บทที่ 52 การดูดซับหินธาตุ
เฟลิกซ์หงุดหงิดและค่อนข้างขบขันเมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขานอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางย่ำแย่ เขาปรบมือ 2 ครั้งเพื่อดึงความสนใจมาที่เขา ทว่าสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวคือดวงตาปลาตายของพวกเธอ ที่จ้องมาที่เขาอย่างตำหนิและเหยียดหยาม
เฟลิกซ์ไม่ได้จริงจังนัก เขาแค่ลากขาหรือแขนพวกเธอไปทางห้องรับรอง เพราะพวกเธอกำลังนอนอยู่บนทางเดิน กีดกันไม่ให้คนอื่นเข้าถึงประตู เขายังคงเดินไปมาและทุกครั้งเขาจะลากคน 2 คนไปด้วย
ผู้ชมไม่ได้หัวเราะหรือเยาะเย้ยพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเข้าใจว่าปฏิกิริยาของสาว ๆ นั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่งหลังจากรู้ชื่อภาพยนตร์ที่พวกเขาออกมา
พวกเขาเพียงพยักหน้าเพื่อแสดงความเคารพต่อการเสียสละของเฟลิกซ์ และแสดงความเสียใจต่อสาว ๆ ที่เสียชีวิต
....
ในห้องรับรอง เฟลิกซ์กำลังคุยกับโอลิเวียร์ซึ่งฟื้นจากอาการทางจิตได้เร็วที่สุด
"เธอพบหนังที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้ยังไงเนี่ย" เขาถามด้วยเสียงหัวเราะ
“นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบพูดไม่ดีเกี่ยวกับงานของคนอื่น” เธอขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “ต่อให้การสร้างของพวกเขาจะน่ากลัวแค่ไหน ในสายตาของฉัน พวกเขายังตั้งใจทำมันมาก ดังนั้นอย่าคาดหวังให้ฉันตอบนาย เพราะคำตอบเดียวของฉันจะเป็น ‘ไม่เลว’ เสมอ”
“ฉันก็คิดไว้แล้วจากบุคคลิกที่อ่อนโยนของเธอ” เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและลูบหัวเธอ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอเกิดมาพร้อมกับธาตุพืช หนึ่งในองค์ประกอบที่ใจดีและชอบช่วยเหลือคนอื่นที่สุดในจักรวาล”
โอลิเวียร์ทำหน้าบึ้งและปัดมือเขาออกจากหัว เมื่อเขาเริ่มปฏิบัติกับเธอเหมือนเด็กอีกครั้ง “หยุดชมฉันได้แล้ว ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่เข้าข้างนาย”
เธอกอดอกและส่งเสียงหึ "นายรู้ดีว่ามันจะทำลายสมองเรา นายสามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ให้พวกเธอฟังก่อนได้"
"นี่จะเป็นความผิดของฉันได้ยังไง ฉันบอกให้พวกเธอเลือกเรื่องอื่นแล้วชัด ๆ แต่พวกเธอปฏิเสธ" เขาพูดเสียงดังเพื่อให้สาว ๆ ได้ยิน "ยิ่งกว่านั้นซาร่าบอกว่าเธอไม่สนใจคุณภาพของหนัง และพวกเธอทุกคนก็เห็นด้วยกับเธอก่อนหน้านี้นี่" เขายิ้มอย่างไร้เดียงสา “ดังนั้นฉันก็เลยเคารพการเลือกของเธอ”
โอลิเวียร์ไม่เคยเก่งเรื่องการโต้เถียง เธอทำได้เพียงยอมรับข้อแก้ตัวของเขาด้วยการพยักหน้า ขณะที่สาปแช่งเขาอยู่ในใจ 'เฟลิกซ์คนไร้ยางอาย ฉันรู้ว่าเขาต้องการแกล้งเราเหมือนเคย'
หลังจากที่เห็นว่าเธอเลิกชวนทะเลาะ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง บอกให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาฟื้นคืนชีพก่อนที่ซาร่าจะออกจากโรงภาพยนตร์
"อืม"
พวกเธอครางเสียงที่แทบไม่ได้ยินเป็นการตอบสนอง ขณะมุ่งเน้นไปที่การลบความทรงจำสกปรกนั้นออกจากจิตใจ
...
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ซาร่าก็ถูกไล่ออกจากโรงหนังเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่รู้สึกว่าจิตวิญญาณของพวกเขาถูกกลืนกินจากภายใน เธอเพียงแค่เดินมาหาพวกเขาด้วยท่าทางมีความสุข
“หนังเรื่องนี้ดีมาก ฉันอยากให้เจ้าชายสุดหล่อช่วยชีวิตฉันแบบนั้นในชีวิตจริงบ้าง” ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยการบูชาขณะที่เธอกุมมือเหมือนแฟนเกิร์ล
ผู้คนรอบตัวเธอที่เปิดใช้โปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติจากสร้อยข้อมือเข้าใจสิ่งที่เธอพูด แต่ไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เธอพูดได้อย่างถูกต้อง
ร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อ ขณะที่พวกเขาตรวจสอบประตูที่เธอเดินออกมา พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเชื่อว่ามันเป็นเพียงจินตนาการ อย่างไรก็ตาม เสียงดุของซาร่าทำให้พวกเขารู้ว่าเธอไม่ได้ล้อเล่นเลย
“ทำไมพวกเธอถึงออกมากลางคัน? เฟลิกซ์จ่ายค่าตั๋วแล้ว มันไม่สุภาพเลยที่จะเสียเงินไปแบบนี้”
ทันทีที่เธอพูดจบ พื้นที่ทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด เฟลิกซ์ไม่รอให้คนอื่นหลุดจากความงุนงง เขาแอบหนีออกจากพื้นที่เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทนคบหาสมาคมกับซาร่า เขาไม่ต้องการรับความอัปยศในที่สาธารณะที่กำลังจะเกิดขึ้น
“คุณหนู ฉันเชื่อว่าคนที่จ่ายเงินไม่รังเกียจที่จะแลกเหรียญสองสามเหรียญเหล่านั้นเพื่อความปลอดภัยทางสุขภาพจิตของเพื่อนคุณ”
“แน่นอน ไม่มีใครผิดปกติอย่างคุณที่จะชอบสิ่งที่น่ารังเกียจนั่น”
“เลิกทำร้ายเพื่อนได้แล้ว มันไม่เท่เลย”
“ออกไป! เราไม่ต้องการให้เธออยู่ใกล้ลูกของเรา!”
ฝูงชนทั้งหมดหันมาต่อต้านเธอทันทีหลังจากรู้ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มแฟนด้อมที่น่าขนลุก ซึ่งชอบแนะนำภาพยนตร์ประเภทนั้นให้กับคนที่ไร้เดียงสา
กระนั้น ซาร่ากลับเอียงคอมองดูพวกเขาด้วยนิ้วชี้แตะริมฝีปาก สีหน้าที่สับสนของเธอแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร
นี่คือโบนัสของการไม่ได้เรียนภาษากลาง
เฟลิกซ์ไม่รอให้สิ่งต่าง ๆ น่าเกลียดไปกว่านี้ เขาสั่งให้ราชินี AI ล็อคเอาท์
.....
เฟลิกซ์เป็นคนแรกที่ตื่นขึ้น ในขณะที่สาว ๆ ยังคงหลับตาอยู่
เขารีบวิ่งออกไปนอกห้องด้วยเท้าเปล่าและชุดนอนโดยไม่รอช้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขารู้ว่าการหลบหนีเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าเขาต้องการหลีกเลี่ยงอาการปวดหัวที่จะเกิดจากการติดต่อกับลูกพี่ลูกน้องเขาหลังจาทริปที่ล้มเหลวนี้
...
ภายในโรงอาหาร
เฟลิกซ์กำลังกินอาหารกลางวันขณะนึกถึงภาพยนตร์ที่เขาวางแผนจะลงทุน
หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์ [Human Melodies] ที่กำลังจะเข้าฉาย ซึ่งน่าจะอยู่ระหว่างการผลิตมานานกว่า 2 เดือนแล้ว และจะออกฉายอย่างเป็นทางการในอีก 3 เดือนต่อมา
ระยะเวลานี้ค่อนข้างนาน หากพิจารณาว่าการสร้างภาพยนตร์ใน UVR นั้นง่ายพอ ๆ กับการสร้างคลิปใน YouTube เนื่องจาก AI สามารถจัดสร้างสภาพแวดล้อมและการถ่ายทำไปจนถึงการตัดต่อทั้งหมดได้ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์เหลือแค่ต้องทำการแสดงและกำกับเท่านั้น
ระยะเวลาเฉลี่ยในการสร้างภาพยนตร์คือหนึ่งเดือนและสูงสุดคือสองเดือน ดังนั้นระยะเวลาอันยาวนานนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า Oblivion Film Studio จริงจังกับโครงการนี้เพียงใด
ปัจจุบันเฟลิกซ์เป็นเจ้าของ 24 ล้าน SC 10 ล้านจะถูกใช้สำหรับการเดิมพันในอนาคต และ 14 ล้านเป็นส่วนที่เหลือไว้สนุกกับการช็อปปิ้ง
ดังนั้นสิ่งที่เขาวางแผนจะทำในตอนนี้คือ เดิมพันทุกอย่างในเกมที่กำลังจะมาถึง และเหลือเงินฉุกเฉินไว้ 2-3 แสนเท่านั้น แล้วนำเหรียญที่ได้จากการพนันมาลงทุนในหนังเรื่องนี้
ปัญหาเดียวที่กวนใจเขาคือช่วงเวลาลงทุนนั้นสั้นมาก และเกมที่เขาจำได้จะมีการแข่งขันในอีก 2 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ภาพยนตร์จะออกฉายในอีก 3 เดือน
ซึ่งหมายความว่าเขามีเวลาเพียงหนึ่งเดือนก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ เมื่อถึงจุดนั้น การผลิตคงจะจบลงแล้วหรือกำลังจะจบลง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือโอกาสลงทุนของเขาต่ำมาก
แต่เขายังคงมีโอกาส เขาจำได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีปัญหาในการระดมทุนจากนักลงทุน เนื่องจากแนวคิดในการถ่ายทำถูกระบุว่าไม่ทำกำไร และเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม
"ไอ้พวกปัญญาอ่อน แกเพิ่งเสียเหรียญฟรีอย่างน้อยหนึ่งพันล้านเหรียญ" เขายิ้ม “แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะเข้าไปรับมันด้วยความยินดี จากนั้นฉันจะใช้…”
เขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหวานที่คุ้นเคยในใจของเขา “เฟลิกซ์ ฉันดูทุกอย่างในความทรงจำของนายหมดแล้ว” แอสน่ายืดตัวเหมือนแมวขี้เกียจและถามด้วยรอยยิ้มที่สวยงาม "นายช่วยเติมสต็อกใหม่ ๆ เพิ่มได้ไหม ถ้าเป็นซีรีส์ฉันจะขอบคุณมาก ที่รัก"
"ฝันไปเถอะ ฉันยอมตายดีกว่าดูหนังหรือซีรีส์เรื่องอื่นแทนเธอ"
เขาโกรธจนเส้นเลือดที่คอของเขาปูด การเตือนความจำของเขาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการทดลองดูดซับหินพิษถูกเธอลืมไปแล้ว
“มาเถอะ เฟลิกซ์น้อย ได้โปรดเถอะนะ แล้วฉันจะหยุด ฉันสัญญา ฉันแค่ต้องการอีกเรื่องเท่านั้น” เธออ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
“หยุดพูดจาไร้สาระเหมือนคนติดยาซะที เธอจะไม่ได้อะไรอีก ถึงเวลาที่เธอต้องทำงานแล้ว เลิกขี้เกียจ” จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า "ฉันจะซื้อหินธาตุตอนนี้ และเริ่มการทดลองเพื่อให้เธอทำงานได้"
แอสน่าเริ่มดีดดิ้นอย่างหนักขณะร้องไห้อย่างเศร้าสร้อย "ฉันไม่อยากทำงานนนน! ฉันดูหนังต่อไปอีก 2 เดือนก่อนที่นายจะปลุกสายเลือดไม่ได้หรือไง" เธอคว่ำปากก่อนจะทำดวงตาเหมือนลูกสุนัขพูดว่า “ฉันสัญญา ฉันจะไม่พูดถึงมันอีก”
น่าเศร้าที่เฟลิกซ์มองไม่เห็นท่าทางที่น่ารักของเธอ เขาเพียงแค่เดินไปที่ห้องของเขาด้วยใบหน้าแข็งกระด้าง
คราวนี้เขาไม่เปลี่ยนใจ เขาให้เวลาเธอสนุกมานานพอแล้ว ในขณะที่เขาวางแผนทุกอย่างสำหรับอนาคตของพวกเขา ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอต้องช่วยเหลือเขาโดยไม่บ่น
นี่เป็นข้อตกลงร่วมกันของทั้งคู่ในตอนแรก เธอบอกว่าเธอจะช่วยเหลือเขาอย่างสุดใจ แต่จนถึงตอนนี้ เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเกียจคร้าน เขาทนไม่ไหวแล้ว
'วันนี้เธอจะช่วยฉันทดลอง และนี่เป็นการตัดสินใจขั้นสุดท้าย'
แอสน่าหดหู่เมื่อต้องทำงาน เธอฝังหัวของเธอไว้กับหมอนและกรีดร้องออกมาดัง ๆ ขณะที่เตะขาไปมาบนเตียง
'ไอ้เด็กขี้งก ฉันขอสาปแช่งให้นายซิงไปจนตาย' เธอโยนคำสาปแช่งที่น่ากลัวที่สุดที่เธอนึกออก หลังจากที่รู้ว่าไม่มีทางรอด
"ตามสบาย สาปแช่งไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”
เฟลิกซ์แอบมองเข้าไปในห้องของเขา เขากังวลว่าลูกพี่ลูกน้องจะยังอยู่ข้างใน แต่หลังจากแอบมองเขาก็พบว่าห้องของเขาปลอดโปร่ง
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เข้าไปแล้วปิดประตู
...
ไม่กี่นาทีต่อมา เขาเปิดโน๊ตบุ๊คแล้วตรงไปที่ร้านแลกเปลี่ยนคะแนนเพื่อซื้อหินธาตุ
หลังจากคลิกซื้อได้ไม่นาน การแจ้งเตือนก็โผล่ขึ้นมาที่มุมหน้าจอโน๊ตบุ๊คของเขา
[การซื้อของคุณสำเร็จแล้ว ภายใน 5 นาที คนรับใช้จะส่งสินค้าไปที่ห้องของคุณ]
หลังจากอ่านแล้วเขาก็ปิดโน๊ตบุ๊ควางไว้ที่ด้านข้าง
...
5 นาทีต่อมา เสียงเคาะเบา ๆ ในห้องก็ดังขึ้น
เฟลิกซ์เดินไปที่ประตู เปิดมัน หยิบกล่องจากคนรับใช้ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง และปิดประตูใส่หน้าพร้อมกับตะโกนขอบคุณ
คนรับใช้ทำได้เพียงเกาแก้มเมื่อเห็นภาพนี้แล้วจากไป การส่งมอบอื่น ๆ กำลังรอเขาอยู่
เฟลิกซ์นั่งบนเตียงขณะถือกล่องดำเล็ก ๆ เขายกนิ้วขึ้นเปิดมันออกอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของเขาขณะหยิบหินสีเขียวขนาดเล็ก ที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่วในกล่องออกมา
จากนั้นเขาขอให้แอสน่าพยายามดูดซับพลังงานพิษในหิน
แอสน่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแต่ยังทำตามที่เขาขอ และเริ่มดูดซับพลังงานในขณะที่ปิดปากหาว
กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่ถึงวินาทีก่อนที่หินจะแตกตัวเป็นฝุ่น
ดวงตาของเฟลิกซ์รู้สึกเบิกบานอย่างช่วยไม่ได้ แววตาเขาฉายแสงเมื่อได้เห็นภาพนี้ “เป็นยังไงบ้าง เธอทำสำเร็จรึเปล่า และถ้าเธอทำสำเร็จทำไมฉันถึงไม่รู้สึกแตกต่างจากแต่ก่อนเลย เธอดูดพลังงานทั้งหมดไม่เหลืออะไรให้ฉันเลยเหรอ”
แอสน่ารู้สึกรำคาญกับคำถามของเขาและตอบด้วยการเยาะเย้ย “หยุดถามคำถามโง่ ๆ ซะทีเถอะ ไอ้ปัญญาอ่อน นายคิดจริง ๆ เหรอว่าฉัน แอสน่าที่มาของกฎจะไม่สามารถดูดซับพลังอันไร้ค่านี้ได้?” เธอขึ้นเสียง "และนายกล้าดียังไงมาดูถูกฉันด้วยการให้ปริมาณที่น่าสมเพชแบบนี้กับฉัน และบอกว่าฉันเอามันไปทั้งหมด มันไม่พอแม้แต่จะเติมรูขุมเดียวด้วยซ้ำ!"
เฟลิกซ์หัวเราะอย่างเขิน ๆ เมื่อเขาตระหนักว่าเขาทำท่าทางตื่นเต้นเกินจริงเล็กน้อย เนื่องจากเขารู้ด้วยว่าปริมาณพลังงานของหินคุณภาพต่ำนั้น ค่อนข้างเป็นขยะสำหรับมนุษย์ อย่าแม้แต่จะพูดถึงแอสนาเลยด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ นี่เป็นเพียงเพื่อทดสอบว่าเราสามารถดูดซับพลังงานได้โดยไม่ต้องมีสายเลือดสัตว์ร้าย และเพิ่มความสัมพันธ์ของพิษ” เขายิ้มและปัดเศษฝุ่นของหินก้อนเล็ก ๆ ออกจากมือ
“อ้อ ที่นายพูดถึงความสัมพันธ์กับพิษ ฉันมีข่าวร้ายจะบอก” เธอใช้มือปิดปากเพื่อซ่อนรอยยิ้มชั่วร้ายไว้ข้างหลังและอธิบายว่า “การประมาณการครั้งก่อนของฉันเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จำเป็นสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้ได้คะแนนความสัมพันธ์ 100% นั้นค่อนข้างห่างไปหนึ่งไมล์ เพราะฉันใช้ทรัพยากรของเผ่าพันธุ์ของตัวเองเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ไม่ใช่หินธาตุของมนุษย์”
หัวใจของเฟลิกซ์จมดิ่งลงสู่ห้วงเหวลึก เขารู้ว่าสิ่งที่จะเธอจะพูดต้องไม่เป็นที่พอใจแน่
“ตอนที่ฉันดูดซับหินนี้ ฉันสามารถคำนวนได้ว่าการจะได้คะแนน 100% จาก 59% ต้องใช้เวลา 10 ปีในการดูดซับพลังงานระดับต่ำนี้”
"ขอแสดงความยินดีกับข่าวดีนี้ด้วย" แอสน่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าการแก้แค้นสามารถทำได้เร็วขนาดนี้
ดวงตาของเฟลิกซ์แทบจะเหลือก ขณะที่เขายันกำแพงเพื่อสนับสนุนตัวเอง
'สิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ สิบปีเพื่อให้จบ 41%? แล้วจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะจบองค์ประกอบธาตุอื่น ๆ ที่สัญญาไว้ซึ่งฉันไม่มีด้วยซ้ำ!'
แอสน่าถูเกลือบนบาดแผลของเขาอย่างไร้ความปราณี "30 ปีขึ้นไป"
เฟลิกซ์กำหัวใจด้วยความเจ็บปวด ขณะที่เขาตระหนักว่าเขาจะต้องใช้หินและสมบัติธาตุคุณภาพสูงเท่านั้น สิ่งที่มีราคาแพงเกินไป หรือไม่ก็ไม่สามารถซื้อได้ด้วยชื่อเสียงที่ไร้ค่าของเขา
"อนาคตที่สวยงามของฉันเพิ่งจะเยือกเย็น"
เขาร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง โดยคุกเข่าลงกับพื้นขณะจ้องมองไปที่เพดานห้อง เขาเริ่มเสียใจจริง ๆ ที่ทำการทดลองนี้
พวกเขาไม่ได้โกหก เมื่อพวกเขาบอกว่าความไม่รู้เป็นพร
------------------------------