51 - อามิตตาพุทธ
51 - อามิตตาพุทธ
ในแผนกพิเศษของเมืองเอี๋ยนไห่ กลุ่มคนนั่งสูบบุหรี่ในห้องชั้นบนสุด
ชายตาเดียวนั่งในตำแหน่งประธานและมองหน้าจอบนผนังด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ผู้หญิงผมยาวสวมกระโปรงรัดรูปสีดำเป็นคนบรรยายเหตุการณ์ทางหน้าจอ
"นี่คือภาพที่กล้องถ่ายไว้บนสะพานข้ามแม่น้ำ เพราะสิ่งชั่วร้าย ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน กล้องจำนวนมากจึงได้รับความเสียหาย และกล้องที่สามารถถ่ายเหตุการณ์ได้ก็มีบางส่วนเท่านั้น"
“ไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าสิ่งชั่วร้าย แต่แน่นอนว่าไม่ใช่รองผอ.หลี่ ไหลฟู่”
ผู้หญิงคนนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มวิเคราะห์สิ่งชั่วร้ายในแผนกพิเศษ
จินเหอลี่
เธอสูง 1.72 เมตร หุ่นเพรียวบาง โค้งมน รองเท้าส้นสูงที่เธอสวมใส่ทำให้ความสูงของเธอเพิ่มขึ้นประมาณ 1.78 เมตร
เธอเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถมาก แต่หากมองเพียงภายนอกพวกเขาอาจจะคิดว่าเธอเป็นเลขาตัวเล็กๆเท่านั้น
ชายตาเดียวเอนหลังพิงเก้าอี้หนัง มือซ้ายวางอยู่บนโต๊ะ และมือขวาของเขาจับมวนบุหรี่โดยไม่พูดอะไร
เขาเห็นคนรู้จักสองคนในภาพ
ไม่ผิด เขาไม่มีวันลืมการมีอยู่ของคนพวกนี้ ผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวชชิงซาน พวกเขาปรากฏตัวที่นั่นและรอดชีวิตในขณะที่สิ่งชั่วร้ายหายไปอย่างลึกลับ
เมื่อคนของเขาสำรวจที่เกิดเหตุเห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายนั้นมีสภาพที่เลวร้ายอย่างแน่นอน เพราะเลือดของมันกระจายอยู่ทุกที่
คนอื่นๆอาจจะคิดว่าสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายถูกบังคับให้หนีไป แต่สำหรับชายตาเดียวเขารู้ว่าสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายกลายเป็นอาหารของคนบ้าทั้งสองไปแล้ว
เขานึกถึงสิ่งที่ผอ.ฮ่าวพูด
คนพวกนี้กินสุนัขคร่ำครวญจนเหลือเพียงฟันซี่เดียว
ในตอนนี้ผู้คนจากกลุ่มยอดฝีมือทั้งสี่ต่างก็ปรึกษากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น กล้องไม่สามารถถ่ายเหตุการณ์นั้นได้อย่างชัดเจน
หรือบางทีสิ่งชั่วร้ายอาจหลงทางและจากไปหลังจากที่ไม่รู้ว่าพ่อของมันหายไปไหน
มีความเป็นไปได้หลายอย่างมากเกินไปในเรื่องนี้ มันทำให้พวกเขาไม่กล้าฟันธงเลยจริงๆ
"เงียบ!"
“ผมอาจจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชายตาเดียวพูด น้ำเสียงของเขาแหบเล็กน้อย และเหลือเพียงดวงตาข้างเดียวของเขาเท่านั้นที่จดจ้องไปยังหน้าจอ
ทุกคนมองชายตาเดียวอย่างสงสัย
พวกเขาอยากรู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น
แค่……
“แต่ผมพูดไม่ได้” ชายตาเดียวพูดช้าๆ
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระเหรอ?
หากคนที่พูดไม่ใช่ชายตาเดียวทุกคนจะต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระอย่างแน่นอน
ชายตาเดียวมีความคิดเป็นของตัวเอง เขาถูกส่งไปที่โรงพยาบาลกลางพร้อมกับผู้ป่วยจิตเวชทั้งสอง เขารู้ว่าคนผู้นั้นมีความสามารถมากแค่ไหน และตอนที่สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายหายไปคนทั้งสองก็อยู่ด้วย
เหตุผลนี้เพียงพอที่จะอธิบายแล้ว
คนบ้าทั้งสองนั้นแข็งแรงมาก. พวกเขามีความสามารถที่จะทำให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเอี๋ยนให้กลายเป็นอัมพาตอยู่ครึ่งวัน คนพวกนี้มีคุณค่าให้เฝ้าติดตาม
ในขณะที่อีกคนเซลล์ต้นกำเนิดของเขาก็มหัศจรรย์จนน่าเหลือเชื่อ นี่จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
ในมุมมองของหมอพวกเขาคิดว่าเซลล์เม็ดเลือดของหลินฟ่านคือปาฏิหาริย์ แต่ในความคิดของชายตาเดียว นี่คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นยอดมนุษย์อย่างชัดเจน
แต่เขาจะบอกทุกคนที่อยู่ในห้องว่ายังไง คนบ้าสองคนกินสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายระดับสามไปแล้ว?
“ไม่จำเป็นต้องติดตามเรื่องนี้ สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายตัวนั้นตายไปแล้ว ขอให้พวกคุณเฝ้าระวังสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายระดับสูงตัวอื่นที่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเอี๋ยนไห่แทน”
ชายตาเดียวพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดคือสิ่งชั่วร้ายระดับ 7 ที่หลุดออกมาจากภูเขาไท่ซาน สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายระดับต่ำที่ปรากฏตัวออกมา อาจจะเป็นแผนเรียกร้องความสนใจของมันก็ได้
ผู้นำของกลุ่มยอดฝีมือทั้งสี่มองไปที่ชายตาเดียวอย่างหนักแน่น พวกเขารู้ความหมายของคำพูดนี้
จินเหอหลี่ขยับแว่นตาเล็กน้อยก่อนจะกล้าว่า
“ขั้นตอนต่อไปคือการพานักเรียนที่จบการศึกษาในปีนี้ไปสักการะศาลวีรบุรุษ จากนั้นพวกเขาจะถูกส่งตัวไปฝึกงานที่โรงพยาบาลจิตเวชชิงซาน”
ชายตาเดียวได้ยินคำว่า "โรงพยาบาลจิตชิงซาน" ดวงตาของเขาก็กระตุกเล็กน้อย
เขาค่อนข้างอ่อนไหวกับสถานที่แห่งนั้น
ความกดดันทางจิตใจที่เกิดจากผู้ป่วยทางจิตทั้งสองยังไม่หายไป
หลินเต้าหมิงปรมาจารย์เหมาซานสูบบุหรี่แห้งกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า
"นี่เป็นการจัดการที่ดี ข้าคิดว่าหลังจากที่พวกเขาเรียนรู้สิ่งต่างๆจากโรงพยาบาลจิตเวชแล้ว มันจะทำให้จิตใจของพวกเขามั่นคงขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้าย"
หลิวไห่ชานจากวิทยาลัยลัทธิเต๋าเหลือบมองอีกฝ่ายหนึ่งแล้วพูดว่า
"ผายลม ในเมื่อเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็อย่าพูดดีกว่า ลูกศิษย์ของเจ้าก็เหมือนเจ้านั่นแหละ ถ้าส่งพวกเขาออกไปต่อสู้จริงๆพวกเขาคงวิ่งหางจุกตูดกลับมาแน่นอน"
“ไอ้เฒ่าสาระเลว ข้าทนกับเจ้ามานานแล้ว ถ้าไม่พอใจก็เข้ามาเลย”
หลินเต้าหมิงคำรามด้วยความโกรธ ในชีวิตของเขาเคยหลบหนีจากการโจมตีของสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายครั้งหนึ่ง และนั่นเป็นแผลในหัวใจของเขาที่ไม่อาจลบเลือน
"อย่าดีกว่า ข้ากลัวว่ากระดูกผุๆของเจ้าจะทนไม่ไหว" หลิวไห่ชานกล่าวยั่วยุ
“ถ้าเจ้ากล้าพูดอีกแม้แต่ประโยคเดียว วันนี้พวกเราสองคนต้องมีใครคนหนึ่งตาย” หลินเต้าหมิงชี้หน้าของอีกฝ่าย
หลิวไห่ชานยิ้มและพูดว่า: "ก็บอกแล้วว่าอย่าดีกว่า เหมาซานของเจ้าไม่มีแม้แต่สวรรค์ ถ้าเจ้าตายไปเจ้าจะไปตามหาบรรพบุรุษของเจ้าจากที่ไหน"
ยอดฝีมือจากโรงเรียนพุทธพนมมือขึ้นและสรรเสริญพุทธคุณว่า
“อามิตตาพุทธ สหายทั้งสองโปรดใจเย็น”
ยอดฝีมือจากวิทยาลัยแพทย์อัดบุหรี่เข้าไปในปอดก่อนจะพ่นออกมาแล้วกล่าวว่า
“ปล่อยให้พวกเขาสู้กันตายดีกว่า เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาร้อยปีแล้ว พวกเจ้าไม่เบื่อหรือไง”
ปัง!
ชายตาเดียวตบโต๊ะอย่างโกรธเคืองจนทั้งห้องเงียบลงในทันที
"คุณสี่คนอายุรวมกันเกือบครึ่งสหัสวรรษ คิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กอยู่หรือไง"
ชายตาเดียวโกรธมากเรื่องใหญ่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้วแต่พวกเขายังคงมีอารมณ์ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ
"เฮอะ!" หลินเต้าหมิงแค่นเสียงพร้อมกับเดินออกจากห้องเป็นคนแรก
หลิวไห่ชานก็ยิ้มอย่างเย็นชาก่อนจะเดินออกจากห้องเช่นกัน
ยอดฝีมือฝ่ายพุทธะส่ายหน้าด้วยความระอา
“อามิตตาพุทธ!”