ระบบเส้นทางแห่งสวรรค์ บทที่ 14 ผู้ตรวจการ
วาเรี้ยนต้องการถามระบบเกี่ยวกับสถานะของเขา และไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อตรวจสอบว่าเคยเขาไปที่นั่นจริงๆหรือเปล่า
ก่อนหน้านั้นเขาพยายามลุกขึ้นนั่งโดยไม่รบกวนไคล์ที่นอนอยู่ข้างเตียงของเขา แต่…
'ไอ้เวรเอ้ย!'
วาเรี้ยนขยับศีรษะไปด้านข้างและหลบหมัดของไคล์ไคล์มองเขาด้วยความโกรธ มายาเริ่มร้องไห้
“เดี่ยวก่อนเพื่อนใจเย็นๆ!” ตอนนี้วาเรี้ยนเป็นผู้ถูกปลุกพลังด้านร่างกายและสามารถหลบหมัดของไคล์ได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับไคล์
“ใจเย็นๆ ไอ้เหี้*! ทำไมมึงต้องแสดงความกล้าหาญด้วย? เราน่าจะสู้กับมันด้วยกัน! รู้ไหมถ้าพวกเราไปสายครึ่งนาที แกจะต้องตายและไปเจอพระเจ้าของแกแล้ว! ไคล์คว้าหมอนบนเตียงแล้วต่อยมัน หนึ่งหมัด สองหมัด สามหมัด เขาต่อยจนหมอนขาดเพื่อระบายความโกรธ
วาเรี้ยนดูการระบายอารมณ์ของไคล์โดยที่ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา เขาไม่เสียใจกับการตัดสินใจของเขา เขารับไม่ได้ที่ต้องเป็นไคล์ที่จะต้องยอมเป็นคนซื้อเวลาให้แล้วตัวเองเป็นคนรอด
หากพวกเราต่อสู้ด้วยกัน มายาจะเป็นคนแรกที่ตายแล้วไคล์ก็จะตายตามไปติดๆ วาเรี้ยนแม้จะอ่อนแอที่สุดในสามคนตอนนั้น แต่เขาก็คิดว่าเขาคงจะสามารถหาวิธีเอาตัวรอดได้
นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องเลือก เขาจะฆ่าเพื่อนที่พร้อมจะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อเขา หรือเขาจะเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อเพื่อน?
“ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า” เสียงพูดของใครบางคนดังขึ้นและพวกเขาหันไปสนใจที่ประตูทางเข้าแทน อาเธอร์ยืนอยู่ตรงนั้น ยิ้มให้กับพวกเขาที่กำลังเถียงกัน
มายายิ้มเขินๆ ให้เขาและส่ายหัว “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
วาเรี้ยนสังเกตอาเธอร์อยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้วาเรี้ยนเป็นผู้ปลุกพลังเขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของออร่าในอากาศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสตำแหน่งของอาเธอร์ผ่านออร่าได้ เมื่อเทียบกับออร่าที่ไหลเข้าและออกจาก วาเรี้ยนแล้วออร่าของอาเธอร์นั้นสูงกว่ามาก แล้วทีมของอาเธอร์ละ…
“แม้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นแต่เธอก็บรรลุเป้าหมายแล้ว” อาเธอร์มองไปยังวาเรี้ยนอย่างกังวลใจและพูดว่า “อย่ากังวล ลูกทีมของฉันสบายดี เราถูกตรึงไว้สักพักนึงแต่สิ่งที่เราทำได้มากสุดคือทำทำให้พวกอะบิซอลระดับ 1 บาดเจ็บและหนีออกมา”
“ไม่คุณช่วยชีวิตฉันไว้ ขอบคุณ” วาเ้รียนโค้งคำนับอาเธอร์และพูดว่า "ฉันรู้ว่ายังเร็วไปที่จะพูด แต่สักวันหนึ่งฉันจะตอบแทนให้"
อาเธอร์หัวเราะแล้วไม่พูดอะไรต่อ
“แต่ทำไมอะบิซอลถึงมาที่ดันเจี้ยนละ? พวกมันควรจะอยู่ในอะบิสไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมพอฉันพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับพวกมันแล้วคุณถึงตอบแบบบ่ายเบี่ยงกับฉัน” ไคล์พูดขึ้นมา
วาเรี้ยนเหลือบมองอาเธอร์ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น อาเธอร์ตอบสนองอย่างไม่เป็นธรรมชาติเมื่อไคล์พูดถึงข่าวลือที่ว่าอะบิซอลสามารถใช้อุโมงค์ข้ามมิติเพื่อเข้าไปในดันเจี้ยนได้
“คุณกำลังปิดบังอะไรอยู่ใช่มั้ย” วาเรี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงที่เชื่องช้าแต่เคร่งขรึม
อาเธอร์มองเขาด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาดัง ๆ "นายเก่งมากฉันรู้อะไรบางอย่าง แต่ฉันไม่สามารถบอกพวกเธอได้ เนื่องจากฉันรู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ แต่ตอนนี้พวกเธอก็รู้เรื่องนี้ไปแล้ว"
มายาและไคล์มองอาเธอร์อย่างสับสน คำถามของพวกเขาได้รับคำตอบเมื่อประตูเปิดออกและมีชายในชุดดำเข้ามาในห้อง
เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าไม่ยิ้มแย้มและดูเหมือนเป็นติดหนี้ใครแล้วโดนทวงทุกวัน
“ฉันเป็นผู้ตรวจการจากที่ทำการดันเจี้ยน” เขาโชว์บัตรประจำตัวของเขากับพวกวาเรี้ยน และพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่น่าเบื่อหน่าย “เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพวกคุณต้องลงนามในข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล มิฉะนั้นจะถูกตั้งข้อหากบฏ”
"อะไร?" มายาเป็นคนแรกที่พูดออกมา “การปิดบังข้อมูลของคุณทำให้ชีวิตเพื่อนของฉันตกอยู่ในอันตราย และตอนนี้คุณกำลังบอกว่าเราเป็นกบฎ หากเราไม่อยู่เชยๆ”
ไคล์เองก็โกรธเช่นกัน แต่เขานิ่งเงียบ โดยคิดว่าทำไมพวกเขาถึงใช้วิธีสุดโต่งเช่นนี้
วาเรี้ยนจ้องไปที่ผู้ตรวจการรในดวงตาและกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณทำเช่นนี้ มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นบ่อยๆใช่ไหม”
เขาก้าวไปข้างหน้าและพูดต่อไปว่า “รัฐบาลไม่ต้องการให้คนธรรมดาตื่นตระหนก ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ต้องการให้มีผลกระทบต่อการฝึกปลุกพลังระดับต่ำ”
ดันเจี้ยนเป็นสนามรบเพื่อฝึกฝนทักษะ การเข้าสู่อะบิสหรือการต่อสู้กับอะบิซอลในแนวหน้าไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ แต่ทุกคนสามารถเข้าไปในคุกใต้ดินและต่อสู้ได้
นับตั้งแต่การปรากฏตัวของพวกมัน ดันเจี้ยนยังคงเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ในการปลุกพลังของคนหลายคน
การตัดมันออกตอนนี้จะทำให้ความแข็งแกร่งระดับต่ำของมนุษยชาติอ่อนแอลง มันจะทำให้ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการต่อสู้กับอะบิซอลเพิ่มมากขึ้น
ผู้ตรวจการเลิกคิ้ว “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คุณไม่มีทางเลือกพลังคุณพึ่งตื่น ดังนั้นทำตามที่บอกซะ”
อุณหภูมิในห้องลดลง พื้นเริ่มแข็ง มายาและไคล์ตัวสั่น ร่างกายของวาเรี้ยนต้านทานความหนาวเย็นได้บาง แต่เขาก็ยังได้รับผลกระทบ
“ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยหล่ะ” อาเธอร์เคลื่อนไหวอย่างอิสระในความหนาวเย็นและตบไหล่ของผู้ตรวจการ
ผู้ตรวจการเกือบล้ม เขามองอาเธอร์ด้วยความประหลาดใจและระมัดระวังตัวมากขึ้น น้ำแข็งละลายและห้องกลับสู่อุณหภูมิปกติในทันที
ที่ทำการดันเจี้ยนไม่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพและเป็นหนึ่งในจุดเชื่อมโยงที่อ่อนแอที่สุดในระบบราชการ ผู้ตรวจการดันเจี้ยนระดับต่ำอย่างเขามักจะเป็นเลเวล 2 และอยู่ที่ด้านล่างของปิรามิด ดังนั้น เขาจะเก่งได้ก็ต่อเมื่อผู้ปลุกพลังเป็นระดับ 1 เหมือนกับสามคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
น่าเสียดายที่อาร์เธอร์ไม่ยอมให้เขาขู่กันไปมากกว่านี้
วาเรี้ยนถอนหายใจในใจ "การกดขี่หน่ะมันก็มีอยู่ทุกที่นั้นแหละ บอสระดับ 1 เหนือระดับ 0 บอสระดับ 2 เหนือกว่าระดับ 1 สังคมที่ยุติธรรมนั้นไม่เท่าเทียมกันและสังคมที่เท่าเทียมนั้นก็ไม่ยุติธรรม'
"ลงชื่อซะ" ผู้ตรวจการปัดข้อความที่ข้อมือและพวกเขาก็ได้รับข้อตกลงที่จะไม่เปิดเผยข้อมูล คราวนี้น้ำเสียงของเขานุ่มนวลขึ้นมาก
วาเรี้ยนคลิกที่ข้อความของเขาและเอกสารโฮโลแกรมก็เปิดขึ้น มันแสกนตาของวาเรี้ยนและบันทึก DNA และลายเซ็นออร่าของเขาจนเสร็จสิ้นขั้นตอน
ผู้ตรวจการกล่าวว่า "เนื่องจากคุณลงนามในข้อตกลงแล้ว งั้นก็พอจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทำนองนี้ได้ มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันแบบนี้มากกว่า 20 เหตุการณ์ในเดือนที่ผ่านมาบนโลก"
'อ อ ...อะไรนะ' แม้ว่าเขาจะเดาได้ แต่วาเรี้ยนก็ยังแปลกใจกับจำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไม่มีสงครามไหนเกิดขึ้นนับตั้งแต่สงครามดาวพลูโตในปี 514 แต่มนุษย์ทุกคนรู้ว่าสงครามครั้งต่อไปจะปะทุขึ้นเมื่อใดก็ได้ เมื่อมันเกิดขึ้นก็จะไม่มีความสงบสุข มีแค่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้เท่านั้น นั่นหมายถึงมีชีวิตหรือความตาย
วาเรี้ยนถามว่า “ทำไมอะบิซอลถึงทำแบบนี้นี้?”