MDB ตอนที่ 32 ปิดประตู ปล่อยหมาออกมา
หลู่หยุนเหอ เขาเป็นสมาชิกของสมาพันธ์นักบวชแห่งเมืองเมเปิ้ล
ในโลกนี้ที่ความเป็นไปได้ของความเป็นอมตะได้สูญสิ้นไปแล้ว เนื่องด้วยพลังจิตวิญญาณของโลกไม่เหมาะสำหรับการบ่มเพาะอีกต่อไป
มนุษย์จึงเปลี่ยนวิธีการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งโดยการทำพันธสัญญาโลหิตกับสัตว์วิเศษ
มันเป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่สิ่งนี้กลายเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนรู้จัก
ในยุคนี้ ข้อแตกต่างระหว่างนักบวชกับบุคคลธรรมดาคือพวกเขาฝึกฝน 'พันธสัญญาโลหิต' กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาเพิ่มระดับของสัตว์เลี้ยงแล้วดูดซับพลังของสิ่งมีชีวิต
สัตว์เลี้ยงเป็นเพียง 'สื่อ' สำหรับนักบวชที่จะรับพลังจิตวิญญาณของโลก
ระดับการฝึกฝนของนักบวช มีทั้งหมดมีสิบอาณาจักร พันธสัญญาโลหิตซึ่งนักบวชสามารถรับพลังตามสัดส่วนของระดับอาณาจักร ตัวอย่างเช่น หลู่หยุนเหอที่เป็นที่รู้จักในนามอัจฉริยะในสมาพันธ์นักบวช เขาได้ปลูกฝังพันธสัญญาโลหิตมีกับสัตว์ร้ายของเขาถึงระดับสี่ หมายความว่าเขาสามารถใช้พลังของสัตว์วิเศษได้ถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์
กระบวนการนี้เริ่มต้นจากภายในร่างกาย ถือว่าเป็นการเกิดใหม่สำหรับผู้ฝึกตน
นักบวชบางคนสามารถแยกหินก้อนใหญ่ออกได้อย่างง่ายดาย กระโดดสูง 3 เมตร มีความแข็งแกร่งผิดปกติและสามารถควบคุมธาตุทั้งห้าได้โดยไม่ต้องใช้สัตว์วิเศษ ควบคุมเปลวไฟและฟ้าร้อง สร้างกำแพงดิน แม้กระทั่งหายใจด้วยน้ำแข็ง
บางคนอาจพูดว่า ในเมื่อพวกเขามีสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว จะมีประโยชน์อะไรในการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น? แต่บางครั้ง เมื่อสัตว์เลี้ยงจับคู่กับคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังที่เท่าเทียมกัน มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อสู้และการฝึกฝนของเจ้าของที่จะตัดสินผลแพ้ชนะ
นักบวชบางคนไม่จำเป็นต้องพึ่งสัตว์วิเศษเพื่อกดขี่สัตว์วิเศษของคนอื่นด้วยซ้ำ มันช่างเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่น่าทึ่ง
สมาพันธ์นักบวชแห่งเมืองเมเปิ้ลเป็นสถานที่ฝึกฝนระดับพันธสัญญาโลหิต ในฐานะที่เป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ที่น่าทึ่ง หลู่หยุนเฮอจึงเย่อจะหยิ่งโดยธรรมชาติ
ดังนั้นเมื่อชายผู้โอหังผู้นี้ได้ยินว่าน้องสาวของเขาถูกรังแก หลู่เสี่ยวหยุนจึงเข้ามาจัดการเจ้าเศษขยะที่หลอกลวงน้องสาวของเขา แถมยังทำให้เธอยกเลิกการเป็นศิษย์ของผู้ประเมินราคาเกาเจียงอีกด้วย นี่จึงทำให้หลู่หยุนเหอโกรธจัด
ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่พร้อมกับสัตว์เลี้ยงของเขาเพื่อสร้างปัญหาให้กับหลินจิน
หลู่เสี่ยวหยุนที่อยู่ระหว่างการศึกษาค้นคว้าก็ตกใจกับการปรากฏตัวของพี่ชายของเธอ เธอรีบเข้าไปถามว่า “ท่านพี่ ท่านกำลังทำอะไร?”
"ข้ากำลังทำอะไรงั้นเหรอ? เสี่ยวหยุน เจ้าถูกผู้ชายคนนี้หลอก ถ้าผู้ประเมินเกาไม่ได้เขียนจดหมายถึงข้าเป็นการส่วนตัวโดยบอกความจริงกับข้า ข้าคงจะถูกปิดกั้นจากความจริงไปตลอดกาล“เมื่อกล่าวจบ หลู่หยุนเหอมองไปที่หลินจินที่เพิ่งนั่งอยู่ ทันทีที่รู้ว่านี่คือเป้าหมายของเขา หลู่หยุนเหอตะโกนว่า”เจ้าไม่รู้จักที่ของเจ้างั้นเหรอ? ไม่ว่าใครในสมาคมประเมินสัตว์วิเศษต่างก็ทราบว่าเจ้าไม่ชำนาญและยังทำผิดพลาดในการประเมินของเจ้า? คนอย่างเจ้ามีค่าพอที่จะเป็นอาจารย์งั้นหรือ?”
ก่อนที่หลินจินจะพูด หลู่เสี่ยวหยุนก็เป็นคนแรกที่อารมณ์เสียขึ้นมา
ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงและรีบดึงพี่ชายของเธอ “ท่านพี่ ท่านพูดอะไรออกมา การขอเป็นศิษย์กับผู้ประเมินหลินจินคือการตัดสินใจของข้า โธ่ ท่านพี่ ท่านไม่รู้อะไรเลยแต่ท่านกลับมาสร้างปัญหาให้ข้า!”
หลู่หยุนเหอรักน้องสาวของเขาอย่างสุดหัวใจ เมื่อเขาเห็นน้ำตาในดวงตาของเธอ เขาก็พยายามระงับความโกรธของเขาและถามว่า
“เสี่ยวหยุนอย่าโกหกพี่ น้องเปลี่ยนอาจารย์ด้วยความตั้งใจของตัวเองจริง ๆ งั้นหรือ?”
หลู่เสี่ยวหยุนพยักหน้า
หลินจินพูดขึ้น "ข้าไม่เคยบังคับให้ใครทำอะไรโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องการ!"
อย่างไรก็ตาม หลู่หยุนเฮฮยิ้ม “ถึงจะไม่บังคับแต่ใช่ว่าจะเต็มใจ ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย เจ้าได้สั่งให้น้องสาวของข้าแอบเอาเตาหลอมของข้าไปอย่างลับ ๆ ใช่หรือไม่?”
‘เตาหลอม?’
หลินจินไตร่ตรองและนึกได้ว่าหลู่เสี่ยวหยุนที่นำเตาหลอมมา มันเป็นของพี่ชายของเธอ อย่างไรก็ตาม หลินจินไม่รู้ว่าเธอทำอย่างลับ ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธคำกล่าวอ้างนี้
หลู่หยุนเหอถามอีกครั้ง “นอกจากเตาหลอมแล้ว น้องสาวข้าได้มอบอะไรให้เจ้าอีกบ้าง?”
หลินจินตอบอย่างซื่อสัตย์ “เธอได้มอบวิญญาณอสูรธาตุไฟระดับหนึ่งขั้นสูงให้ข้า”
"อะไรนะ!?" หลู่หยุนเหอแค่พยายามจะหาเรื่องอีกฝ่ายแต่ใครจะรู้ว่าเขาได้คำตอบจริง ๆ เขาโกรธมากจนผมของเขาตั้งขึ้นมา “เจ้าคนชั่วช้าสามานย์! น้องสาวของข้ายังไร้เดียงสา เจ้ายังหลอกลวงได้ลงคอ ข้าต้องสอนบทเรียนให้เจ้าในวันนี้ในนามของความยุติธรรม!”
หลู่หยุนเหอเต็มไปด้วยความโกรธ ตอนนี้ไม่มีใครหยุดเขาได้
หลู่เสี่ยวหยุนอยากจะรั้งเขาไว้ แต่เธอได้ยินหลินจินพูดว่า “เสี่ยวหยุน พี่ชายของเจ้ามีอารมณ์ฉุนเฉียวแบบเดียวกับเจ้าและจะไม่ยอมถอยกลับจนกว่าเขาจะชนกำแพง เจ้าไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมเขา เจ้าจงไปปิดประตูซะ”
หลู่เสี่ยวหยุนตกตะลึงเมื่อได้ยินคำสั่งนี้และตกใจ
หลู่หยุนเหอหันมาเยาะเย้ยแทน “เจ้ากลัวที่จะเสียหน้าเมื่อข้าทุบตีเจ้างั้นหรือ? เซี่ยวหยุนไปปิดประตูซะ ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงสภาพที่น่าสังเวชของชายผู้ตกอับผู้นี้”
สัตว์วิเศษของหลู่หยุนเหอเป็นสิงโตที่หายากในเมืองเมเปิ้ล มันส่งเสียงคำรามและปล่อยออร่าอันทรงพลังออกมาในทันที มันคล้ายคลึงกับเจ้าของของมันที่โดดเด่นและหยิ่งผยอง
แต่ด้วยปฏิกิริยาของหลู่เสี่ยวหยุนเกือบจะทำให้หลู่หยุนเหอเกือบจะเซล้มลง
เธอรีบไปหาหลินจินและพูดว่า “ผู้ประเมินหลิน พี่ชายของข้าแค่หุนหันพลันแล่น ได้โปรดอย่าโกรธเคืองเขาเลย ข้าขอเวลาสักหน่อย ข้าอาจจะเกลี้ยกล่อมเขาได้”
‘อะไรนะ?’
ดวงตาของหลู่หยุนเหอเบิกกว้าง เขาสงสัยว่าเขากำลังหูฝาดหรือไม่ ทำไมดูเหมือนเธอกำลังขอร้องให้หลินจินยกโทษให้เขา มันควรจะเป็นอย่างอื่นไม่ใช่หรือ?
อย่างไรก็ตาม คำตอบของหลินจินก็ชวนทำให้หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
“เสี่ยวหยุน เขาจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ ไม่ต้องกังวลไป เขาเป็นพี่ชายของเจ้าและในฐานะอาจารย์ ข้าถือว่าเป็นผู้อาวุโสสำหรับเขาเช่นกัน ดังนั้นข้าจะไม่ทำให้เขาลำบากมากจนเกินไป”
“แต่ประตูมันพังแล้ว มันปิดไม่สนิท” หลู่เสี่ยวหยุนตอบ
“แขวนผ้าม่านกั้นไว้ เราต้องอย่าให้บุคคลภายนอกสนุกกับการดูเราแก้ไขความขัดแย้งภายใน” หลินจินกล่าวอย่างไม่เป็นทางการ
"หุบปาก!" หลู่หยุนเหอโกรธจัด
เขากำลังจะบ้า
'นี่คืออะไร? ข้าเป็นนักบวชชั้นนำในรุ่นของข้าในสมาพันธ์นักบวชของเมือง ระดับการบ่มเพาะพันธสัญญาโลหิตของข้าอยู่ที่อาณาจักรที่สี่และสัตว์เลี้ยงของข้าอยู่ที่ระดับสอง แม้แต่เกาเจียงก็ต้องเคารพข้า แล้วเจ้าขยะหลินคนนี้กล้าประเมินข้าต่ำไปได้อย่างไร ถ้าวันนี้ข้าไม่ทุบตีเจ้าจนตายก็อย่ามาเรียกข้าว่าหยุนเหอ!'
หลู่หยุนเหอที่เด็ดเดี่ยวก็ร่ายมนต์ทันทีและสิงโตของเขาก็คำรามและกระโจนใส่หลินจิน
สัตว์เลี้ยงของเขามีคุณสมบัติธาตุลม มันกวาดล้างพายุด้วยความเร็วราวปานสายฟ้า พร้อมกับควบคุมรัศมีอันทรงพลัง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะไปถึงหลินจิน ก็มีร่างเงามาขวางทางไว้
มันเป็นสัตว์เลี้ยงของหลินจิน เสี่ยวฮั่ว หมาป่าอัคคี
“สิงโตมีความดุร้ายตามธรรมชาติ ในฐานะราชาแห่งสัตว์ป่า สัตว์วิเศษทั่วไปจะพ่ายแพ้ในทันที…” หลู่หยุนเหอดูมั่นใจแต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้เขากลืนคำพูดที่เหลือลงไปในคอ
หมาป่าอัคคีที่มีขนาดเล็กกว่าสัตว์เลี้ยงของเขากลับตะปบเจ้าสิงโตล้มลงกับพื้น
‘เกิดอะไรขึ้น?’
หลู่หยุนเฮอคิดว่าดวงตาของเขาพร่ามัว หมาป่าอัคคีสายพันธุ์ธรรมดาสามารถเอาชนะสิงโตระดับสองของเขาได้อย่างไร?
“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าหมาป่าเล่นงานสิงโตของข้าทีเผลอเท่านั้น!” หลู่หยุนเหอคิดเองเออเอง เขารู้ว่าหมาป่าอัคคีนั้นเป็นของหลินจินซึ่งไม่น่าจะแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นความผิดปกติ เขาจึงตัดสินใจเอาจริงโดยเริ่มร่ายคาถาให้กับสัตว์เลี้ยง
“กระหายเลือด!”
นี่เป็นคาถาเพิ่มความแข็งแกร่งของสัตว์วิเศษอย่างรวดเร็ว มันคาถาที่ใช้งานในหมู่เจ้าของสัตว์วิเศษทั่วไป
สิงโตถูกห่อหุ้มด้วยสีแดงสดทันทีราวกับว่ามันถูกทาด้วยชั้นเลือด ทำให้ดูดุร้ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิงโตผู้ได้รับพร มันส่งเสียงคำรามแล้วพุ่งเข้าใส่หมาป่าอัคคี
อย่างไรก็ตาม เจ้าสิงโตถูกซัดให้ล้มลงด้วยกรงเล็บของเจ้าตัวเล็ก
แม้ว่ารอยขีดข่วนจะมีขนาดเล็กแต่ดูเหมือนจะมีพลังมหาศาลในขณะที่การโจมตีและโยนสิงโตให้กลิ้งไปบนพื้น
"เป็นไปไม่ได้!" หัวใจของหลู่หยุนเหอเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของเขา เขายังคงร่ายคาถาต่อไปสองครั้งติดต่อกัน
“กรงเล็บพายุ! บ้าคลั่ง!”
คาถาทั้งสองเป็นไพ่ตายของเขา เมื่อได้รับพรเหล่านี้ ร่างกายของสิงโตก็โตขึ้นและดวงตาของมันก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม มันสามารถกินมนุษย์ทั้งเป็นในสภาพที่บ้าคลั่ง
อย่างไรก็ตาม มันยังคงพ่ายแพ้ต่อหมาป่าอัคคีด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว
“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด!” ราวกับว่าวิญญาณของหลู่หยุนเหอได้หลุดลอยออกไป หลู่หยุนเหอต้องการใช้งานคาถาอื่น แต่หลู่เสี่ยวหยุนหยุดเขาไว้
“ท่านพี่พอได้แล้ว!! ท่านพี่ไม่เห็นหรือไงว่าหลู่ปากำลังร้องไห้อยู่?”