473 - หญิงงามที่สั่นสะเทือนจิตใจ
473 - หญิงงามที่สั่นสะเทือนจิตใจ
“พุทธศาสนาดำรงอยู่มานานแค่ไหนแล้ว”
เย่ฟ่านยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาถามอย่างไม่ใส่ใจแต่ยังคงอยู่ที่ประเด็นนี้
"นานมาก ก่อนยุคเซียนโบราณด้วยซ้ำ"
ดวงตาของแม่ชีน้อยเซี่ยอี้หลินเบิกกว้างด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าความลับนี้แม้แต่นางก็ยังไม่รู้
“มีมาแต่โบราณ?!”
เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจ พระพุทธเจ้าศากยมุนีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2000 ปีก่อน มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคเซียนโบราณ
“ดินแดนรกร้างตะวันออกมีคนไม่มากที่รู้จักพระพุทธศาสนา แต่สำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วพวกเราต่างก็รู้ว่าพุทธศาสนาคือหนึ่งในนิกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์” เหยาเยว่กงพูดกับแม่ชีน้อยด้วยรอยยิ้ม
เย่ฟ่านตระหนักได้ว่า แม้พุทธศาสนาจะมีชื่อเสียงเลื่องลือในอีกฟากหนึ่งของทะเลแห่งดวงดาวเมื่อ 2000 ปีก่อน แต่ในความเป็นจริงพระศากยมุนีไม่ได้เป็นผู้คิดค้นแนวคิดนี้ พระองค์เป็นเพียงผู้พัฒนาเท่านั้น
เขารู้สึกว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างในทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็ดื่มสุราพูดคุยกันโดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับหัวข้อที่น่าปวดหัวนี้อีก
อาหารมื้อนี้มีมูลค่าต้นกำเนิดบริสุทธิ์ห้าร้อยจิน แม้ว่าจะค่อนข้างแพงไปบ้างแต่เมื่อเทียบกับความร่ำรวยของพวกเขา ต้นกำเนิดจำนวนน้อยนิดนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อะไรเลย
“งานเลี้ยงระดับสูงที่มีผู้สูงสุดเป็นเจ้าภาพนั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก ข้าเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ต้องจ่ายด้วยต้นกำเนิดหลายหมื่นจินเลยทีเดียว”
เมื่อพูดถึงงานเลี้ยงระดับนั้นแม้แต่เหยาเยว่กงแห่งวังอสูรสวรรค์ก็ยังพูดไม่ออก
“พูดเกินจริงไปหรือเปล่า” เย่ฟ่านถาม
“ไม่ใช่การพูดเกินจริง ยกตัวอย่างจาน 'หงส์เหินหาว' เป็นตัวอย่าง มันถูกสร้างขึ้นโดยราชาปักษาที่มีสายเลือดของหงส์เพลิงที่แท้จริง เจ้าคิดว่าการที่เราจะกินเนื้อของสัตว์ชนิดนั้นได้เจ้าต้องจ่ายมากแค่ไหน”
“มีปีกเผิงสวรรค์หรือไม่?” เย่ฟ่านถามด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อก่อนเคยมีอยู่ แต่หลังจากที่ราชาเผิงสวรรค์ต่อสู้กับปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ตระกูลจินครั้งใหญ่ ตระกูลจินจึงยอมถอยด้วยการถอดเผิงสวรรค์ปีกสีทองออกจากร้านอาหาร”
เย่ฟ่านอ้าปากค้างพูดไม่ออกจริงๆ
หลี่เหอซุยกล่าวว่า “งานฉลองระดับนี้มีไม่กี่ครั้งต่อปี เฉพาะเมื่อปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ต้องการความร่วมมืออะไรสักอย่างเท่านั้นพวกเขาจึงจะเชิญผู้สูงสุดจากมหาอำนาจต่างๆเข้าร่วม
อย่างไรก็ตามข้าอยากดื่มชาแห่งการรู้แจ้งจริงๆ ชาแห่งความรู้แจ้งนี้ว่ากันว่าแม้แต่ผู้สูงสุดก็ยังได้รับประโยชน์มากมายมหาศาลจากการได้ดื่มมันเพียงคำเดียว"
เหยาเยว่กงส่ายหัวและกล่าวว่า "ชาแห่งการรู้แจ้งแม้กระทั่งงานเลี้ยงของผู้สูงสุดก็ใช่ว่าจะมีให้ชิม ของสิ่งนั้นเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่า! ดินแดนรกร้างตะวันออกของเรามีเพียงต้นเดียว และแต่ละปีมันจะให้ผลผลิตแค่ 30 ใบเท่านั้น”
"ชาแห่งการรู้แจ้ง มันอยู่ที่ไหนเหรอ" เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจเพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
"ในภูเขาเซียน" เหยาเยว่กงกล่าว
“โอ้” ทุกคนสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ
ภูเขาเซียนหนึ่งในเจ็ดเขตหวงห้ามแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ของดินแดนรกร้างตะวันออก มันตั้งอยู่ในอาณาจักรภาคกลาง การที่จะซื้อพวกมันสักใบเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
เหยาเยว่กงกล่าวว่า “ต้นชาแห่งการรู้แจ้งเพียงต้นเดียวทั้งยังเติบโตในภูเขาเซียน ราชวงศ์ภาคกลางใช้วิธีการต่างๆนานากว่าที่จะได้พวกมันมา 30 ใบ มันจึงเป็นไปได้อยู่แล้วที่พวกเขาจะส่งออกได้ทุกปี”
"มันอยู่ใกล้กับหน้าผาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่" เย่ฟ่านถาม
"ใช่ ไม่ไกลมาก ว่ากันว่าหน้าผาศักดิ์สิทธิ์เป็นหน้าผาที่ตัดออกมาจากภูเขาเซียนด้วยพลังที่ไม่มีใครเทียบได้”
เหยาเยว่กงคู่ควรกับการเป็นทายาทของวังอสูรสวรรค์ ความรู้ของเขารำลึกราวกับอสูรโบราณ
“แม้ว่าที่หน้าผาศักดิ์สิทธิ์จะเต็มไปด้วยอันตรายแต่ผู้คนก็ต้องการไปที่นั่นอยู่เสมอ เพราะว่ามันมีเก้าญาณวิเศษลึกลับถูกแกะสลักไว้ที่นั่น”
ผาศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับภูเขาเซียน ในอดีตปราชญ์โบราณที่เชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะได้ร่วงหล่นลงที่นั่น ร่างของเขาตกลงมาที่ภูเขาและเลือดของเขาก็ชโลมหน้าผาจนแดงฉาน
แต่ไม่มีใครทราบว่าเก้าญาณวิเศษลึกลับของเขาถูกแกะสลักไว้ที่ไหน สิ่งต่างๆก็เป็นเพียงคำร่ำลือที่ไม่ได้รับคำยืนยันเท่านั้น
เย่ฟ่านรู้สึกว่าต้องมีความลับมากมายอยู่ที่นั่นแต่เขาไม่สามารถซักไซ้ไล่เลียงได้เกินไป
หลังจากนั้นเสียงพิณก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เมื่อพวกเขาหันกลับไปมองที่ทางเข้าก็เห็นหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
"อันเหมียวอี้” เย่ฟ่านกล่าวด้วยความลังเล
“เทพธิดาอันเหตุไฉนจึงมาถึงที่นี่พอดี” องค์ชายเซี่ยถาม
“เหมียวอี้ก็จัดงานเลี้ยงที่นี่เช่นกัน ข้าต้องการเชิญพี่กู่ร่วมดื่มสุราแต่เมื่อสักครู่กลับถูกปฏิเสธไปแล้ว”
ใบหน้าหยกไร้ที่ติของอันเหมียวอี้ยิ้มแย้มแจ่มใสสร้างความลุ่มหลงให้กับทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น
กู่เฟิงเป็นชื่อปัจจุบันของเย่ฟ่าน เขาไม่สามารถเดินในเมืองศักสิทธิ์โดยใช้ชื่อจริงของตัวเองได้
“ทำไมคุณหนูอันถึงพูดเช่นนั้น มันเป็นความจำใจของข้าจริงๆเพราะข้าได้นัดกับพี่เซี่ยและพี่เยว่กงไว้แล้ว แต่ในเมื่อคุณหนูอันมาถึงที่นี่ไม่ทราบว่าข้าจะขอคารวะสุราเจ้าสักจอกได้หรือไม่” เย่ฟ่านยิ้ม
เหยาเยว่กงและองค์ชายเซี่ยต่างก็ยืนขึ้นเพื่อเชื้อเชิญอันเหมียวอี้พร้อมกัน
อันเหมียวหัวเราะเบาๆก่อนจะพยักหน้าและเดินเข้ามาด้านในศาลาด้วยรอยยิ้มที่น่าลุ่มหลง
เมื่อนางเข้ามาข้างในศาลานางก็หันมามองเย่ฟ่านด้วยสายตาดุดันและกล่าวว่า
"กู่เฟิงเจ้าเป็นคนแรกที่ปฏิเสธข้า เรื่องนี้ข้าไม่ยอม!"
เมื่อพูดจบนางก็นั่งลงด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับว่าพวกเขาเป็นสหายเก่ากันมาหลายสิบปีแล้ว
นางรินสุราให้กับตัวเองและชนจอกกับพวกเขาอย่างเป็นกันเองโดยไม่ถือตัว
องค์ชายของเซี่ยและเหยาเยว่กงมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ถูกกระตุ้นด้วยความงามที่ไม่ธรรมดา
แต่อันเหมียวอี้ก็ลึกลับและน่ากลัวเป็นอย่างมาก ด้วยความงามและเสน่ห์ของนาง มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้ด้วยความแข็งแกร่งในระดับปัจจุบัน
“กู่เฟิง เหมียวอี้มาดื่มสุรากับเจ้าด้วยตัวเอง คราวนี้เจ้ายังคิดจะปฏิเสธ?” รอยยิ้มของนางช่างอ่อนหวาน
เย่ฟ่านดื่มสุราและพูดว่า “คราวหน้าข้าขอเชิญคุณหนูอันร่วมดื่มสุราเพียงลำพังจะได้หรือไม่”
เหยาเยว่กงหัวเราะและพูดขัดขึ้นทันที "น้องชายเจ้าจะฉวยโอกาสแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด?"
“พี่กู่พูดจริงหรือไม่ อย่าทำให้เหมียวอี้ดีใจเก้อก็แล้วกัน” อันเหมียวอี้กล่าวอย่างสงบและดวงตาของนางทอประกายลึกล้ำ
แม้ว่านางจะมาจากตำหนักสราญรมย์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่ในความเป็นจริงลักษณะของนางกลับเต็มไปด้วยความสูงส่งราวกับดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์
เย่ฟ่านยิ้มและพูดว่า “ข้าจะกล้าได้อย่างไร พี่เยว่กงเข้าใจผิดแล้วข้าเพียงกลัวว่าคุณหนูอันจะไม่พอใจเท่านั้นเอง”
องค์ชายเซี่ยยิ้มและกล่าวว่า "อากาศวันนี้เย็นสบายยิ่งนัก ไม่ทราบว่าผู้แซ่เซี่ยจะมีวาสนาได้ชมคุณหนูอันร่ายรำท่ามกลางหิมะสักครั้งหรือไม่"
"ก็ถ้ามีใครเล่นดนตรีได้…" อันเหมียวอี้ยิ้ม หลังจากนั้นนางก็เดินออกไปนอกศาลาด้วยท่าทางที่งดงาม
องค์ชายเซี่ยหยิบพินออกมาจากของวิเศษเชิงพื้นที่และเริ่มบรรเลงอย่างแผ่วเบาในทันที
อันเหมียวอี้เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางหิมะ เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ของนางโบกสะบัดท่ามกลางสายลมหนาว ร่างกายของนางอ่อนไหวนุ่มนวล เป็นความงามที่ยากจะบรรยายได้
แม้แต่เย่ฟ่านที่คิดว่าตัวเองมีจิตใจแข็งแกร่งก็ยังลุ่มหลงไปชั่วขณะ เขารีบดึงจิตใจของตัวเองให้กลับมาอย่างรวดเร็วเพราะเขารู้ดีว่าหญิงสาวคนนี้ทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยมุ่งหมายเจตนามาที่เขา
"ยอดเยี่ยม!"
"งดงามที่สุด!"
แม้แต่ในลานของฤดูอื่นๆก็ยังมีเสียงโห่ร้องดังขึ้น พวกเขาไม่ทราบว่าใครเป็นคนที่ร่ายรำอยู่ท่ามกลางหิมะ แต่เงาที่เคลื่อนไหวนั้นก็ทำให้พวกเขาลุ่มหลงเป็นอย่างมาก
ไม่นานหลังจากนั้น อันเหมียวอี้ก็ลอยกลับเข้ามาในศาลาอย่างแผ่วเบา ในตอนนี้แม้แต่แม่ชีตัวน้อยว่ายังมีสีหน้าลุ่มหลงอันเหมียวอี้มาก นางรู้สึกดีใจจริงๆที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้
“พี่กู่ ความสำเร็จในด้านศิลปะต้นกำเนิดของเจ้านั้นยอดเยี่ยมน่าเหลือเชื่อ ไม่ทราบว่าเจ้าฝึกฝนจนสำเร็จได้อย่างไร”
หลังจากที่สุราผ่านไปหลายรอบ ในที่สุดอันเหมียวอี้ก็กล่าวถึงหัวข้อหลักในวันนี้!