MDB ตอนที่ 29 อสูรน้ำหมึก
กู่เมียงจงเป็นมองเห็นและได้ยินทั้งหมด ในขั้นต้น เขาก็ไม่ชอบหลินจินเหมือนกับคนอื่น ๆ เช่นกัน แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เขาทำและมันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเขาคิดผิด เพียงแค่ได้ลิ้มรส หลินจินก็สามารถบอกสายพันธุ์ของปลาได้ แม้กระทั่งเพศของปลา กู่เมียงจงที่เป็นนักชิมตัวยง เขาก็ยังไม่สามารถทำอย่างหลินจินได้
สิ่งนี้เปลี่ยนความประทับใจของเขาที่มีต่อหลินจินเล็กน้อย
“อาจารย์กู่!” เมื่อเห็นกู่เมียงจง เหลียวกู่ก็หัวเราะและทักทายเขา แม้ว่าชายคนนี้จะเป็นพ่อครัวใหญ่ แต่สถานะของนักประดิษฐ์อักษรเหนือกว่าพ่อครัวอย่างเขามาก
กู่เมียงจงโบกมืออย่างรวดเร็วและพูดว่า “พี่เหลียว อย่าทำเป็นเหมือนว่าเราคนอื่นคนไกลสิ!”
เหลียวกู่หัวเราะออกมาดัง ๆ แล้วเรียกเขาว่า “ได้ ๆ เมียงจง”
“นั่นแหละ แบบนี้ดีกว่า” กู่เมียงจงพยักหน้า
ชายทั้งสองเป็นเพื่อนเก่าและเมื่อเพื่อนเก่าพบกัน การสนทนาที่ไม่รู้จบก็เริ่มต้นขึ้น หลินจินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะหลบฉากออกไป
กู่เมียงจงไม่ได้พูดอะไร แม้ว่าความประทับใจของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เขาส่วนใหญ่ยังคงคิดว่าทักษะการประเมินของหลินจินนั้นไม่เป็นมืออาชีพและไร้ความสามารถตามที่ข่าวลือได้ว่าไว้
อย่างไรก็ตาม เหลียวกู่รั้งตัวเขาไว้ “หลินจิน ได้โปรดรอก่อน!”
“มีอะไรหรือเปล่าขอรับ ท่านเหลียว?” หลินจินถามด้วยความงุนงง
เหลียวกู่ยิ้ม “เจ้าสั่งอาหารของข้าแต่ไม่ได้ลิ้มรสมันอย่างเหมาะสม ตอนนี้ปลาทั้งสองจานเย็นชืดหมดแล้ว ถ้าไม่เป็นการรบกวน ข้าของเชิญเจ้าไปที่บ้านของข้า ข้ามีส่วนผสมบางอย่างที่นั่น แม้ว่ามันจะไม่ได้มากมายแต่ข้าสามารถปรุงอาหารสองสามจานให้เจ้าและข้าอยากฟังความคิดเห็นของเจ้าเกี่ยวกับพวกมันด้วย”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำเชิญเพื่อผูกมิตร
หลินจินรู้ดีว่าคนที่กลายเป็นใหญ่ในวงการต้องไม่ใช่คนธรรมดา เหลียวกู่อาจเป็นแค่พ่อครัว แต่ตำแหน่ง 'พ่อครัวใหญ่' ของเขาก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงชื่อเสียงของเขาในวงการนี้
หลินจินพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเพื่อตอบรับคำเชิญ มีเพียงคนงี่เง่าเท่านั้นที่จะปฏิเสธน้ำใจนี้ นอกจากนี้ หลินจินยังไม่อิ่มเลย
ทั้งเหลียวกู่กับหลินจิน ต่างก็มีบุคลิกตรงไปตรงมาทั้งคู่
ในทางตรงกันข้าม กู่เมียงจงทำได้แต่ยอมรับ แม้ว่าเขาจะรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องให้หลินจินไปด้วย แต่เนื่องจากเหลียวกู่ออกปากเรียบร้อยแล้ว เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้
เจียเฉียนกับจางเฮออ้าปากค้าง
“อาจารย์กู่ คือว่า….”
ก่อนที่เจียเฉียนจะพูดกู่เมียงจงก็โบกมือให้เธอ “ข้าขอตัวไปพบป่ะกับเพื่อนเก่าของข้าก่อน พวกเจ้ากลับไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องตามข้าอีกแล้ว”
‘ฮะ?!’
เจียเฉียนบดริมฝีปากล่างของเธอขณะที่เธอจ้องไปที่ร่างของหลินจินที่อยู่ข้าง ๆ เหลียวกู่ ไม่มีคำใดสามารถอธิบายสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ได้
เธอพบว่าจางไป่ลี่เป็นคนที่พยายามจะเป็นคนฉลาดแต่จบด้วยการกระทำอันโง่เขลา สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือหลินจินมีความรู้ด้านอาหารมากมายขนาดนี้ ไม่เพียงแต่เขาพบช่องโหว่เพื่อตอบโต้จางไป่หลี่เท่านั้น แต่ยังสามารถผูกมิตรกับพ่อครัวใหญ่เหลียวได้อีกด้วย
แม้เจียเฉียนจะได้รับโอกาสมากมาย แต่เธอไม่เคยมีโอกาสเช่นนี้
เมื่อออกไปข้างนอกหลินจินไปส่งจ้าวหยิงและหลู่เสี่ยวหยุนกลับไปที่สมาคมก่อนและสัญญาว่าจะเลี้ยงอาหารพวกเธออีกครั้ง
บ้านของเหลียวกู่อยู่ในบริเวณที่เงียบสงบ ตามที่เขาพูด เขาได้ซื้อสถานที่แห่งนี้อย่างหุนหันพลันแล่นเมื่อเดินทางมายังเมืองเมเปิ้ล ในวันปกติ เขาจะซื้อส่วนผสมเพื่อศึกษาเกี่ยวกับอาหารใหม่ ๆ ขณะเตรียมอาหารของตัวเอง มันเป็นชีวิตที่แสนสบาย
ตัวบ้านไม่ได้หรูหราอะไร มีเพียงโต๊ะไม้เล็ก ๆ และม้านั่งไม้หลายตัวเท่านั้น หลังจากที่เหลียวกู่ดื่มชา เขาก็เข้าไปในครัว โดยทิ้งหลินจินไว้กับกู่เมียงจง
กู่เมียงจงกำลังนั่งตัวตรงโดยปิดปากของเขาสนิท เนื่องจากเขาไม่ชอบหลินจิน เขาจึงทำท่าไม่สนใจว่าอีกฝ่ายอยากจะพูดอะไรกับเขา
หากเป็นคนอื่น ๆ อาจต้องการผูกมิตรกับนักประดิษฐ์อักษรระดับปรมาจารย์ แต่หลินจินกลับไม่มีเจตนาเช่นนั้น
เขาไม่เข้าใจเรื่องการประดิษฐ์ตัวอักษรหรือสนใจเรื่องศิลปะ
ดังนั้นชายทั้งสองจึงนั่งจ้องเขม็งเงียบ ๆ ความตึงเครียดในบรรยากาศกำลังก่อตัวขึ้นจากความอึดอัดที่ชวนหายใจไม่ออก
ในขณะนั้น กู่เมียงจงเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าของเขา
มันเป็นปล้องไม้ไผ่ขนาดยาวประมาณฝ่ามือ ดูเหมือนกล่องแปรงน้ำหมึกแบบพกพา
กู่เมียงจงแสดงความเคารพอย่างชัดเจนสำหรับของชิ้นนี้ เมื่อเขาวางมันลงบนโต๊ะ หลินจินสังเกตเห็นว่ามันมี 'ยันต์กำราบสัตว์วิเศษ' ติดอยู่บนปล้องไม้ไผ่ด้วย
เครื่องรางที่ใช้ปราบสัตว์วิเศษถูกใช้เพื่อกำราบสัตว์วิเศษที่หายาก ยันต์กำราบสัตว์วิเศษมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นผู้ที่สามารถซื้อได้ก็ต้องรวยอย่างไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์วิเศษ ความอยากรู้อยากเห็นของหลินจินจึงเพิ่มขึ้น หลังจากมองเข้าไปใกล้ ๆ เขาสงสัยว่า 'จะมีสัตว์วิเศษอยู่ในปล้องไม้ไผ่นี้หรือไม่'
แต่มันเล็กเกินไป
กู่เมียงจงนำหินวิญญาณออกมา จากการตรวจสอบของหลินจิน เขาสามารถบอกได้ว่ามันมีคุณภาพปานกลาง เขาเป็นคนร่ำรวยอย่างแท้จริง
มีจุกไม้อยู่ด้านบนของปล้องไม้ไผ่ กู่เมียงจงนำมันออกอย่างระมัดระวังและยัดหินวิญญาณเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
ปล้องไม้ไผ่เริ่มสั่นราวกับมีอะไรติดอยู่ข้างใน ท่ามกลางเสียงอึกทึก หลินจินได้ยินเสียงคำรามจากข้างใน
ปล้องไม้ไผ่ยังคงกระตุกและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของกู่เมียงจงเบิกกว้างและจากนั้นก็มีรอยแตก
*แคร่ก*
มันเป็นเสียงเล็ก ๆ แต่มันดังราวกับฟ้าร้องในหูของกู่เมียงจง
“มันแตกแล้ว!” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาฟาดยันต์กำราบสัตว์วิเศษอีกใบอย่างรวดเร็ว โดยตั้งใจจะติดมันบนท่อไม้ไผ่ แต่เขาช้าเกินไป มีรอยแตกอีกครั้งและปล้องไม้ไผ่แตกออก
แอ่งน้ำหมึกไหลซึมออกมาจากช่องที่แตก
"ไม่! สัตว์วิเศษของข้า!” ความสงบของกู่เมียงจงสลายหายไปทั้งหมด ความตื่นตระหนกเข้ามาแทนที่ สีหน้าของเขาที่บิดเบี้ยวเป็นความวิตกกังวล ชายผู้นั้นแทบจะกระโจนออกจากที่นั่งด้วยความตื่นตระหนก
สถานการณ์นี้สามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจน กู่เมียงจงกำลังเลี้ยงสัตว์วิเศษตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม มันไม่เชื่อฟังเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันยังไม่เชื่องจึงทำให้เขาไม่สามารถทำพันธสัญญาโลหิตกับมันได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเก็บมันไว้ในปล้องไม้ไผ่ชั่วคราวและกดทับด้วยเครื่องราง โดยไม่ทราบถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อเขาป้อนหินวิญญาณให้ก่อนหน้านี้เข้าไป สัตว์วิเศษสามารถเอาชนะเครื่องรางได้และได้เจาะทะลุปล้องไม้ไผ่เพื่อพยายามหลบหนี
กู่เมียงจงเป็นนักประดิษฐ์ตัวอักษร เขาไม่ใช่นักบวชหรือผู้ประเมินสัตว์วิเศษ แม้เขาจะมีความรู้แต่สถานการณ์ดังกล่าวไม่อยู่ในความเชี่ยวชาญของเขา
เขาเอื้อมมือไปแปะยันต์กำราบสัตว์วิเศษ แต่จู่ ๆ ก็มีน้ำหมึกพุ่งเข้ามาหาเขา
โชคดีที่เขาหลบได้อย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้น ฝ่ามือของเขาอาจถูกน้ำหมึกแทงทะลุไปแล้ว
กู่เมียงจงมองเบื้องหน้าด้วยท่าทางสิ้นหวัง ในขณะที่เขาจนปัญญาในการจัดการเรื่องนี้ สัตว์วิเศษน้ำร้ายหมึกตัวร้ายกำลังจะหนีออกจากปล้องไม้ไผ่ แต่ทันใดนั้นเองก็มีมือหนึ่งเอื้อมมือไปจับที่หยดน้ำหมึก
“อย่าจับมันนะ!” กู่เมียงจงอุทาน เขารู้ว่าอสูรน้ำหมึกตัวนี้ดุร้ายเพียงใด มือนี้อาจจะได้รับบาดเจ็บหนัก
แต่เขาพูดช้าไปหนึ่งวินาที หยดน้ำหมึกอยู่ตรงกลางฝ่ามือแล้ว
แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด อสูรน้ำหมึกที่เป็นศัตรูตัวนี้ดิ้นและแข็งตัวจนกลายเป็นน้ำแข็งก่อนที่จะถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือ แน่นอนว่ามือนี้เป็นของหลินจิน
ถึงหลินจินจะไม่มีความรู้ด้านการทำอาหารหรือศิลปะ แต่เมื่อพูดถึงสัตว์วิเศษ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายคนนี้เก่งที่สุดคนหนึ่ง
ขณะที่เขาจับสัตว์วิเศษที่มีลักษณะเฉพาะตัว ตัวที่เย็นยะเยือกและเรียบลื่นนี้ มันก็มีข้อมูลใหม่ก็เกิดขึ้นภายในพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษ ตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตและคำอธิบายในแผ่นหินได้ปรากฏขึ้น
อสูรน้ำหมึก: สัตว์วิเศษหายาก มีร่างกายเป็นของเหลว หงุดหงิดง่ายและยากที่จะเชื่อง มันอยู่ในระดับสามตั้งแต่กำเนิดขึ้นมา แถมมันยังมีคุณสมบัติคู่ น้ำและดิน จึงทำให้พิเศษและไม่เปลี่ยนใคร
เจ้าของพันธสัญญาโลหิต: ไม่มี
ประเมินศักยภาพ: ระดับ 5 3 วิธีในการเพิ่มศักยภาพคือ…
วิธีการวิวัฒนาการ: 5 วิธีในการส่งเสริมการวิวัฒนาการคือ…
การทำพันธสัญญาโลหิต: 4 วิธีในการทำให้สัตว์วิเศษเชื่องคือ…
ตามจริงแล้ว สัตว์วิเศษตัวนี้หายากที่สุด มันอาจเป็นสัตวิเศษที่หายากที่สุดเท่าที่หลินจินเคยเห็นมา รูปร่างของมันช่างแปลกประหลาดนัก มันเป็นของเหลวดูเหมือนน้ำหมึก
ในโลกที่กว้างใหญ่ มีเรื่องในตื่นตาอยู่ทุกซอกทุกมุม