บทที่ 85 รื้อฟื้นที่เกิดเหตุ
บทที่ 85 รื้อฟื้นที่เกิดเหตุ
เฉินฉีขับรถมาถึงหน้าสำนักงานตำรวจและลดกระจกลง พร้อมพูดกับหลินถงซูว่า “ผมมารับคุณหนูหลินไปทานเนื้อเสียบไม้ครับ” เมื่อเขารับเธอขึ้นรถมาแล้ว ก็ขับรถไปที่ร้านค้าแผงลอยริมถนนที่ขายเนื้อเสียบไม้ทันที แม้ว่าคืนนี้อากาศหนาวเย็นอยู่พอสมควร แต่ที่ร้านยังคงมีลูกค้ามาอุดหนุนไม่ขาดสาย
หลังจากสั่งอาหาร เฉินฉีเปิดโซดาสองขวดพร้อมพูดไปพลางว่า “ให้ผมเดานะ คดีนี้คงหนักเอาการ ถึงทำให้คุณดูหมดอาลัยตายอยากขนาดนี้”
“เฮ้อ มีคดีไหนบ้างล่ะที่ราบรื่น”
“ถ้างั้น... ก็เล่าให้ผมฟังสักหน่อยสิ?”
หลินถงซูเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับคดีและความคืบหน้าของทีมสืบสวน เฉินฉีพยักหน้าตอบรับขณะที่ฟัง เธอถามว่า “แล้วที่ฟังมาคุณมีความคิดเห็นอะไรบ้างมั้ย?”
“พอดีผมไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่ผมได้ยินจากคุณอีกที ถ้าผมออกความเห็นไปกลัวจะทำให้รูปคดีเพี้ยนเอาน่ะ”
“อะแฮ่ม... คุณหัดเป็นคนสงบปากสงบคำตั้งแต่เมื่อไหร่!”
เฉินฉียิ้ม “เนื้อเสียบไม้มาแล้ว!”
เนื้อเสียบไม้ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะต่อหน้าหลินถงซู เธอมองอาหารตรงหน้าที่มีทั้งเนื้อแกะย่าง กระดูกอ่อนย่าง เต้าหู้ปลาย่าง มะเขือยาวย่าง และอีกหนึ่งอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เธอหยิบมันขึ้นมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น “นี่เนื้ออะไรเหรอ?”
“หนอนไหมย่างไง รู้ไหมว่านี่เป็นของกินที่เหมาะกับช่วงหน้าหนาวของเมืองหลงอันเลยนะ ลองชิมสักคำสิ”
“หนอน... แมลงเนี่ยนะ?” หลินถงซูเหม่อลอยและมือสั่น
เฉินฉีฉวยโอกาสหยิบหนอนไหมย่างหนึ่งไม้ใส่ในปากหลินถงซูพร้อมพูดว่า “ด้านนอกกรอบกลิ่นหอมมัน เนื้อด้านในนุ่มละมุนและชุ่มฉ่ำ กัดเข้าไปแล้วรสชาติเหมือนกับน้ำผลไม้รสกลมกล่อมระเบิดไปทั่วทั้งปาก! ลองกัดดูสิ!”
หลินถงซูไม่กล้าแม้แต่จะลองกัด พอลิ้นของเธอสัมผัสกับมัน เธอตัดสินใจไม่กินและคายทิ้ง
หลินถงซูเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณว่าพ่อแม่ของเจียงเหมยทำเกินไปไหม?”
“ไม่หรอก” เฉินฉีตอบและยกคำถามขึ้นมาหนึ่งคำถาม
“คุณเคยได้ยินความคิดของคนหัวโบราณรึเปล่าล่ะ?” และอธิบายต่อ
“การแต่งงานสมัยก่อนจนถึงรุ่นพ่อแม่ในปัจจุบันนี้ มีผลต่อชนชั้นในสังคมอย่างชัดเจน แต่แปลกนะ... มันกลับบอกไม่ได้ว่าการแต่งงานเพื่อแสดงถึงชนชั้นเหล่านั้น มันมีความสุขสำหรับคนที่แต่งรึเปล่า ความรักดูเหมือนจะเป็นความสุขสมหวังและบั้นปลายชีวิตที่สวยงามเมื่อแต่งงานกับคนที่รู้สึกเหมือนกันกับเรา แต่ก็ยังมีบางสังคมที่ใช้มันเป็นเครื่องมือราวเป็นแค่วัตถุยังไงอย่างนั้น พวกเขาทำแบบนั้นเพื่อสร้างรากฐานทางชนชั้นให้กับลูก ๆ ของพวกเขา โดยที่พวกเขาเป็นคนตัดสินใจเองทั้งหมด ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... ถ้าไม่มีสังคมชนชั้นแต่แรกก็คงไม่มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้น เพราะความตั้งใจของคนเป็นพ่อแม่ คืออยากให้ลูกสาวมีความสุขที่สุดและมีฐานะมั่นคง ต่อให้เป็นพ่อแม่ของคุณ พวกเขาคงรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”
“ฉัน... พ่อแม่ของฉันไม่อยู่แล้วซะหน่อย...” หลินถงซูพูดเบา ๆ
“เอ่อ... ผมขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันโอเค... แต่ฉันคิดอีกแบบหนึ่ง... คนเราคงมีความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ถ้าไม่ได้แต่งงานหรือได้อยู่ด้วยกันกับคนที่รักจริง ๆ”
“ผมเห็นด้วย ผมรู้สึกว่าคนที่เป็นพ่อและแม่ ถ้ามีวิสัยทัศน์กว้างพอคงมองไปที่ตัวตนและนิสัยใจคอของคนมากกว่าชนชั้น แต่เมื่อมองเรื่องของชนชั้นแล้วมันเป็นแรงจูงใจที่ดีกว่า ความทะเยอทะยานทำให้พ่อแม่ใช้เกณฑ์นี้มาเปรียบเทียบกับมาตรฐานทางสังคมและความรัก และความรักเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เลยแตกต่างจากรากฐานทางวัตถุที่มีเรื่องเงินทอง ชื่อเสียง หรือชนชั้นมาเกี่ยวข้อง ที่สำคัญพวกมันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ พ่อแม่ส่วนใหญ่มองว่าความรู้สึกเป็นสิ่งที่ปลูกฝังกันได้ อยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง แต่พวกเขาคงลืมไปว่าทรัพย์สินหรือยศถาอะไรพรรค์นั้นได้มาง่าย ก็หายไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน”
เฉินฉีเอื้อมมือไปหาหลินถงซูพร้อมหยิบหนอนไหมย่างไม้สุดท้ายป้อนให้ แต่ถูกสกัดมือไว้เสียก่อน เธอขมวดคิ้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ลองกัดเข้าไปหนึ่งคำ แม้ว่าเนื้อสัมผัสจะแปลกแต่ไม่ถึงกับกลืนยากขนาดนั้น คงเพราะมีรสชาติของเครื่องปรุงช่วยให้กินง่าย
เธอโบกไม้เสียบที่พึ่งกินเสร็จไปมาและพูดว่า “ฉันว่าไม่ถูกต้องเลยสักนิดที่ต้องถูกบงการอิสรภาพที่เราจะรักใครสักคน ถ้าพวกเขาบังคับเจียงเหมยสำเร็จ เธอคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต นี่ไม่ต่างจากการที่พ่อแม่เอาลูกตัวเองมาเป็นสินค้า แล้วทำการซื้อขายโดยไม่สนอะไรเลย”
เฉินฉียิ้ม “คุณพูดถูก พ่อแม่ชาวจีนส่วนใหญ่คิดว่าลูก ๆ ของพวกเขาเป็นแค่สินค้าส่วนตัว และซื้อขายกันเหมือนแทนตัวลูกด้วยเงิน เพราะแบบนี้พวกเขาถึงคอยพยายามก้าวก่ายและควบคุมชีวิตของลูก ๆ รวมถึงตัดสินใจแทนให้ทุกอย่าง นี่อาจเป็นสาเหตุหลักของโศกนาฏกรรมในครอบครัวส่วนมากที่หวังเงินและทรัพย์สิน” สีหน้าหลินถงซูบึ้งตึงขณะถามกลับ “ฟังแล้วดูเหมือนอยากให้ฉันพิจารณาคุณอย่างนั้นแหละ... คุณมีรถแล้วนี่ แล้วบ้านล่ะ?”
“อยากเห็นไหมล่ะ?”
“อยาก! พาฉันไปดูสิ”
หลังจากทั้งคู่กินเนื้อเสียบไม้เสร็จ เฉินฉีขับรถพาหลินถงซูไปที่บ้านพักของเขา เมื่อขับมาจอดหน้าบ้าน พบว่าบ้านของเขาอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ แต่ก็ดูมีขนาดใหญ่กว่าบ้านหลังอื่น เขาใช้กุญแจไขเปิดประตู เธอแซวว่า “บ้านถึงจะสไตล์เรียบ ๆ แต่กว้างอยู่นะ ไม่เห็นเข้ากับคุณเลย” หลินถงซูไม่คาดคิดว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว ภาพตรงหน้าจะแตกต่างจากภาพที่เธอคิดไว้
บ้านหลังนี้มีขนาดภายในกว้างกว่าที่คาดไว้ มีของตกแต่งที่ไม่มากหรือรกจนเกินไป เฉินฉีรีบแก้ตัว “บ้านของหนุ่มโสดก็เรียบง่ายแบบนี้ทั้งนั้นแหละ พื้นที่ใช้สอยเลยดูเยอะไปหน่อย”
“คุณมีบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย!?” หลินถงซูประหลาดใจ
“แปลกขนาดนั้นเลยเหรอ? จริงสิ... คุณต้องการชาสักถ้วยไหมครับ?” เฉินฉีถามด้วยรอยยิ้มกวนประสาท
“ไม่ล่ะ! ขอบคุณ... ฉันดื่มน้ำเปล่าก็พอ”
ขณะที่เฉินฉีรินน้ำให้หลินถงซู เธอแอบเข้าไปในห้องนอนของเขาเพราะคิดว่าห้องนอนเป็นสิ่งที่สะท้อนรสนิยมของบุคคลได้มากที่สุด ห้องนอนของเฉินฉีมีเตียง ตู้ โต๊ะ และบนโต๊ะมีเพียงคอมพิวเตอร์พร้อมกับหนังสือเกี่ยวกับอาชญากรรมแค่สองสามเล่ม
หลินถงซูรู้สึกไม่หนำใจ จึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า พบว่าภายในตู้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่พับไว้อย่างเรียบร้อยและเรียบง่าย ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนที่มีนิสัยการใช้ชีวิตที่เป็นระเบียบมาก
เมื่อหลินถงซูออกมาขากห้องและกำลังปิดประตู ปรากฏว่าเฉินฉีมายืนอยู่ข้างเธอพร้อมน้ำหนึ่งแก้ว บรรยากาศในตอนนั้นทำเอาเธอรู้สึกกลัวเล็กน้อย เฉินฉียิ้มและพูดว่า “สนุกมากมั้ยครับคุณหนู? มาแอบดูห้องคนอื่นเนี่ย”
เธอตอบกลับด้วยท่าทีไม่รู้ไม่เห็น “ก็... มันเป็นนิสัยของอาชีพฉันนี่นา”
“ถ้างั้น... ข้อสรุปคงเป็นเจ้าของบ้านก็ดูเป็นชายโสดวัยกลางคนที่ใช้ชีวิตคนเดียวปกติ และดูเหมือนจะมีนิสัยที่น่ารักเอาการเลยด้วย ถ้าสักวันนึงผมถูกฆ่า... ตำรวจอาจได้ข้อสรุปแบบนี้ก็ได้”
“จุ๊ จุ๊ จุ๊” หลินถงซูขัดเฉินฉีทันทีและพูดต่อ “ไม่พูดแบบนี้สิ คุณนี่ไม่รู้อะไรซะเลยว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด! พูดเป็นลางแบบนี้ฉันไม่โอเคนะ”
เมื่อพวกเขากลับไปที่ห้องนั่งเล่น ภายในห้องกลับไม่มีโทรทัศน์และดูโล่งเกินไป สักพักหลินถงซูถามขึ้นว่า “คุณไม่มีความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้สักนิดเลยเหรอ?”
“การฆ่าตัวตายคือกุญแจสำคัญของคดีนี้ มันดูเหมือนเป็นการฆาตกรรมที่จัดการศพได้ไม่ดี แต่ประเด็นคือทำไมถึงต้องจัดฉากศพและสร้างสถานการณ์รอบ ๆ ให้เหมือนคู่รักพากันมาฆ่าตัวตาย? ถ้ารู้ว่าทำแบบนี้ไปก็หลอกตำรวจไม่ได้แต่ทำไม... ทำไมฆาตกรถึงตัดสินใจทำแบบนี้?”
หลินถงซูยืนกัดเล็บตัวเองเพราะคิดตามไม่ทัน
"อา... เหตุผลที่คุณพูดมาดูเหมือนจะมีเหตุผลนะ แต่คุณยังไม่เคยเห็นสถานที่เกิดเหตุจริงซะหน่อยนี่”
“ที่เกิดเหตุเหรอ? งั้นคุณคิดว่าเราควรทำยังไงต่อ?”
“จำลองสถานที่เกิดเหตุไงล่ะ”
“ถูกต้อง! งั้นเรามาลองดูกัน คุณต้องช่วยผมแสดง...” หลินถงซูได้ยินก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะต้องแสดงอะไรแบบนี้ต่อหน้าเฉินฉี “ไม่ ไม่! เราต้องใช้คนอย่างน้อยสามคน”
“ไม่ต้องกังวล คุณเล่นเป็นทั้งผู้หญิงที่เป็นเหยื่อและฆาตกรในเวลาเดียวกันก็ได้”
เธอลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อคิดเสียว่าทำเพื่อไขคดีจึงไม่ควรหลบเลี่ยง ดังนั้นเธอจึงวางแก้วน้ำและยืนขึ้น “เราจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี?”
เฉินฉียืนขึ้นและผลักโต๊ะวางถ้วยกาแฟออกไป เขาชี้ไปที่ช่องว่างระหว่างโต๊ะวางถ้วยกาแฟและโซฟา “สมมุติว่านี่เป็นถ้ำ ส่วนด้านหลังที่ปล่อยโล่งไว้ ให้สมมุติว่าทั้งสองกำลังเข้าไปในถ้ำที่ไม่มีใครอยู่”
หลินถงซูพยักหน้า
เฉินฉียื่นมือไปหาหลินถงซู เธอลังเลก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับ พวกเขาสมมุติว่าคู่รักกำลังจับมือกันเดินเข้าไปในถ้ำ หลินถงซูที่แสดงเป็นเหยื่อผู้หญิงทำทีเห็นปากถ้ำและอุทานเสียงดังว่า “นั่นไงถ้ำ!” เธอรู้สึกอายเล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกอยากหัวเราะไปในเวลาเดียวกัน แต่เฉินฉียังคงแสดงบทบาทสมมุติต่อไปอย่างจริงจัง
“ที่รัก... ในเมื่อพ่อแม่ของเธอไม่ยอมให้เราได้อยู่ด้วยกัน นี่คงเป็นวิธีเดียวที่เราสองคนจะอยู่ด้วยกันได้”
หลินถงซูพยายามคิดตามเกี่ยวกับบทพูดว่าควรจะแสดงต่อไปยังไง “ฉันหวังว่าชาติหน้า เราจะได้อยู่คู่กันตลอดไป”
เฉินฉีทำเป็นหยิบของบางอย่างออกมา และจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหลินถงซู “คุณแน่ใจใช่ไหม?”
“ค่ะ...”
เฉินฉีกลับมาแสดงท่าทางตามปกติและถามหลินถงซูว่า “คุณคิดว่าฝ่ายชายฉีดเข็มฉีดยาพิษให้อีกฝ่ายยังไง?”
“รอยเข็มอยู่ด้านหลังของเจียงเหมย ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นตอนที่เขา... อุ้มเธอ!”
“รังเกียจผมไหม?” เฉินฉีถาม
หลังจากหลินถงซูเข้าใจความหมายของเขา ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู แต่เธอตอบกลับด้วยการส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยท่าทีเขินอายและเกร็งเล็กน้อย
เฉินฉีเอื้อมมือออกไปโอบกอดหลินถงซู ความรู้สึกของเธอเมื่อถูกโอบกอดจนจมอยู่ในอ้อมแขนของเขา ความอบอุ่นนั้นทำให้หัวใจของเธอปั่นป่วนและร้อนเหมือนไฟที่โหมอย่างดุเดือด ทำให้เธอหดตัวลงโดยไม่รู้ตัว หลินถงซูรู้สึกอบอุ่นเหมือนเคยได้รับอ้อมกอดที่คุ้นเคยแบบเดียวกันนี้จากที่ไหนสักแห่ง เธอไม่เคยสัมผัสอ้อมกอดอันอบอุ่นอย่างนี้มานานแล้ว วงแขนของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและสบายใจมาก
ตอนนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคือหลินถงซูหรือเจียงเหมย ลึก ๆ ในใจเธอคิดว่าความรู้สึกในตอนนี้ ราวกับเธอและเขาเป็นคู่รักที่ถูกลิขิตไว้ให้จบชีวิตลงด้วยกัน เมื่อเฉินฉีแสดงท่าทีที่สมมุติว่าฝ่ายชายกำลังฉีดเข็มยาพิษที่หลังของเจียงเหมย หลินถงซูก็รับรู้ถึงความเศร้าภายในใจของอีกฝ่าย ถ้าเธอเป็นเจียงเหมยในตอนนั้นก็คงรู้สึกไม่ต่างกันกับเธอในตอนนี้
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่หน้าของเฉินฉีและจูบเบา ๆ บนแก้มของเขา
เฉินฉีตกใจกับความเผลอไผลของหลินถงซู แต่พอเธอรู้สึกตัวก็รีบผลักตัวเองออกมาจากอ้อมอกเขา “ฉัน... คือฉันไม่... เปล่าไม่ใช่แบบนั้นนะ...”
“ใช่แล้ว! จูบ!”
“อะ... อะไรนะ?” หลินถงซูสงสัยว่าเธอคงได้ยินผิดเลยถามออกไปว่า “คุณยังอยาก...”
“ผมพอสรุปได้ว่าถ้าทั้งสองฆ่าตัวตายเพราะความหลงใหลในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต อารมณ์ของพวกเขาจะอยู่ในจุดสูงสุด ซึ่งไม่แปลกที่พวกเขาจะจูบกันอย่างแน่นอน!”
ความคิดที่กำลังปั่นป่วนของหลินถงซูถูกดึงกลับมาด้วยคำพูดของเฉินฉีให้จดจ่ออยู่กับประเด็นการไขคดี เธอพยายามทบทวนตามแนวคิดของเฉินฉีแล้วออกความเห็น “ถ้าพวกเขาจูบกัน... งั้นจะหลงเหลือคราบน้ำลายที่พอใช้ตรวจดีเอ็นเอในช่องปากของผู้เสียชีวิตรึเปล่า? แต่คงช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกใช่ไหม?”
“ช่วยไม่ได้มากขนาดนั้น... แต่เป็นอีกหนึ่งเบาะแสที่น่าจะเป็นไปได้”