ต่างโลกกับเทพบริหาร ตอนที่ 128 พึ่งตัวเอง
ณ ประตูทางออกป้อมดีแลน์ด้านหลัง
สำหรับป้อมหรือเมืองนั่นต้องมีประตูทางออกหลายทางเพื่อเอาไว้ในเวลาฉุกเฉน เช่นในเวลาแบบนี้ ที่ประตูด้านหลังตอนนี้มีรถม้าประมาณ 5 คัน จอดเอาไว้อยู่ และด้านในรถม้าก็บรรทุกของเอาไว้มากมาย
ส่วนมากแล้วเป็นของมีค่าและผู้คนที่สวมชุดเมด หรือพ่อบ้านกำลังนั่งอยู่ เพื่อเตรียมออกเดินทางไปพร้อมกับแลนด์เนอร์ที่กำลังจะเดินทางออกจากป้อม ตามที่ได้ตกลงกับไมล์เอาไว้
ด้านหน้าเองก็มีทหารสวมเกราะหนักยืนอยู่รอบรถม้าประมาณ 50 คน
ตัวของแลนด์เนอร์ก็กำลังยืนมองหน้าลูกของตัวเองอยู่ ซึ่งคนที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าแลนด์เนอร์ก็คือ แลนด์ดรอฟ ผู้ที่จะได้รับต่ำแหน่งผู้นำตระกูลคนใหม่ต่อจากแลนด์เนอร์ ตัวของแลนด์ดรอฟนั้นเป็นเด็กอายุ 13 ปี ผมสีน้ำตาลเข้ม ร่างกายไม่ใหญ่มากเหมือนกับเด็กทั่วไป แต่บนร่างกายกำลังสวมเกราะหนักเอาไว้อยู่ พร้อมกับสีหน้าที่กำลังเศร้าสร้อยราวกับว่าจะร้องให้ออกมา
แต่ทว่า
แลนด์ดรอฟนั้นรู้ดีถึงตำแหน่งของตัวเองเวลานี้
เพราะงั้นการร้องไห้ หรือการทำตัวอ่อนแอออกมาให้ทหา รหรือคนรับใช้เห็นมันก็จะกลายเป็นผลเสียให้ตัวเองในอนาคต ถึงแม้ว่าตอนนี้อยากจะร้องไห้มากเท่าไหร่ก็ยังไม่สามารถทำได้โดยเหตุผลพวกนี้เป็นตัวขวางกั้นอยู่
จากนั้น
" ท่านพ่อทำไมท่านต้องไปด้วย ท่านก็ยอมแพ้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ แถมยังตัดแขนของตัวเองแบบนั้นอีก "
แลนด์ดรอฟเริ่มพูดออมาโดยระหว่างพูดก็เบนสายตาไปยังแขนซ้ายของแลนด์เนอร์เล็กน้อย ด้วยท่าทางหนักใจ
เพราะแขนที่ขาดของแลนด์เนอร์ ถึงแม้ว่าเอามารักษาด้วยเวทย์มนต์แล้วก็ตาม แต่มันก็ทำได้เพียงหยุดเลือดและสมานแผลให้เข้ากันได้เล็กน้อยเท่านั้น เพราะการที่จะต่อแขนได้อย่างน้อยก็ต้องใช้เม็ดยาระดับกลาง
แต่ถึงแบบนั้น
การที่จะหายาระดับกลางด้วยเวลาแบบนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ ทำให้ตอนนี้แขนของแลนด์เนอร์ขาดอย่างต่อไม่ได้อีกแล้วเพราะถ้าขาดออกมามากกว่า 3 ชั่วโมง ต่อให้เป็นยาระดับกลางหรือสูง ก็ไม่สามารถต่อเข้าด้วยกันได้โดยเหตุผลก็เพราะว่าแขนมันตายไปแล้ว
" แลนด์ดรอฟเจ้าฟังสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ให้ดี "
" ครับ! "
" อันดับแรกเจ้าต้องลืมเรื่องของข้าไปสะเพราะยังไงข้าก็ไม่สามารถมาช่วยเจ้าได้ ส่วนเรื่องต่อไปก็เรื่องของอำนาจภายในตระกูล เวลานี้เจ้าไม่สามารถเชื่อใจใครได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหรือลุงของเจ้าก็ตาม และเรื่องสุดท้ายที่ข้าจะพูดกับเจ้าก็คือ เจ้าต้องทำยังไงก็ได้ให้มีชีวิตรอดต่อไป เพราะสิ่งที่เจ้ากำลังจะเจอต่อไปนี้ก็จะเป็นเหมือนกับข้าสมัยเด็ก ....เข้าใจใช่ไหม! "
แลดน์เนอร์เริ่มพูดเรื่องความจริงตอนนี้ให้แลนด์ดรอฟฟัง
เพราะในสมัยก่อนเองพ่อของแลนด์เนอร์ก็ตายในช่วยแลนด์เนอร์อายุได้เพียง 15 ปี และยังไม่ได้กำหนดตัวผู้สืบทอดตระกูลเอาไว้ด้วย เพราะแบบนี้ มันก็เลยทำให้แลนด์เนอร์ต้องสู้กับพี่น้องของตัวเองในหลายเรื่อง เช่น
ลอบฆ่าเวลานอน!
วางยาพิษใส่อาหาร!
ใส่ร้ายจนต้องออกจากตระกูล!
วิธีพวกนี้เป็นวิธีบางส่วนที่แลนด์เนอร์ทำกับคู่แข่งที่เป็นพี่น้องเท่านั้น
เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ทำไป กว่าแลนด์เนอร์จะขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลที่ใหญ่อย่างตระกูลดยุคได้เช่นนี้ แล้วการที่แย่งชิงก็ไม่ได้มีพี่น้องแม่เดียวกันเท่านั้น แต่มันยังมีจากแม่คนอื่น แถมยังมีพวกลูกนอกสมรสอีกมากมายที่พ่อตัวเองให้กำเนิดเอาไว้
" ครับท่านพ่อข้าจะไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น! "
แลนด์ดรอฟตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่ พร้อมกับคิดไปด้วย ' ตอนนี้ยังไงหน้าที่มันก็ตกมาอยู่ที่เรา เพราะงั้นก่อนที่ท่านพ่อจะเดินทางไปเราต้องทำให้เขาสบายใจที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ' แลนด์ดรอฟตอนนี้ถึงจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งออกมา เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้แลนด์เนอร์เป็นห่วงและแสดงให้คนของตัวเองดูว่าตัวเองเหมาะกับตำแหน่งผู้นำตระกูลขนาดไหน
เพราะเชื่อว่าทหารหลายคนที่เคยขึ้นตรงกับแลนด์เนอร์เวลานี้คงย้ายฝั่งไปทางญาตคนอื่นที่มีอำนาจมากกว่ากันบ้างแล้ว การแสดงความแน่วแน่และแข็งแกร่งออกมาให้เห็นตอนนี้ เลยจำเป็นมากกับสถาณการณ์ตอนนี้
" เอาละถ้างั้นข้าไปก่อน เพราะยังไงข้าก็เชื่อว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน "
" ครับ "
เมื่อคุยจบขวบวนรถม้าของแลนด์เนอร์พร้อมกับพวกทหารอีกประมาณ 50 คน ก็เริ่มเดินทางออกจากป้อมดีแลนด์ทันที
โดยเอาคนและสมบัตรออกไปด้วยบางส่วนเพราะไม่ว่ายังไงแลนด์เนอร์ก็เพียงแค่ออกจากการเป็นขุนนางเท่านั้น ส่วนเรื่องของการใช้ชีวิตก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก เพราะสมบัติที่เอาไปด้วยแลนด์เนอร์สามารถใช้ชีวิตหรูหราไปจนตายแบบไม่ได้ลำบากอะไรเลยเมื่อคำนวณจากมูลค่าของพวกมัน
###############
ณ ทางเข้าด้านหน้าของป้อมดีแลนด์
เวลานี้กองทัพของไคเซอร์ก็กำลังเดินเข้ามาในเมืองแบบท่าทางของผู้ชนะโดยมีไมล์กับไคเซอร์อยู่ด้านหน้าของขบวน และได้ควบม้าคนละตัวเดินนำหน้ากองทัพทหารที่เดินตามหลังมา
ภายในเมืองเองถนนขนาดใหญ่ก็โล่งไปหมดมีเพียงผู้คนสองข้างทางที่กำลังนั่งคุกเข่า และพากันก้มหัวลงกันอยู่ แต่ระหว่าวที่กำลังเดินทางตามถนนไคเซอร์ก็พรางคิดไปด้วยเมื่อมองเห็นสภาพบ้านและผู้คนในเมืองตามสองฝั่งของถนนที่กำลังใช้เดินทางอยู่ว่า ' นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ?!?!?! '