ต่างโลกกับเทพบริหาร ตอนที่ 188 ที่เมืองทาเลส
ตอนที่ 188 ที่เมืองทาเลส
15 วันต่อมา
ณ เมืองทาเลส
หลังจากที่ไมล์ออกคำสั่งให้ใช้ความเต็มที่ของรถไฟเดินทางมาที่เมืองทาเลส ก็สามารถเดินทางมาถึงได้แบบไม่มีปัญหาอะไรระหว่างทางเลยสักอย่าง พวกทหารเองต่างก็ได้รับคำสั่งให้หยุดพัก และไปหาครอบครัวของตนได้แบบอิสระ ทั้งมนุษย์ ทั้งเอลฟ์และคนแคระ
ตัวเมืองทาเลสตอนนี้มันใหญ่กว่าเดิมเท่าตัวหลังจากที่ไมล์เดินทางออกไปเมื่อหลายเดือนก่อน เพราะต้องรองรับคนจากป้อมดีแลนด์แล้วก็คนจากที่อื่นเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากจึงโตได้อย่างรวดเร็ว และพวกคนที่เดินทางเข้ามาก็ไม่ได้มีเพียงคนของอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังมีทั้งจักรวรรดิที่หนีจากสงครามการแบ่งแยกประเทศ คนของสหราชอาณาจักรที่หนีจากสงครามอพยพเข้ามาอยู่มากมาย
แล้วด้วยตามนนโยบายของไมล์ที่บอกกับเมคัสเอาไว้ว่า [ไม่ว่าใครมาก็รับเอาไว้หมด] จึงทำให้เมืองใหญ่ขึ้นแบบที่เห็น แล้วก็ยังมีการต่อเติมให้เห็นเรื่อยๆ แบบไม่ได้หยุดพัก
จนตอนนี้เรียกได้ว่าเมืองทาเลสเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของอาณาจักรก็ไม่ผิด แต่สถานะตอนนี้ก็ยังเป็นเพียงเมืองชายแดนเพียงเท่านั้น
ณ ตามทางเดินของเมือง
‘เปลี่ยนไปมากจริงๆ ไม่คิดเลยว่ามันจะเปลี่ยนไปได้เยอะขนาดนี้เพียงเวลาไม่กี่เดือน’ ไมล์กำลังกวาดสายตามองตามบ้านและผู้คนตามสองฝั่งทางแบบแปลกใจ เพราะการพัฒนาไม่ได้มีขนาดของเมืองเท่านั้นแต่พวกบ้านก็ยังพัฒนามากขึ้นด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ไมล์กำลังอยู่บนรถม้าที่กำลังตรงไปยังคฤหาสน์ของตนอยู่ โดยมีเวโรนิก้ากำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมใบหน้าแปลกใจเมืองมองพวกบ้านตามทาง
‘ท่าทางแบบนั้นมีความคิดแบบเราอยู่แน่ เหอะๆ’
“ไม่คิดเลยว่าจะพัฒนาได้ขนาดนี้” เวโรนิก้าพรึมพรำขณะที่สายตากำลังมองไปยังด้านนอกรถม้า
‘ทางฉันเองก็เหมือนกันนั้นแหละ’ ไมล์เองก็มีความเห็นเดียวกับเธอ เพราะเมืองตอนนี้มันพัฒนาไปเร็วจริงๆ
แต่ถึงแบบนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเกี่ยวกับเมืองที่เปลี่ยนไป จนเวลาผ่านไปได้ไม่นานรถม้าก็หยุดลงแล้วชไนน์เดอร์ก็เดินมาเปิดประตูรถม้าเพื่อให้ทั้งสองคนเดินลงไปเพราะเดินทางมาถึงคฤหาสน์กันแล้ว
แต่ทว่าเวโรนิก้ากลับยังไม่ขยับอะไร
‘หืม ทำไมไม่ลงละ???’ ไมล์มองเวโรนิก้าด้วยความสงสัย เพราะตามปกติแล้วเมื่อคิดตามชนชั้นต่อให้ที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตของไมล์ก็ตาม แต่องค์หญิงก็ต้องลงไปก่อนแล้วเดินนำอยู่ดี “องค์หญิงท่านไม่-”
“เชิญค่ะ” เวโรนิก้ายิ้มแล้วชี้มือไปทางประตู แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอต้องหารให้ไมล์เดินลงไปก่อน
‘เอาจริงเหรอ เหอะๆ’ ไมล์ยิ้มเฟื่อนกับคำพูดที่ได้ยิน “องค์หญิงเวลาแบบนี้ตามชนชั้นแล้วท่านต้องลงไปก่อนสิครับ”
“ไม่ค่ะ!” เวโรนิก้าสายหน้าเล็กน้อย “ตอนนี้ตามชั้นชนข้าเหนือกว่าก็จริง แต่อีกไม่นานท่านก็ต้องเหนือกว่า เพราะงั้นทำให้ชินตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”
ระหว่างพูดท่าทางยิ้มแบบสดในของเวโรนิก้าก็หายไป แล้วก็แสดงเป็นท่าทางกำลังอายออกมา หน้าตาก็แดงขึ้นเล็กน้อย
‘ถ้าจะพูดแล้วเป็นแบบนั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก แต่ก็แปลก ตั้งแต่ที่อยู่บนรถไฟช่วงออกมาจากเมืองหลวงแล้วยัยนี่พูดจา [ค่ะ] ลงท้ายตลอดเลย อันตรายจริงๆ ต้องวางแผนอะไรเอาไว้แน่’ ไมล์มองเวโรนิก้าแล้วคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา
เพราะตั้งแต่ที่เดินทางออกมาจากเมืองหลวงเธอก็มีมารยาทขึ้นเยอะ แถมสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามหมดทุกอย่าง จนไมล์เกิดความระแวงกับแผนของเธอว่าต้องหารจะทำอะไรกันแน่เพราะถึงจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าเธอยังไม่ยอมแพ้เรื่องแต่งงาน แต่การทำแบบนี้มันก็ผิดปกติจนเกินไป
“ถ้าท่านว่าแบบนั้นข้าลงไปเลยแล้วกัน” ไมล์ลุกขึ้นแล้วเดินลงจากรถม้า ถึงแม้ว่าตอนนี้จะสงสัยในการกระทำของเวโรนิก้าอยู่ก็ตาม แต่การถามออกไปมันก็เป็นการเสียมารยาท แล้วอีกอย่าง ตัวไมล์ก็เข้าใจดีว่าถึงจะถามก็คงไม่ได้รับคำตอบที่เป็นประโยชน์แน่นอน
จากนั้นเมื่อลงจากรถม้าไมล์ก็ตรงไปยังทางเข้าของคฤหาสน์ โดยมีเวโรนิก้าเดินตามหลังแบบราชินีเดินตามราชาเมื่อเดินทางไปไหนมาไหน แต่เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าคฤหาสน์ก็เจอกับเรื่องแปลกใจ เพราะตอนนี้เมคัสกำลังยืนอยู่ก็จริง แต่ก็โดนเอลฟ์กำลังเกาะขาอยู่
‘อะไรละนั่น???’ ไมล์มองเพราะสงสัยกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เพราะถึงจะเห็นแต่ก็ไม่ได้ยินว่าสองคนนั้นกำลังพูดอะไรกัน แล้วเอลฟ์ที่กำลังเกาะขาของเมคัสอยู่ก็กำลังร้องไห้ออกมาด้วย
จากนั้นจึงรีบเพิ่มความเร็วเพื่อไปถามเหตุผลทันทีว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะตามปกติแล้วพวกเอลฟ์เป็นเผ่าที่จะไม่ยอมทำแบบนั้นแน่นอน แถมยังร้องไห้อีกลางสังรณ์ญของไมล์สามารถบอกได้ทันทีว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ
“ขอร้องละท่านเมคัสช่วยลูกสาวข้าด้วย ท่านช่วยส่งทหารออกไปตามหาลูกสาวของข้าด้วยนางหายตัวไปสองวันแล้ว” เอลฟ์อ้อนวอนขณะที่กำลังเกราะขาของเมคัส
ส่วนสาเหตุที่มันเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าลูกสาวของเอลฟ์คนนี้ได้หายไปตัวจากบ้านเมื่อสองวันก่อนแล้วขาดการติดต่อไป ทำให้เอลฟ์ผู้เป็นพ่อเป็นห่วงมากและมาขอร้องเมคัสอย่างที่เห็น
“ข้าส่งไปแล้ว บอกไปตั้งหลายครั้ง” เมคัสตอบด้วยท่าทางเหนื่อยใจ เพราะตลอดระยะเวลาช่วงสองวันที่ผ่านมาเอลฟ์คนนี้มาร้องไห้ขอร้องตลอดทั้งวันในเรื่องลูกสาวของตน แต่ทางเมคัสก็ไม่ได้นิ่งดูดายได้ส่งทหารออกไปตามหาแล้ว เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาในการตามหาเท่านั้น
“นี่มันก็สองวันแล้วนะครับ”
“เจ้าคิดว่าหาคนมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง” เมคัสพยามตอบแบบใจเย็น แต่ในใจ ‘ให้ตายสิ! ใครกันมันกล้ามาทำเรื่องแบบนี้ถ้าท่านไมล์กลับมาได้ยินเข้ามีหวัง-’
“มันเกิดอะไรขึ้นเมคัส!” ไมล์ที่เดินถึงจุดทั้งสองคนอยู่เริ่มถามทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะรก่อนจะถามก็พอได้ยินเรื่องเมื่อครู่บ้างแล้ว
‘เอาแล้วไง! ได้ยินจนได้ มีหวังกลายเป็นเรื่องอีกแน่ เฮ้อ~’ เมคัสมองไปทางไมล์ก็เข้าใจดีว่าต้องเป็นปัญหา เพราะใบหน้าของไมล์ตอนนี้กำลังเหมือนกับคนที่โกรธมากไม่มีผิด
จากนั้นเมคัสจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ไมล์ฟังแบบไม่มีทางเลือก ถึงใจจริงจะไม่อยากให้ไมล์ได้ยินเรื่องแบบนี้ก็ตาม