MDB ตอนที่ 30 กู่เมียงจงสะดุ้งโหยง
ทันใดนั้นหลินจินก็นึกถึงเสี่ยวฮั่ว
เมื่อเทียบศักยภาพของอสูรน้ำหมึกที่เกินระดับสาม เสี่ยวฮั่วเทียบไม่ติดเลย แต่หลังจากที่ 'วิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ' ตอนนี้เสี่ยวฮั่วอาจจะเทียบเท่ากับอสูรน้ำหมึกตัวนี้
สำหรับสามัญชน สัตว์วิเศษตัวนี้เป็นของหายากที่ประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่น่าแปลกใจที่กู่เมียงจงตื่นตระหนกก่อนหน้านี้ ถ้ามันหนีไป แม้แต่สายน้ำแห่งความเสียใจก็มิอาจนำมันกลับมาได้
ก่อนหน้านี้ พิพิธภัณฑ์ได้ให้รางวัลอย่าง ทักษะการกำราบสัตว์วิเศษ โชคดีที่ทักษะนี้มันยังใช้งานกับมันได้ หากมันแข็งแกร่งกว่านี้เพียงเล็กน้อย หลินจินก็ไม่สามารถทำให้มันเชื่องได้
เขาเงยศีรษะขึ้นและเห็นว่ากรามของกู่เมียงจงตกลงต่ำมาก จนสามารถใส่ไข่ไก่เข้าไปได้พอดี
ย้อนกลับไป กู่เมียงจงได้ฝึกฝนการประดิษฐ์ตัวอักษรตั้งแต่อายุยังน้อย พรสวรรค์ของเขาจึงได้รับการขัดเกลาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาเขาศึกษาภายใต้อาจารย์ที่มีชื่อเสียงและหลังจากสั่งสมประสบการณ์นับสิบปี เขาได้รับเชิดชูถึงความเก่งกาจที่สุดในรุ่น ดังนั้นกู่เมียงจงจึงโดดเด่นมากในวงการของเขา
แน่นอนว่า ปรมาจารย์ด้านการประดิษฐ์อักษรสามารถทำสัญญากับสัตว์วิเศษได้เช่นกัน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สัตว์วิเศษของกู่เมียงจงเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ นับตั้งแต่นั้นเขาไม่ได้ทำพันธสัญญาโลหิตอีกเลย แม้ว่าใครหลาย ๆ คนพยายามมอบสัตว์วิเศษสายพันธุ์ที่หายากให้แก่เขาแต่กู่เมียงจงก็ไม่เคยสนใจพวกมันเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ เขาบังเอิญบังเอิญไปเจอและซื้อ 'อสูรน้ำหมึก' ที่หายากมากมา
ในฐานะที่เป็นชายที่หลงใหลในศิลปะ การเลือกสัตว์เลี้ยงของเขานั้นแตกต่างไปจากคนทั่วไปโดยธรรมชาติ มีเพียงคนป่าเถื่อนเท่านั้นที่จะลงนามในพันธสัญญาโลหิตกับหมาป่า เสือดาวและสัตว์ชนิดอื่น ๆ บุคคลที่มีอารมณ์สุนทรีย์จะไม่เลือกสัตว์วิเศษแบบนั้น
แล้วคนแบบเขาจะเลือกเลี้ยงจะได้สัตว์วิเศษชนิดใด?
นกกระสา นกกระจอก ปลาบิน ตราบใดที่พวกมันมีเอกลักษณ์และรูปลักษณ์ที่สวยงาม ต่อใหไม่มีศักยภาพการต่อสู้ก็ไม่เป็นไร ความสง่างามและความสูงส่งของพวกมันมีความสำคัญเป็นอันดับแรก
แน่นอนว่า สายพันธุ์หายากมักเป็นสัตว์ที่ถูกขโมยมาจึงยากที่จะเลี้ยงพวกมัน
ในรายชื่อสัตว์เลี้ยงที่พึงประสงค์ของพวกศิลปินก็คือ อสูรน้ำหมึก มันเป็นความใฝ่ฝันอันสูงสุดของพวกศิลปินที่จะได้ครอบครองมัน สัตว์วิเศษที่ลื่นไหลราวกับน้ำหมึกคัดลายมือ มันเหมาะสมกับความต้องการของนักประดิษฐ์อักษรทั้งในด้านความสง่างามและการใช้งาน ส่วนที่ดีที่สุดของอสูรน้ำหมึกไม่ได้มีไว้สำหรับการแสดงเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการต่อสู้ที่ไร้เทียมทานอีกด้วย
เมื่อ 200 ปีที่แล้ว นักวิชาการชื่อหลี่โม่หรือที่รู้จักกันในนาม 'นักพรตบัวเขียว' เขาอาศัยสัตว์วิเศษเพียงตัวเดียวเพื่อเดินทางข้ามดินแดน เอาชนะความชั่วร้ายด้วยดาบของเขาและสนับสนุนความยุติธรรม
ตัวเขาไม่เคยถือดาบจริง ๆ และไม่รู้จักวิชาดาบด้วยซ้ำ เขาอาศัยสัตว์วิเศษของเขา ความแข็งแกร่งของอสูรน้ำหมึก มันเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการแปลงร่าง อสูรน้ำหมึกสามารถแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้ เช่น ดาบ
อสูรน้ำหมึกที่ไร้เทียมทานนี้ต้องการเพียง 'ทักษะดาบ' ที่สอดคล้องกันเพื่อแปลงร่างเป็นใบมีดบิน มันฟันหัวศัตรูออกจากที่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตรได้
นั่นเป็นวิธีการต่อสู้ที่สง่างามและทรงพลังมาก
ลองนึกภาพนักท่องโลกที่เดินไปมาในชุดเสื้อคลุมยาวที่เต้นรำอย่างสง่างามท่ามกลางสายลมอ่อน ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับวายร้าย การเปิดใช้งานเพียงครั้งเดียวและใบมีดของคุณจะทะลุผ่านอากาศ ทะลวงผ่านศีรษะของผู้ร้ายและเมื่อปราบเหล่าอธรรมสำเร็จ โลกจะร้องเพลงสรรเสริญของคุณและชื่อของคุณจะถูกบันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์
นี่คือเป้าหมายสูงสุดของผู้ที่หลงใหลในศิลปะ
บางคนบอกว่าพวกเขาไม่แยแสต่อชื่อเสียงแต่ความจริงก็คือ ยิ่งพวกเขาปฏิเสธมันมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งต้องการมันมากขึ้นเท่านั้น
กู่เมียงจงเป็นนักประดิษฐ์อักษรแต่ลึกลงไปในใจของเขา เขาเป็นคนอ่อนไหว เขาไม่อยากยอมรับแต่มันคือความจริง
นับตั้งแต่วินาทีที่เขาได้รับอสูรน้ำหมึกตัวนี้ กู่เมียงจงก็ให้อาหารมัน ป้อนหินวิญญาณให้กับมันทุกวันและไปเยี่ยมผู้ประเมินที่มีชื่อเสียงทุกคนในดินแดนเพื่อช่วยให้สัตว์วิเศษตัวนี้เชื่องและทำพันธสัญญาโลหิต
อย่างที่ทุกคนรู้ ยิ่งพันธุ์หายากมากเท่าไหร่ก็ยิ่งลงนามในพันธสัญญาโลหิตยากขึ้นเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ กู่เมียงจงได้ลองใช้กลอุบายทุกอย่างในหนังสือ ตั้งแต่การลองใช้วิธีการต่าง ๆ ไปจนถึงการหาผู้ประเมินสัตว์วิเศษแต่เขากลับไม่พบวิธีการลงนามในพันธสัญญาโลหิต จนมีผู้ประเมินคนหนึ่งได้เสนอให้ใช่วิธีเก็บอสูรน้ำหมึกไว้ใน 'ไผ่โลหะหยก' และติดยันต์กำราบสัตว์วิเศษและป้อนหินวิญญาณให้กับมันทุกวันเพื่อพยายามทำให้มันเชื่องอย่างช้า ๆ
ประเด็นก็คือ เขาใช้วิธีนี้มานานกว่าหนึ่งเดือนโดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย คราวนี้เกิดอุบัติเหตุระหว่างให้อาหารและอสูรน้ำหมึกก็หลุดจากปล้องไม้ไผ่
กู่เมียงจงไม่เคยหวาดกลัวมากขนาดนี้มาก่อน เขากลัวการหลบหนีของอสูรน้ำหมึกมากกว่าสิ่งใด เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เขาอาจจะต้องบอกลามันเพราะเขาจะไม่มีวันได้เห็นมันอีกและทิ้งความพยายามทั้งหมดของเขาลงไปในสายน้ำ
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ หลินจินซึ่งเขาเกลียดชังและถือว่าไม่เป็นมืออาชีพ เขาได้จับอสูรน้ำหมึกด้วยมือเปล่าในช่วงเวลาสำคัญนี้
จิตใจของกู่เมียงจงจึงหยุดนิ่งจากภาพดังกล่าว
พวกเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลที่จะจับสิ่งมีชีวิตที่เป็นของเหลวนี้ด้วยมือ มันอยู่ได้เฉพาะในภาชนะพิเศษเท่านั้น
พวกเขาบอกว่าอสูรน้ำหมึกมีนิสัยดุร้ายโดยธรรมชาติและไม่มีใครแตะต้องไม่ได้เนื่องจากการโจมตีที่ทรงพลังอย่างอันตราย
พวกเขาบอกว่าหลินจินคือความอัปยศของสมาคมประเมินสัตว์วิเศษของเมืองเมเปิ้ล เขาได้ใบรับรองเพราะโชคช่วยเท่านั้น
แล้วนี่คืออะไร?
อสูรน้ำหมึกตัวนี้ถูกจับโดยมือของผู้ประเมินผู้ตกอับ มันอยู่บนมือของหลินจินอย่างเชื่อฟัง มันไม่เคยแสดงสัญญาณของการต่อต้านหรือความก้าวร้าวเลยแม้แต่น้อย
กู่เมียงจงรู้สึกว่าความรู้ความเข้าใจของเขาถูกบิดเบือน
ผู้ประเมินคนก่อน ๆ ที่เขาพบดูด้อยไปทันที เมื่อพบกับหลินจินผู้มีทักษะอันลึกซึ้ง
ความคิดต่าง ๆ แวบเข้ามาในหัวของกู่เมียงจงทำให้เขาตัดขาดจากโลกแห่งความเป็นจริงไปพักใหญ่ จนกระทั่งเขาถูกหลินจินเรียกสติกลับมา
“อาจารย์กู่ อาจารย์กู่ ข้าคิดว่านี่เป็นของท่าน” หลินจินยื่นแขนและส่งให้กู่เมียงจง อย่างไรก็ตาม เขาเหวี่ยงศีรษะไปมาและกลัวที่จะรับอสูรน้ำหมึก
“อืม…หลิน…หลินจิน เจ้าทำได้อย่างไร?” กู่เมียงจงถามอย่างตะกุกตะกัก
เขาอยากรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ภายใต้ความอยากรู้ของเขา เขาเห็นรังสีแห่งความหวัง วันนี้อาจเป็นวันที่เขาพบวิธีที่จะทำให้อสูรน้ำหมึกเชื่องและลงนามพันธสัญญาโลหิตได้
แม้จะรู้สึกไร้สาระที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้ประเมินระดับหนึ่งแถมเขายังเป็นที่ดูหมิ่นจากคนทั่วไป แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่าเขาพบคนที่ช่วยแก้ปัญหาของเขาได้แล้ว
หลินจินตอบด้วยรอยยิ้มเขินอาย “อาจารย์กู่การฝึกสัตว์วิเศษเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานสำหรับผู้ประเมิน มันไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้”
‘ทักษะพื้นฐาน? ไม่มีอะไรพิเศษ?’
เปลือกตาของกู่เมียงจงกระตุกอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขาอ้าปากค้าง โชคดีที่เขาสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้งและหลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงอคติของเขา
เขาไม่เคยเห็นทักษะที่แท้จริงของหลินจินเลย เขากลับเพียงวาดภาพของหลินจินในใจด้วยคำพูดของผู้อื่น
เช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า 'สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น' ตอนนี้เขารู้แจ้งแล้วว่า ข่าวลือทั้งหมดที่เขาได้ยิน พวกมันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด
โลกนี้ช่างลึกลับยิ่งนัก กู่เมียงจงเปลี่ยนมุมมองของเขาและกำลังไตร่ตรองตัวเองว่าเป็นคนหูเบาหลงเชื่อคำลวงพวกนั้น เมื่อเขามองย้อนกลับไปที่หลินจิน ไม่เพียงแต่ความเหยียดหยามของเขาหายไปเท่านั้น แต่เขายังมีความชื่นชมยินดีในหัวใจของเขาอีกด้วย
ไม่มีความเย่อหยิ่งในชัยชนะ ไม่มีความสิ้นหวังในความพ่ายแพ้ นี่คือทัศนคติที่ขุนนางควรมี
"ผู้ประเมินหลิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้คืออะไร" กู่เมียงจงถาม
'นี่เขาพยายามจะทดสอบฉันอย่างงั้นเหรอ?'
หลินจินเริ่มร่ายสิ่งที่อยู่ในแผ่นหินของพิพิธภัณฑ์ เขาเริ่มต้นด้วยข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอสูรน้ำหมึก จากนั้นค่อย ๆ อธิบายเกี่ยวกับระดับ คุณลักษณะ ต้นกำเนิดและในที่สุดก็จบลงด้วยบรรพบุรุษของสายเลือดของมัน คำพูดทั้งหมดของเขามีรายละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ
ดวงตาของกู่เมียงจงเบิกกว้างขึ้นในขณะที่เขาฟัง ประกายแสงระยิบระยับในดวงตาของเขาขณะที่เขาขยับนิ้วไปมาอย่างตื่นเต้น
หลินจินได้ให้รายละเอียดที่มากที่สุดเท่าที่เขาเคยไม่ยินมาทั้งชีวิตของเขา
สาเหตุที่เขาเดินทางมาที่เมืองเมเปิ้ล เขาตั้งใจมาพบให้หัวหน้าหวังจีเพื่อทำการประเมิน แต่ตอนนี้ เขาไม่ต้องการเจอหวังจีแล้ว
นอกจากนี้ หัวหน้าหวังจีก็ไม่เคยให้การประเมินที่ครอบคลุมเช่นนี้อีกด้วย
ตอนนี้กู่เมียงจงรู้ดีว่าข่าวลือของหลินจินมีอยู่เพื่อก่อให้เกิดการเข้าใจผิด เขาลืมตาขึ้นและเห็นว่าว่าหลินจินมีสามารถมากแค่ไหน เขานำเรื่องนี้มาพิจารณากับข่าวลือที่เขาได้รับฟังมาก่อนหน้านี้ เขาอนุมานได้ว่าข่าวลือพวกนั้นต้องเกิดจากความบาดหมางภายในของสมาคมผู้ประเมิน
หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ กู่เมียงจงถามคำถามหนึ่งข้อซึ่งเป็นสาเหตุที่เขามาที่เมืองนี้
“ผู้ประเมินหลิน เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะทำให้อสูรน้ำหมึกตัวนี้เชื่องและลงนามในพันธสัญญาโลหิตได้?”