บทที่ 36 อีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่เลวร้าย
บทที่ 36
อีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่เลวร้าย
“พี่จ้าว ระวังไว้ให้ดี เจ้าเด็กนี่รู้วิธีสะกดจิต”
ก่อนที่จ้าวฮั่นจะได้หันหลังเพื่อเข้าสู่สนามประลองนั้น เฟิงไคเหลียงที่ในตอนนี้ยังมีสีหน้าบอกบุญไม่รับอยู่นั้นได้เข้ามาเตือน
“สะกดจิต ไม่ใช่ว่านั่นเป็นทักษะของพวกเราแผนกวิญญาณไม่ใช่เหรอ เฉินเฉียง เจ้าไปเรียนมาจากไหน”
ชายหนุ่มคนหนึ่งยกคิ้วขึ้นพร้อมตั้งคำถามออกมา
“เจ้าเป็นใคร” เฉินเฉียงถามออกมาในทันที
“ระดับนายพลวิญญาณโม่เสี่ยวจวง ศิษย์แผนกวิญญาณ ตอบคำถามของข้ามาได้แล้ว”
ถึงแม้จะโดนชายหนุ่มคนนี้แสดงท่าทีแข็งกร้าวใส่ แต่ในเมื่อเขานั้นมีฮู่ต้าไฮ่อยู่ข้างกาย เฉินเฉียงย่อมไม่กลัวชายหนุ่มคนนี้
“โอ้ แล้วศิษย์พี่โม่จะให้ข้าตอบคำถามยังไงล่ะนั่น”
“ข้าก็พอได้ยินมาบ้างว่าทักษะก้าวย่างสวรรค์เองนั้นเป็นทักษะของแผนกบ่มเพราะร่างกาย แต่ในตอนนี้ข้าก็ไปถึงระดับต้นแล้ว ไม่ใช่ว่านั่นจะหมายความว่าการที่ข้าเป็นศิษย์แผนกวิชายุทธ์พิเศษนี่จะไม่มีสิทธิ์เรียนด้วยอย่างนั้นหรอกเหรอ”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ข้าเองก็ได้ยินมาว่าวิชาสะกดจิตเองก็เป็นเพียงทักษะพื้นฐานทางจิตวิญญาณ แล้วนี่มีกฎของสำนักด้วยงั้นหรือว่าศิษย์แผนกอื่นที่มีความสามารถเรียนรู้จะเรียนไม่ได้”
เมื่อเห็นท่าทางไม่เกรงกลัวฟ้าดินของเฉินเฉียงแล้วทำให้โม่เสี่ยวจวงถึงกับพูดไม่ออก เขาทำเพียงได้แค่พูดออกมาด้วยความจงเกลียดจงชัง
“ดี หากว่ากล้านักล่ะก็ มา มาท้าทายข้าเดี๋ยวนี้ ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าแกจะมีค่าคู่ควรแค่ไหน”
“ตลกไปแล้วไหม ให้ท้าประลองเนี่ยนะ ถ้ายังงั้นศิษย์พี่ไม่ไปท้าประลองศิษย์พี่ใหญ่ของข้าเล่า ที่ชื่อหลู่ฟางน่ะ คนที่อยู่ระดับนายพลเนี่ยนะจะมาท้าประลองกับระดับทหารขั้นกลาง โคตรเจ๋งเลยจิงๆ”
เฉินเฉียงนั้นเคยได้ยินว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขานั้นไปถึงระดับขั้นนายพลวิญญาณขั้นต้นใกล้จะขั้นกลางแล้ว แน่นอนว่าทักษะการต่อสู้ของเขานั้นเหนือศิษย์รุ่นเดียวกันไปแล้ว
โม่เสี่ยวจางนั้นก่อนหน้านี้เพียงพูดออกไปเพราะโมโหเท่านั้น แต่เขานั้นกับไม่คิดว่าเฉินเฉียงจะนำเอาชื่อของหลู่ฟางออกมาอ้าง เขานั้นเป็นหนึ่งในนักเรียนที่มีความแข็งแกร่งทางการต่อสู้อยู่ในระดับสูงของสำนักเลยทีเดียว เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางชนะหลู่ฟางเลย หากต้องเจอกันจริงๆเขาทำได้แค่เพียงหนีไปรอบๆเพื่อหาจังหวะโจมตีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะโดนตอกหน้ามาขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยเฉินเฉียงไปง่ายๆเหมือนกัน เขาได้หันไปพูดกับจ้าวฮั่นแทน
“ศิษย์น้องจ้าวอย่าเป็นกังวลไป การสะกดจิตของไอ้เด็กนี่มันก็แค่ทักษะระดับต่ำเท่านั้น ตราบใดที่เจ้าอยู่เกินกว่าระยะสามเมตรแล้ว การสะกดจิตนี้ย่อมไม่ได้ผลอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของศิษย์พี่โม่” จ้าวฮั่นน้อมขอบคุณเล็กน้อยพร้อมกล่าวขอบคุณออกมา
“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่โม่นี่ช่างโอบอ้อมอารีจริงๆ เพื่อป้องกันข้าไม่ให้ชนะถึงกับยอมบอกจุดอ่อนของทักษะของแผนกตัวเองออกมา ข้าคิดว่านับแต่นี้ยามที่ลูกศิษย์แผนกจิตวิญญาณลงสนาม พวกเขาคงต้องต่อสู้อย่างระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นเป็นแน่ ศิษย์พี่จ้าวก็อย่าให้ความหวังดีของพี่โม่เสียเปล่านะครับ”
เมื่อศิษย์แผนกวิญญาณได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็หันไปมองศิษย์พี่ของตนด้วยสายตาตำหนิติเตียนในทันที
“เฉียนเฉียง ไอ้...ฮึ่มมมม”
ถึงแม้โม่เสี่ยวจวงอยากจะเข้าไปอัดเฉินเฉียงอย่างเต็มกำลังยังไงก็ตาม แต่ในเมื่อฮู่ต้าไฮ่นั้นยังอยู่ที่นี่ เขาเองย่อมไม่กล้าทำอะไรได้ ได้แค่เก็บความรู้สึกกลืนเข้าไปในท้องเท่านั้น
“เอาล่ะ เฉินเฉียง เลิกเสียเวลาได้แล้ว ไปประลองกัน”
หลังจากจ้าวฮั่นพูดจบลง เขาก็ได้เดินเข้าไปในสนามประลองก่อน
“ศิษย์พี่กัว ไม่ใช่ว่าพี่ได้แต้มคะแนนมาเป็นหมื่นเหรอ เงินนี่มากพอที่จะเป็นฐานให้พวกเราแล้วนา ทำไมเราไม่รับเพิ่มอีกสักรอบล่ะ”
“เอ่ออออ ศิษย์น้อง เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะชนะน่ะ” กัวเหลียงถามออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะยังไงซะ หลังจากโดนโม่เสี่ยวจวงเผยลูกไม้อย่างการสะกดจิตไปแล้วก็ตาม แต่ เฉินเฉียงนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุด เขาก็ยินดีที่จะทำตาม
หลังจากเฉินเฉียงเดินไปยังสนามประลองแล้ว ผู้อาวุโสฉีและเฟิ่งไคเหลียงและสิทธิ์คนอื่นๆที่ในตอนแรกตั้งใจจะกลับแล้วก็ได้เลือกที่จะอยู่ต่อขึ้นมา
ฮู่ต้าไฮ่ที่เห็นก็ได้เดินไปยืนข้างๆอาจารย์ฉีและถามออกมา “เฒ่าฉี ไม่ใช่ว่าเจ้าจะกลับแล้วไม่ใช่รึไง แล้วจะมายืนอยู่นี่ทำบ้าอะไรอีก”
“หึ ข้าก็แค่อยากจะเห็นไอ้ศิษย์อวดดีของเจ้าต้องแพ้พ่ายก็เท่านั้น ผู้อาวุโสฮู่ แผนกวิชายุทธพิเศษของเจ้าจะกล้ามาเป็นศัตรูกับข้าแบบนี้ ข้าเกรงว่าในอนาคต พวกเจ้าคงยากที่จะได้ยาจากแผนกของข้าแล้วล่ะ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าไม่เชื่อหรอกน่าว่าผู้อาวุโสฉีจะกล้าไม่ขายยาของให้พวกข้าน่ะ”
“หึหึหึ ข้าคงไม่หาญกล้าพอที่จะไม่ขายยาให้แผนกวิชายุทธของเจ้าหรอกนะ แต่เฒ่าฮู่ อย่าได้หลงลืมนะว่าราคาของเม็ดยาพวกนั้นมันขึ้นอยู่กับข้า หลังจากกลับไปแล้วเปลี่ยนกฎใหม่ ในอนาคต หากคิดค่ายาให้ไอ้พวกแผนกวิชายุทธพิเศษสองเท่า ไม่สิ สามเท่าไปเลย”
“เฮ้ออออ เฒ่าฉีเอ้ย ค่อยๆพูดก็ได้น่า เดี๋ยวช็อกตายห่าไปซะก่อนหรอก พวกข้าไม่หนีไปไหนหรอกน่า” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เมื่อได้เห็นเฟิงไคเหลียงและลูกศิษย์ค่อยๆจากไปแล้ว ฮู่ต้าไฮ่ก็ได้ยกมือขึ้นมาแล้วก็ตบมือให้ตัวเอง
เยี่ยม ตอนนี้เขานั้นถือได้ว่าเป็นศัตรูกับแผนกเล่นแร่แปรธาตุโดยสมบูรณ์
ในเวทีประลองที่มืดมิด เฉินเฉียงในตอนนี้เป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไป เขาไปหลบอยู่ที่มุมหนึ่งก่อนที่จะใช้ไร้ตัวตนและการสัมผัสด้วยเสียง
อย่างไรก็ตาม เขานั้นไม่คิดว่าในทันทีที่จ้าวฮั่นเข้ามาในสนาม เขานั้นจะหยิบดาบออกมาและวาดดาบกวาดไปทั่วอย่างไม่หยุดหย่อน
ในตอนนี้ ทั่วทั้งสนามที่แต่เดิมมืดมิดนั้น ในตอนนี้บังเกิดประกายแสงของดาบสะท้อนไปมาจนทั่ว เรียกได้ว่าส่องประกายไปทั่วทุกซอกทุกมุมแม้แต่ซอกเล็กๆก็ตาม
“ว้าวววว ถ้าเป็นแบบนี้ไอ้สนามประลองกลางคืนอะไรนี่ก็คงไม่ทำให้เฉินเฉียงได้อีกต่อไป แถมการสะกดจิตของไอ้เด็กนั่นยังใช้ไม่ได้แล้วซะอีก ดูเหมือนว่าการที่ข้าลงพนันฝั่งศิษย์พี่ผู้ฝึกยุทธจ้าวนั้นถูกต้องแล้ว”
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะ นี่ก็ผ่านมากว่าสิบนาทีแล้ว ศิษย์พี่จ้าวยังคงร่ายรำกระบี่อยู่เลย นี่แสดงว่ายังหาตัวเฉินเฉียงไม่พบ”
เมื่อเห็นประกายกระบี่ที่ไม่รู้จบบนสนามประลองในตอนนี้ กัวเหลียงก็อดจะถามออกมาด้วยความหวั่นไหวไม่ได้ “อาจารย์ อาจารย์พอจะเห็นศิษย์น้องบ้างรึเปล่า”
ฮู่ต้าไฮ่ที่ในตอนนี้อารมณ์ไม่ดีก็อดที่จะพูดออกมาด้วยเสียงดุดันไม่ได้ “ไร้สาระ สนามประลองนี้ปิดกั้นเสียงและพลังงาน นี่เจ้าคิดว่าอาจารย์เป็นพระเจ้ารึไง”
ในสนามตอนนี้ เฉินเฉียงยังคงหลบอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างเงียบงันรอคอยโอกาส
อย่างที่เขาคิดไว้ว่านักรบสายเลือดระดับทหารขั้นสูงแถมยังเปิดจุดตันเถียนได้กว่าแปดจุดคนนี้ที่ออกแรงไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ได้ดูเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่เฉินเฉียงไม่รู้ก็คือจ้าวฮั่นในตอนนี้ที่ราวกับกำลังต่อสู้อยู่คนเดียวนั้นกำลังร้อนรน
ต่อให้เขานั้นมีระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง และพลังภายในที่เหลือเฟือ แต่เมื่อไม่สามารถหาตำแหน่งของศัตรูได้แล้ว ต่อให้เขามั่นใจว่าตัวเองจะชนะ แต่ด้วยเหตุการณ์ในตอนนี้ทำให้เขานั้นไม่ได้แสดงสีหน้าที่มั่นใจออกมาเลยแม้แต่น้อย
“เฉินเฉียง ไอ้ขี้ขลาด แน่จริงก็ออกมาสู้กันซะที”
หลังจากผ่านไปอีกสิบนาที จ้าวฮั่นได้หยุดมือและตะโกนออกมาดังลั่น
เฉินเฉียงยังคงไม่ตอบสนอง จ้าวฮั่นเองก็รู้สึกหมดปัญญาเหมือนกัน แต่เขานั้นก็ไม่ได้ลดการป้องกันแต่อย่างใด เขาได้เริ่มวาดดาบต่อไป อย่างไรก็ตาม คราวนี้ ดูเหมือนว่าพลังภายในที่จ้าวฮั่นใช้นั้นจะลดลงมากกว่าแต่ก่อน
ต้องรออีกสักหน่อย
แต่เขาเฉียนเฉียงนั้นกลับไม่คาดคิดว่าจ้าวฮั่นจะนำยาออกมาจากแหวนเก็บของและกลืนกินลงไปในขณะร่ายรำดาบ
หลังจากกลืนกินเม็ดยาลงไปแล้ว กำลังภายในของ จ้าวฮั่นได้กลับเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากเขาได้ทักษะของเฟิงไคเหลียงมาแล้ว เฉินเฉียงบอกได้ในทันทีที่สัมผัสตัวเม็ดยาได้เลยว่าที่จ้าวฮั่นพึ่งจะกินลงไปนั้นเป็นเม็ดยาคืนเลือดที่มีสรรพคุณในการฟื้นฟูพลังภายใน
และด้วยเม็ดยานี้เอง ต่อให้การต่อสู้นี้จะต้องยืดไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน จ้าวฮั่นก็ไม่หวาดหวั่น
ต่อให้เขานั้นจะยังคงอยู่ปลอดภัยอยู่ในตำแหน่งตอนนี้ แต่ถ้าเกิดว่าจ้าวฮั่นวาดดาบมายังเขาอย่างไม่ทันรู้ตัว นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
และนี่เองทำให้เขานั้นไม่ยอมรอต่อไปได้แล้ว เขาเตรียมตัวที่จะเริ่มโจมตี
เฉินเฉียงนั้นแต่เดิมคิดไว้ว่าจะอาศัยจังหวะที่สองคนใกล้กันแล้วคิดจะใช้ทักษะสะกดจิตเหมือนเดิม
แต่ด้วยการที่จ้าวฮั่นในตอนนี้รู้เรื่องนี้แล้วย่อมระวัง แน่นอนว่าชายคนนี้ต้องมีทักษะการเคลื่อนที่ เมื่อชายคนนี้สัมผัสได้จะต้องรีบถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว
และด้วยระดับของจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ แน่นอนว่าการสะกดจิตที่ทำได้เพียงระยะสามเมตรนี่ย่อมไร้ค่า
แต่ก่อนที่เขาจะยอมแพ้ในเรื่องนี้ เฉินเฉียงก็ได้นึกถึงระบบขึ้นมา
ค่าพลังงาน:60
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:51
ค่าพลังชีวิต:28
ค่าความแข็งแกร่ง:51
ค่าความเร็ว:98
ค่าพลังจิต:58
เฉินเฉียงตัดสินใจใช้ค่าพลังงานพันสองร้อยหน่วยเปลี่ยนเป็นค่าความอดทนหกหน่วย และค่าจิตวิญญาณอีกแปดหน่วย
และเมื่อในตอนนี้เขานั้นไม่มีค่าพลังงานแล้วทำให้ค่าพลังจิตของเขาคงจะยากที่จะเพิ่มขึ้นได้ แต่เขานั้นรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้และตั้งใจจะไปแลกเปลี่ยนแก่นคริสตัลหลังจากออกจากสนามไป
ในตอนนี้เขาเหลือค่าพลังงานเพียงหกสิบหน่วยเท่านั้น เฉินเฉียงไม่กล้าจะใช้พวกมันสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าในตอนนี้ด้วยค่าพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นกว่าแปดหน่วยน่าจะเพียงพอให้ระยะการสะกดจิตของเขาเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย
หลังจากเตรียมการแล้ว เขาก็ได้ปลดปล่อยการสะกดจิตออกมาอีกครั้ง
ตอนนี้มันมีระยะสี่เมตร
ค่าพลังจิตเพิ่มขึ้นเพียงแปดหน่วยแต่กลับทำให้ระยะการสะกดจิตเพิ่มขึ้นไปหนึ่งเมตร
ยิ่งด้วยการที่จ้าวฮั่นในตอนนี้เริ่มเคลื่อนไหวไปโดยรอบแล้ว สนามประลองเองก็ไม่ได้กว้างอะไรนัก ตราบใดที่เขายังคงสภาพนี้ไว้ได้ ไม่ช้าก็เร็ว จ้าวฮั่นจะต้องก้าวเข้ามาโดนบ้าง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว หลังจากผ่านไปอีกสิบนาที จ้าวฮั่นเริ่มที่จะขี้เกียจร่ายรำแล้ว
เมื่อเห็นแบบนั้น เฉินเฉียงได้ฉวยจังหวะที่จ้าวฮั่นไม่ยอมยกดาบขึ้นมาตามที่ควรจะเป็นก็ได้พุ่งเข้าหาอย่างไม่ลังเล พร้อมกับใช้เพลงดาบคลื่นมังกรถาโถมกลืนกินจ้าวฮั่นไปในทันที
โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากเทคนิคดาบเสร็จสิ้น เฉินเฉียงก็ได้รีบใช้มือขวาในทันที
ติ้ง
ระบบตรวจพบเป้าหมายที่ใช้ประโยชน์ได้
ระบบย่อยสลายนักรบระดับทหารขั้นสูงสำเร็จ
ชื่อ เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดทหารระดับสูง
ค่าพลังงาน:30
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:51
ค่าพลังชีวิต:28
ค่าความแข็งแกร่ง:52
ค่าความเร็ว:107
ค่าพลังจิต:58
วิธีการบ่มเพาะ: หลอมเลือดทำลายล้างระดับต้น
วิธีการบ่มเพาะ: ภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร ระดับเริ่มเรียนรู้
วิธีการบ่มเพาะ: เทคนิคฝึกฝนร่างกายขั้นต้น ระดับเริ่มเรียนรู้
วิธีการบ่มเพาะ: เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุแบบดั้งเดิม ระดับต้น
ทักษะ: ไร้ตัวตน
ทักษะ: การตรวจสอบด้วยเสียง
ทักษะ: เพลิงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณระดับต้น
ทักษะ: ก้าวย่างสวรรค์ระดับต้น
ทักษะ: ภาษาสัตว์
ทักษะ: แกะรอยด้วยกลิ่น
ทักษะ: ขุดรูระดับต้น
ทักษะ: สื่อสารไร้สาย
ทักษะ: สะกดจิตขั้นเรียนรู้
ทักษะ: แก่นแท้แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ระดับต้น
ทักษะ: รอบรู้สมุนไพร
ทักษะ: เพลงดาบลมเฉือน ระดับเรียนรู้
ทักษะ: การเคลื่อนที่เงา ระดับเรียนรู้
สายเลือด ทมิฬระดับสูง
พลังห้าธาตุระดับสูง
ธาตุไม้ระดับสูง
ตอนนี้ทักษะต่างๆที่เขาดูดซับมาได้นั้นไม่ได้ทำให้ เฉินเฉียงสนใจแต่อย่างใด แม้แต่ระดับสายเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นมาก็เท่านั้น แต่ที่เขาสนใจที่สุดคือตัวเขานั้นกลายเป็นระดับทหารขั้นสูงได้แล้ว
เขาเดินออกมาจากสนามประลอง เมื่อเขาเดินออกจากสนามประลองนั้นก็ได้เดินไปหาฮู่ต้าไฮ่ที่ตอนนี้กำลังยิ้มกว้างจนแทบจะเนื้อเต้นแล้ว
“ไอ้เด็กเวร นี่เจ้ากลายเป็นระดับทหารขั้นสูงแล้วอย่างนั้นรึ”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า เยี่ยม ไม่นึกเลยจริงว่าเจ้านั้นจะแกร่งขึ้นได้ด้วยการต่อสู้จริง นี่สิถึงจะสมกับเจตนารมณ์ที่สร้างสนามประลองเป็นตายนี่ขึ้นมา”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ต่อให้เจ้าเป็นสายเลือดผสมแล้วยังไงกัน เจ้าสามารถยกระดับจากขึ้นกลางเป็นขั้นสูงได้หลังจากเข้ามาเพียงเจ็ดวันเท่านั้น แค่นี้ก็ถือว่าอาจารย์ดูศิษย์ไม่ผิดแล้วจริงๆ”
สำหรับฮู่ต้าไฮ่แล้ว สำหรับเขานั้นไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่สนใจ สำหรับเขานั้น เขาย่อมรู้ดีว่าเฉินเฉียงที่มีถึงหกสายเลือดนั้นจำเป็นต้องทำให้ทุกสายเลือดอยู่ในระดับสูงนั้นต้องยากลำบากกว่าใคร
อย่างไรก็ตาม ฮู่ต้าไฮ่ไม่รู้ว่าในตอนนี้เฉินเฉียงนั้นมีทั้งหมดเจ็ดสายเลือดเข้าไปแล้ว
ส่วนเฉินเฉียงนั้น ในตอนนี้ เขาสนใจเพียงสเต็กอันโอชะที่รอเขาอยู่เท่านั้น
“ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์น้องคนนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ตามข้อตกลงแล้ว แหวนในมือพี่ต้องเป็นของข้าแล้วล่ะ”
จ้าวฮั่นที่ในตอนนี้ก็มองด้วยสีหน้าอาฆาตมายังเฉินเฉียงนั้นก็ต้องถอนมันออกไปในทันทีที่ได้ยิน เขามีท่าทีอิดออดที่จะถอดแหวนนี้และพูดออกมา “เอ่อ ศิษย์น้องเฉิน แหวนวงนี้เป็นของขวัญจากปู่ของข้าหากว่าปู่ของข้ารู้เข้าเกรงว่าเราทั้งคู่จะซวยกันหมดนะ”
“ศิษย์น้องอาจจะยังไม่รู้แต่ว่าปู่ของข้าคือผู้อาวุโสลำดับสอง เอาอย่างนี้ดีรึเปล่า ขอข้าจ่ายเป็นแต้มคะแนนตามที่ศิษย์น้องเสนอมาแทนแล้วกัน”
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาในทันที “ต้องขอโทษศิษย์พี่ด้วยจริงๆ แต่ที่ข้านั้นยอมประลองกับศิษย์พี่ก็เป็นเพราะเห็นแหวนนี่เท่านั้น ยิ่งศิษย์พี่เป็นหลานของผู้อาวุโสสองแห่งสำนักเต่าดำศิษย์พี่ยิ่งไม่ควรคืนคำพูดเป็นการใหญ่โดยเฉพาะต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้ หรือศิษย์พี่จะทำแบบนั้นจริงๆ”
“ศิษย์น้องเฉิน นี่เจ้าจะไม่ไว้หน้าปู่ของข้าเลยสินะ” จ้าวฮั่นเองที่ในตอนนี้ใบหน้ามืดครึ้มก็ได้เริ่มหันไปหาฮู่ต้าไฮ่ราวกับจะขอความช่วยเหลือ
เฉินเฉียงได้หัวเราะออกมาและพูดต่อ “ในเมื่อศิษย์พี่จ้าวไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้นี้ได้ก็ช่างมันเถอะ เป็นศิษย์น้องคนนี้ เฉินเฉียงคนนี้ที่โชคไม่ดีเอง ใครใช้ให้เจอคู่ต่อสู้อย่างศิษย์พี่ที่มีคนคอยคุ้มดีขนาดนี้ได้กัน แต่ศิษย์พี่ ยังไงซะข้าก็ขอแนะนำไว้อย่างก็แล้วกันนะว่าท่านควรต้องเข้าใจความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามให้แน่แท้ก่อนที่จะตกปากรับคำพนันแบบนี้ สักวันท่านจะต้องเจอบางคนที่ไม่ยอมท่านแบบนี้แน่นอน”
เป็นตอนนี้ที่เสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมาจากอัฒจันทร์
“ฮั่น ให้เขาไปซะ หลายชายของจ้าวหยางคนนี้ไม่ใช่คนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่เป็น”