
และนั่นเป็นเพียงราคาสำหรับการฟักไข่เท่านั้น สำหรับการสร้างพันธสัญญาโลหิตและการเสริมระดับก็ต้องใช้ทรัพยากรมากกว่านี้อีกหลายเท่า มันไม่ต่างจากหลุมดำขนาดยักษ์เลย
เขาควรจะทำงานเกี่ยวกับรายงานการประเมินแทนดีกว่า
หลินจินทำรายงานเสร็จแล้ว แน่นอนว่า เขากรองเนื้อหาและเขียนเฉพาะข้อมูลที่ธรรมดาที่สุดเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปที่อื่น ความเร็วของเขานั้นเร็วกว่าหวังจีและเกาเจียงมากมาก
“ไข่กลายพันธุ์ระดับหนึ่ง งูเหลือมพิษ ธาตุดินและไม้ มันหายากมาก แต่น่าเสียดายที่ศักยภาพของมันนั้นอยู่ในระดับปานกลาง”
“ไข่กลายพันธุ์ ระดับหนึ่ง ทูแคนทอง ธาตุทองคำ ศักยภาพทั่วไป อืม มันก็ใช้ได้”
“ไข่กลายพันธุ์ ระดับสอง เวโลซิแรปเตอร์หนังหนาม มันเยี่ยมมาก มันมีเร็วสูงแต่ลักษณะเฉพาะของมันค่อนข้างแปลกไปหน่อย มันควรจะจู่โจมโดยรออะไรบางอย่างกัดมันอย่างงั้นหรือ?”
“ไข่กลายพันธุ์ ระดับหนึ่ง แมงป่องเกราะดำ… ไข่กลายพันธุ์ ระดับหนึ่ง กิ้งก่าดำ ระดับหนึ่ง…”
หลินจินยังคงประเมินและเขียนต่อไป ในไม่ช้า ไข่กลายพันธุ์ที่บันทึกไว้ในพิพิธภัณฑ์ก็ถึงสิบใบแล้ว
มีแสงสีทองส่องลงมาที่พิพิธภัณฑ์เพียงสิบดวงในขณะที่เมฆลอยอยู่รอบ ๆ มีฟ้าแลบและฟ้าร้อง จากนั้นบันไดเวียนไม้ชั้นเดียวก็ปรากฏขึ้นซึ่งนำไปสู่ชั้นสอง เมื่อหมอกกระจายตัว ประตูก็ปรากฏขึ้นบนชั้นสองนี้
หลินจินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ เขารีบขึ้นบันไดเพื่อไปดูสถานที่ใหม่ในพิพิธภัณฑ์ เขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบนชั้นใหม่นี้ ชั้นนี้กว้างขวางแต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงขุ่นมัวเพราะไข่ที่กลายพันธุ์ที่บันทึกไว้มีเพียงสิบใบเท่านั้น ดังนั้นจึงปรากฏเฉพาะแค่ประตูเท่านั้น
ประตูนี้ทำจากโลหะที่มีลวดลายซับซ้อน หลินจินรู้สึกประหม่า เขากลัวว่าจะมีอะไรอยู่อีกด้านของประตูนี้ แต่หลังจากครุ่นคิด เขาก็รู้สึกว่าเขาคิดมากเกินไป พิพิธภัณฑ์เป็นของเขาและไม่ควรเป็นอันตราย ดังนั้นหลินจินจึงตัดสินใจผลักประตูออก
ประตูเปิดออกและเผยให้เห็นห้องหนึ่ง
ห้องนี้ใหญ่และว่างเปล่า มีประตูไม้ทั้งหมด 20 บาน โดยแบ่งเป็นซ้ายขวา ฝั่งละ 10 บาน ทุกประตูมีตัวเลขตั้งแต่หนึ่งถึงยี่สิบ
หลินจินไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีไว้เพื่ออะไร เขาสันนิษฐานว่าพิพิธภัณฑ์จะมอบรางวัลเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ มันให้ห้องนี้แก่เขาแทน
อย่างไรก็ตาม หลินจินก็สังเกตเห็นเบาะแส ตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเป็นรูปเป็นร่าง ทุกที่ที่เขาสัมผัสเขารู้สึกได้ถึงความสมจริง
“นี่มันแปลกมาก”
หลินจินอยู่บนชั้นสองของห้องนี้ เขามองไปรอบ ๆ และพบป้ายไม้แขวนอยู่หลังประตู
เขาเอื้อมมือออกไปหยิบป้ายไม้ที่เขียนว่า ‘ภัณฑารักษ์’ ขึ้นมา เมื่อพลิกไปด้าน มีข้อความเล็ก ๆ เขียนไว้ว่า
“สิ่งมหัศจรรย์ของโลกทำให้จักรวาลแปรเปลี่ยนไป แขกผู้มีความสามารถอันเหนือล้ำและไม่เหมือนใครจะได้รับการต้อนรับ หากโชคชะตาดลบันดาลให้พบกัน พวกเขาจะเข้ามาในสถานที่ที่มีคือว่า ห้องโถงเยี่ยมชมสัตว์วิเศษ!”
หลินจินรู้สึกงุนงง ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าถูกเหล็กไนที่จิ้มนิ้วของเขา และหลินจินก็ปล่อยมือป้ายไม้ ทำให้มันตกลงไปที่พื้น เขาเหลือบมองที่นิ้วของเขา ดูเหมือนว่าจะมีอะไรถูกบางสิ่งกัดและตอนนี้ก็มีเลือดออก
หลินจินก้มลงไปมองอย่างโกรธเคืองที่ป้ายไม้ที่กัดเขา
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินคนเรียกเขาอย่างแผ่วเบา หลินจินหันหลังและออกจากห้องทันที ในเวลานั้น หลินจินไม่ได้ตระหนักว่าเลือดของเขาได้ซึมเข้าไปในป้ายไม้บนพื้น พร้อมกันนั้น ประตูไม้สามบานที่อยู่บนชั้นสองก็เริ่มสว่างไสวด้วยแสงประหลาด ๆ...
ทันทีที่เขาออกไป ภาพตรงหน้าก็พร่ามัวและเขาก็กลับมาที่ห้องโถงประเมินของสมาคม
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นผู้ประเมินฝึกหัดที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“ผู้ประเมินหลิน? ผู้ประเมินหลิน? เขาไปอยู่ที่ไหนกันนะ”
หลินจินกระแอม "ข้าอยู่นี่!"
ผู้ประเมินฝึกหัดตกใจ เขาหันกลับมามองอย่างหงุดหงิด “ผู้ประเมินหลิน ท่านหนีไปไหนมาเมื่อกี้? ข้าหาท่านไม่เจอเลย”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
เนื่องจากผู้ประเมินฝึกหัดเป็นลูกศิษย์ของหวังจี หลินจินจึงไม่ต้องกังวลและถามอย่างไม่แยแสว่า “เจ้ามาหาข้าต้องการอะไรหรือ?”
ผู้ประเมินฝึกหัดตอบว่า “หัวหน้าหวังบอกให้ข้าเข้ากะกลางคืนและเตรียมของขวัญสำหรับวันพรุ่งนี้และสั่งให้ข้ามาดูว่าผู้ประเมินหลินต้องการอะไรหรือไม่?”
ประโยคสุดท้ายเห็นได้ชัดว่าพูดมามารยาทแต่หลินจินไม่ได้ใส่ใจ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าถาม เขาก็กล้าขอ
"ต้องการสิ การประเมินสัตว์วิเศษเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย นำเหล้าและอาหารมาให้ข้า ข้ายังไม่ได้ทานอาหารเย็นเลย”
ผู้ประเมินฝึกหัดได้สาปแช่งปากตัวเองที่พูดอย่างนั้นออกมา แต่ในเมื่อพูดไปแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเตรียมพวกมันมาให้หลินจิน
'แค่อาหารเย็นไม่พอแต่เจ้าจะเอาเหล้าด้วย แม้ว่าข้าจะนำมาจริง ๆ เจ้ายังจะกล้าดื่มมันงั้นเหรอ? ช่างเป็นชายที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวจริง ๆ'
หลังจากที่ผู้ประเมินฝึกหัดออกไป หลินจินก็พบกองของขวัญบนโต๊ะ รวมทั้งงานเขียนพู่กันและภาพวาด มันจะต้องถูกนำมาโดยผู้ประเมินฝึกหัด
"แปลก เมื่อกี้เขาไม่เห็นฉันงั้นเหรอ?” หลินจินรู้สึกว่ามันแปลก ๆ เพราะจิตของเขาเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่ร่างกาย แล้วทำไมผู้ประเมินฝึกหัดถึงไม่สังเกตเห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?
เว้นเสียแต่ว่า…
หัวใจของหลินจินเต้นแรงในทันใดขณะที่เขานึกถึงความรู้สึกที่เหมือนจริงภายในห้องและวิธีที่ผู้ประเมินฝึกหัดไม่ได้เห็นเขาก่อนหน้าตอนนี้
“เว้นเสียแต่ว่าร่างกายของฉันจะเข้าไปข้างในจริง ๆ!”
หลินจินคิดว่า ห้องโถงเยี่ยมชมนั้นน่าจะเป็นรางวัลใหม่ของพิพิธภัณฑ์ แต่สิ่งที่หลินจินไม่รู้ก็คือวิธีใช้งานของมัน ยิ่งกว่านั้น ร่างกายของเขาสามารถเข้าไปในสถานที่นั้นได้