บทที่ 49 แต้มคะแนนไหลบ่า
บทที่ 49
แต้มคะแนนไหลบ่า
“ศิษย์น้องเฉินเฉียง ทางสำนักได้แจ้งเรื่องหนึ่งมา จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะส่งซากสัตว์ประหลาดมาให้พวกเรามากกว่าเดิมอีกเท่าหนึ่ง หากว่าพวกเราทำงานนี้ไม่สำเร็จ พวกเราจะโดนตัดแต้มคะแนน เรื่องนี้ต้องฝากเจ้าจัดการแล้ว”
เมื่อเฉินเฉียงได้มองซากสัตว์ประหลาดกว่าสองร้อยตัวตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง เขาก็ได้เอ่ยถามขึ้นมา “นี่ท่านจะให้ข้าจัดการพวกนี้คนเดียวจริงๆเหรอ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ นี่ก็เป็นเพราะเจ้าให้ข้าไปถามผู้อาวุโสจ้าวเรื่องที่เจ้าทำนั่นแหละ และนี่เองก็ทำให้เขาสั่งการมาแบบนี้ ข้าทำเพียงแค่รับคำสั่งเท่านั้น”
ชายร่างอ้วนได้มองกองซากศพของสัตว์ประหลาดก่อนที่จะหัวเราะจนตัวโยนออกมาไปทีหนึ่งก่อนที่จะเดินออกมา
“ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ”
เป็นตอนที่เขากำลังจะก้าวออกจากประตู กำลังสื่อสารของเขาก็ดังไม่หยุด
“ไอ้ระยำ นี่ฉันต้องเสียอีกร้อยแต้มเหรอ”
อ้วนป๋อมองข้อมูลผ่านกำไลสื่อสารแล้วทำการกล่าวสาปแช่งออกมาในทันที
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมศิษย์พี่ถึงได้โกรธขนาดนั้น ใครกล้ากวนใจศิษย์พี่เหรอ” ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆอ้วนป๋อได้ถามออกมา
ด้วยการที่อ้วนป๋อนั้นถือได้ว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ที่นี่ แน่นอนว่าคนที่ทำงานที่นี่ย่อมเคารพเขาและฟังคำสั่งเป็นอย่างดี แน่นอนว่าเขานั้นมีผู้คนที่คอยประจบประแจงอยู่ตลอดเวลา
“ฮึ่มมม จะใครซะอีกล่ะ ก็ไอ้พวกระยำแผนกวิชายุทธนั่นไง”
หลังจากพูดจบ อ้วนป๋อได้หันไปมองเฉินเฉียงปราดหนึ่งก่อนที่จะอธิบายออกมา “ข้าไม่รู้ว่าไอ้พวกระยำนั่นนึกบ้าอะไร ช่วงไม่กี่วันมานี้พวกมันไล่ท้าประลองศิษย์แผนกอื่นเขาไปทั่ว”
“และที่ยอมรับไม่ได้มากที่สุดก็คือไอ้พวกนั้นชนะการประลองเป็นตายกันทุกคน นี่ทำให้ปู่คนนี้เสียงแต้มคะแนนไปกว่าเจ็ดร้อยแต้มแล้ว”
“หากเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ข้าจะไม่เหลือแต้มคะแนนอย่างแน่นอนในเดือนนี้”
ตั้งแต่ที่เฉินเฉียงเข้ามาทำงานโรงครัวนั้น เขายุ่งอยู่กับการจัดการแล่ซากประหลาดในทุกวันจนทำให้น้อยครั้งมากที่จะได้เปิดกำไลสื่อสารดู
โดยเฉพาะช่วงสองวันมานี้ เขานั้นได้เข้าไปอยู่ในห้องบ่มเพาะ นี่ยิ่งทำให้เขานั้นไม่ได้สนใจเลยราวการต่อสู้ในลานประลองเป็นตายเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว แน่นอนว่าเขานั้นต้องรีบเปิดกำไลสื่อสารขึ้นมาในทันที
“หลิวยี่จากแผนกวิชายุทธพิเศษ ระดับนายพลวิญญาณ ขอท้าทายหลงกังจากแผนกโลหะที่อยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกัน”
“ต้องขอโทษศิษย์พี่หลิวยี่ด้วย หลงกังนั้นในตอนนี้ออกปฏิบัติภารกิจจึงไม่อาจจะรับการประลองนี้ได้”
“เชิงจุนจากแผนกวิชายุทธพิเศษ ระดับการบ่มเพาะนายพลวิญญาณ ขอท้าประลองกับหยางฮุยแห่งแผนกปฐพีที่มีระดับการบ่มเพาะเดียวกัน”
“ต้องขอโทษศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา ศิษย์พี่หยางเองก็ออกไปปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกัน โปรดท้าประลองกับท่านอื่นก่อน”
“ไอ้พวกบ้าแผนกวิชายุทธพิเศษนี่เป็นบ้าอะไรกัน พวกมันท้าทายศิษย์แผนกอื่นมากว่าสิบวันติดแล้ว”
“นั่นสิ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครกล้าจะรับคำท้าแล้วนะ”
“เหอเหอเหอ เป็นเจ้าจะรับไหมล่ะ นอกซะจากเจ้าจะสมองมีปัญหาล่ะนะ จะมีสักกี่คนที่กล้าประลองกับพวกนั้นกัน
“ใครๆก็รู้ว่าศิษย์จากแผนกวิชายุทธพิเศษนั้นแข็งแกร่งที่สุดในการต่อสู้ ตอนนี้พวกระดับนายพลวิญญาณไม่มีใครเลยที่ไม่เคยถูกพวกนี้ท้าประลอง”
“นี่ยังโชคดีนะที่ตอนนี้ยังไม่มีใครอยู่ในระดับนายพลวิญญาณระดับกลาง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกบ้านี่ต้องไปท้าทายระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางเป็นแน่”
...
เมื่อเห็นข้อมูลที่ไหลบ่าเหล่านี้ เฉินเฉียงเองรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงได้รีบส่งข้อความไปถามกัวเหลียง
“ศิษย์พี่กัว นี่ศิษย์น้องเฉินเฉียงเองนะ ข้าพึ่งจะได้ยินผ่านกำไลสื่อสารมาว่าศิษย์พี่ทั้งหลายจากแผนกต่างแห่แหนไปท้าทายศิษย์จากแผนกอื่นเป็นเรื่องจริงเหรอ เกิดอะไรขึ้นกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง ในที่สุดเจ้าก็เปิดกำไลสื่อสาร”
“ถูกต้อง นับตั้งแต่ที่เจ้านั้นโดนลงโทษให้เข้าไปทำงานโรงครัว ศิษย์พี่ทั้งหลายรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ยุติธรรมกับเจ้า พวกเขาจึงต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม ดังนั้น ศิษย์พี่ใหญ่จึงเป็นแกนนำโดนใช้การประลองผ่านเวทีเป็นตายนี้ พวกเราต่อสู้กับศิษย์แผนกอื่นจนทำให้พวกนั้นตกตายกันไปหมด เจ๋งใช่ไหมละ...”
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่คนนี้ก็มีส่วนร่วมด้วยนา...แล้วพี่เองก็ได้รับแต้มคะแนนมาไม่น้อยเลย เรื่องทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ
เมื่อได้ยินคำตอบของกัวเหลียงแล้ว เฉินเฉียงเองก็บังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่าศิษย์พี่ใหญ่และบรรดาศิษย์พี่ของเขาจะยินดีทำเพื่อเขาขนาดนี้
ในขณะเดียวกัน หัวใจของเขาก็บังเกิดไฟขึ้นมา
นี่ก็นานแล้วนับแต่ตอนที่เขาได้ยินการท้าประลองครั้งล่าสุด หลังจากนั้นไม่มีใครท้าประลองกันอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกระดับทหารขั้นสูงคนอื่นโดนท้าประลองไปรึยัง
ในตอนนี้เขาเองก็ขาดอีกเพียงหนึ่งจุดชีพจรเท่านั้นจึงจะก้าวข้ามระดับได้ เขาเองก็สมควรที่จะต้องเข้าร่วมการท้าประลองนี้เหมือนกัน และแสดงผลการบ่มเพาะออกมา
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงได้ยินขึ้นก่อนที่จะมองไปยังอ้วนป๋อที่ยังคงอยู่ที่ประตู
“ศิษย์พี่ วันนี้ข้าอยากจะเข้าร่วมการประลองเป็นตายสักหน่อย หากโชคดีพอและชนะได้แต้มคะแนนมา เมื่อมาถึง ข้าจะกลับมาทำงานต่อและแบ่งแต้มคะแนนให้ศิษย์พี่ ท่านคิดว่ายังไง”
“อะไรนะ เจ้าเนี่ยนะคิดจะเข้าร่วมประลองเป็นตาย ฮ่าฮ่าฮ่า”
อ้วนป๋อหัวเราะลั่นก่อนที่จะหันไปมองผู้ติดตาม “กับอีแค่คนแล่เนื้อในครัวเนี่ยนะคิดจะไปประลองเป็นตาย ข้าอยากจะขำให้ฟันล่วง”
“ศิษย์น้องเฉิน ขอบอกตรงๆเลยนะว่าข้าได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากผู้อาวุโสจ้าวว่าในช่วงครึ่งปีนี้ให้เจ้านั้นต้องดักดานอยู่ที่นี่เพื่อเป็นการลงโทษที่ไม่ยอมเคารพผู้อาวุโสจ้าวและแผนกปรุงยา”
“ดังนั้น ข้าขอแนะนำมาว่าให้เจ้าจงทำงานเป็นคนแล่เนื้ออย่างภาคภูมิไปซะเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่เผยความจริงจากอ้วนป๋อออกมานั้นทำให้จิตใจของเฉินเฉียงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้แต่แรกแล้วว่าจ้าวหยางและจ้าวฮั่นนั้นต้องการเตะตัดขาเขา แต่เขาเองก็ไม่อาจจะแหกกฎของสำนักได้อีกต่อไป ทำได้เพียงยอมรับเรื่องนี้ไปเท่านั้น
“ใครบอกว่าศิษย์น้องเฉินเฉียงไม่มีสิทธิไปประลอง”
“ในขณะที่เฉินเฉียงทำได้เพียงยอมรับและเตรียมที่จะก้มหน้าก้มตาแล่เนื้อสัตว์ประหลาดต่อไปนั้น เสียงเล็กเรียวหนึ่งได้ตะโกนเขามาจากด้านนอก”
เมื่อหันไปดูก็ได้พบหญิงสาวคนหนึ่งในชุดม่วงแดงที่มีอายุประมาณยี่สิบปี พร้อมทั้งศิษย์ชายที่แต่งเครื่องแบบของแผนกอัคคีเป็นผู้ติดตามอยู่ข้างหลัง
หลังจากที่หญิงสาวคนนี้ก้าวเข้ามาในประตู นางจ้องมองอ้วนป๋อด้วยสายตาเย็นชาและดูถูก “ไอ้อ้วนโง่งม อย่าคิดนะว่าแค่เพียงแกอยู่ในสำนักมานานปีแล้วจะใช้เรื่องนี้รังแกคนอื่นได้ง่ายๆ”
“แกมันก็แค่มีระดับการบ่มเพาะทหารขั้นสูงเท่านั้น เหอะ เท่าที่ดูแกก็คงดักดานอยู่ระดับนี้ไปชั่วชีวิตนั่นแหละ หรือว่าจะเถียง”
“หากว่าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสจ้าวล่ะก็ สำนักจะเลี้ยงไอ้ตัวเลี้ยงเสียข้าวสุกอย่างแกไว้ทำไม”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าแกทำยังไงถึงทำให้ผู้อาวุโสจ้าวช่วยออกหน้าได้ แถมยังมาทำตัวกร่างแบบนี้ทั้งๆที่ไม่มีค่าอะไรได้อีก บอกไว้เลยนะว่าต่อให้คนอื่นกลัวแกแต่ข้าไม่กลัว”
หลังจากหญิงสาวพูดจบลง ศิษย์ชายผู้ติดตามได้เข้าไปจับหัวของอ้วนป๋อเอาไว้ หญิงสาวได้พูดออกมาต่อ “ไอ้อ้วน นี่แกไม่ได้ยินที่ศิษย์น้องหลิวพูดรึไง”
“อย่าได้หลงลืมว่าในสำนักเต่าดำแห่งนี้ จ้าวหยาง ไม่ใช่ผู้อาวุโสเพียงคนเดียว”
“....อย่าบอกนะว่าแก ไม่รู้จัก หลิวซวนเอ๋อ หลานแท้ๆของผู้อาวุโสหลิวน่ะ ห้ะ”
ตั้งแต่ที่หญิงสาวคนนี้เดินเข้ามา อ้วนป๋อก็รู้สึกได้ว่าลางไม่ดีตั้งแต่ต้น
และเมื่ออีกฝ่าย เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว อ้วนป๋อยิ่งรู้แล้วว่าถึงคราวเคราะห์ร้ายแล้ว
สำนักเต่าดำแห่งนี้นอกจากผอ.หวังแล้วนั้นยังมีผู้อาวุโสอีกสองคน นั่นก็คือผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง หลิวจางฉิง และผู้อาวุโสลำดับที่สอง จ้าวหยาง
แน่นอนว่าตำแหน่งของหลิวจางฉิงนั้นเหนือกว่า จ้าวหยาง
“เอ่ออออ ศิษย์พี่ ท่านนี้คงจะเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสหลิว...หลิวซวนเอ๋อแห่งแผนกอัคคี...ระดับ...นายพลวิญญาณ...”
เหงื่อเม็ดใหญ่ได้ผุดออกมาจากหน้าของอ้วนป๋อในขณะที่เอ่ยถามออกมาเบาๆ
“ฮึ่ม ไอ้อ้วน พวกเราได้ยินที่แกพูดทั้งหมดแล้ว”
“จากที่แกพูดนั้น พวกเราบอกได้เลยว่าการกระทำของผู้อาวุโสจ้าวนั้นเป็นการล้างแค้นส่วนตัว
“แต่ข้าก็ยังไม่แน่ใจความคิดนี้เป็นของแกเอ่ยอ้างหรือผู้อาวุโสจ้าวบอกมาจริงๆกันแน่”
“เอาเป็นพวกเราไปยังบ้านพักของผู้อาวุโสจ้าวเพื่อสอบถามเรื่องนี้กันหน่อยจะดีรึเปล่า ว่าไง ไอ้อ้วน”