MDB ตอนที่ 24 ช่างเป็นเต่าที่ตัวใหญ่มาก
ด้วยชื่อเสียงในฐานะผู้ประเมินที่มีอิทธิพลในสมาคม ทำให้เกาเจียงเต็มไปด้วยความทนงตนโดยธรรมชาติ เขาก้าวเดินไปด้วยความมั่นใจในทุก ๆ การประเมินของเขา แม้ว่าหัวหน้าหวังจีหรือผู้อาวุโสทั้งสาม ผู้ดูแลสมาคมจะชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดในการประเมินของเขา แต่เกาเจียงก็ไม่อาจเต็มใจยอมรับข้อผิดพลาดจากพวกเขา ยิ่งเป็นหลินจินด้วยแล้ว เขาไม่มีทางยอมรับได้เป็นอันขาด
เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ได้สร้าง 'ความอัปยศ' อันยิ่งใหญ่แก่เขา ไม่ว่าอย่างไร รายงานการประเมินก็แสดงถึงศักดิ์ศรีของผู้ประเมิน
จางเฮอผู้ปากโป้งพอใจกับสีหน้าของเกาเจียง เขาคิดในใจว่า
'หลินจิน เจ้าทำให้ข้าต้องอับอาย เจ้าต้องชดใช้ แม้ข้าจะไม่อาจหาทางเอาคืนเจ้าได้แต่ถ้าเป็นผู้ประเมินเกา เขาต้องการจัดการกับเจ้าได้แน่’
บางทีอาจเป็นเพราะจางเฮอรู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอ จางเฮอจึงตัดสินใจราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
“ผู้ประเมินเกา ข้าไม่แน่ใจว่าข้าควรจะบอกท่านเรื่องนี้หรือไม่…” จางเฮอแสดงความเคารพ ในฐานะลูกศิษย์ภายใต้หัวหน้าหวัง จางเฮอไม่จำเป็นต้องมีมารยาทเช่นนี้แต่เขามาที่นี่เพื่อหว่านความไม่ลงรอยกัน ดังนั้นเขาจึงต้องรักษากิริยามารยาท
"เรื่องอะไร?" ไม่ว่าเกาเจียงจะอารมณ์ไม่ดีหรือไม่ เขาต้องรักษามารยาทเอาไว้ ท้ายที่สุดเขายังคงสถานะอันสูงส่ง นอกเหนือจากการเป็นผู้ประเมินทางการแล้ว เขายังเป็นนายน้อยของตระกูลเกาซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเมืองเปิ้ล
“เรื่องมันเป็นแบบนี้…” จางเฮอแสร้งพูดตะกุกตะกัก “มันก็เกี่ยวกับหลินจินด้วย ข้าได้ยินมาว่าเขาใช้กลวิธีบางอย่างเพื่อสร้างลูกศิษย์ในสังกัดของเขา หลู่เสี่ยวหยุนจึงยื่นเรื่องเปลี่ยนอาจารย์และกลายเป็นลูกศิษย์ของเขา…”
“หลู่เสี่ยวหยุน?” เกาเจียงครุ่นคิด จำนวนศิษย์ในสังกัดของเขามีเกินยี่สิบคน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจำได้ทุกคนแต่หลู่เสี่ยวหยุนต่างลูกศิษย์คนอื่น ๆ
นอกจากจะเป็นหนึ่งในความงามของสมาคมแล้ว เธอยังเป็นน้องสาวของนักบวชที่โดดเด่นของสมาพันธ์นักบวชแห่งเมืองเมเปิ้ล หลู่หยุนเหอ
หลู่หยุนเหอ เขาไม่ใช่คนธรรมดา
สมาพันธ์นักบวชเป็นกลุ่มที่ทำการศึกษาการบ่มเพาะของผู้บ่มเพาะในสมัยโบราณเป็นหลัก ไม่เพียงแต่สมาชิกจะได้รับพรด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายที่พิเศษแต่ยังได้รับมรดกจากเทคนิคของผู้เชี่ยวชาญและสัตว์เลี้ยงชั้นยอดของพวกเขาด้วย
เกาเจียงจะไม่รู้จักน้องสาวของบุคคลพิเศษนี้ไปได้อย่างไร
เขาเหลือบมองไปทางศิษย์ที่อยู่ข้าง ๆ คนหลังสะดุ้งตกใจและเดินออกมาเพื่อยืนยันข้อมูลนี้ แน่นอนว่าเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าหลู่เสี่ยวหยุนได้เปลี่ยนอาจารย์เมื่อวานนี้ที่แผนกกิจการทั่วไป
ใบหน้าของเกาเจียงเป็นสีขาวซีด แม้ว่าเขาจะทนกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ แต่เรื่องนี้เขาไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ได้เป็นอันขาด
“อุกอาจมาก!”
เกาเจียงแค่ดูถูกหลินจินเท่านั้นแต่ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เกาเจียงเข้าใจดีว่าถ้าเขาเดินไปหาหลินจินด้วยตัวเอง หลินจินจะได้รับเกียรติ ไม่ว่าเรื่องมันจะออกหัวหรือก้อย มันจะดูเหมือนเขากำลังเตะขยะให้คนทั่วไปเห็น
“เจ้าขยะนั่นคงใช้วิธีที่น่ารังเกียจ ข้าไม่อยู่ในฐานะที่จะจัดการเรื่องนี้ได้ตัวเอง ถ้าข้าทำอย่างนั้น คนทั่วไปคงจะพูดว่าข้ารังแกเขา ดังนั้นข้าจะเขียนจดหมายถึงหลู่หยุนเหอเพื่อแจ้งเขาว่าน้องสาวของเขาได้หลงทางในเส้นทางที่ผิด ในฐานะพี่ชายของเธอ เขาควรจะพาเธอกลับมาเส้นทางที่ถูกต้อง”
เมื่อพูดจบ เกาเจียงก็หยิบพู่กันเขียนพู่กันและเริ่มเขียนจดหมาย จากนั้นให้ลูกน้องส่งมัน
เนื่องจากเขาบรรลุจุดประสงค์ของเขาแล้ว จางเฮอจึงขอตัวทันที
เมื่อออกไปข้างนอก เขาก็พึมพำอย่างเบา ๆ ว่า “หลินจินเอ๋ย หลินจิน ข้ารับประกันได้เลยว่าหายนะจะมาถึงเจ้าแน่นอน การหลุดจากห้าอันดับแรกในการประเมินสองรายการติดต่อกันแถมยังมีเหตุการณ์การประเมินผิดพลาดอีก นั่นก็อันตรายต่อสถานะของเจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้ากล้าลูบคมผู้ประเมินเกาแล้วทำให้เขาขุ่นเคือง เจ้าไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขแน่นอน”
…
ในขณะเดียวกัน หลินจินกำลังส่งรายงานการประเมินให้กับลูกค้าที่เขาล่อให้เข้ามา
ฝ่ายหลังเหลือบมองอย่างสงสัย “ผู้ประเมินหลิน สิ่งนี้จะได้ผลจริงหรือ?”
หลินจินตบหน้าอกของเขาเพื่อแสดงความมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล รายงานการประเมินนี้มีตราประทับและลายมือชื่อของข้า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เจ้ามาหาข้าได้”
ลูกค้ารายนี้ไม่ใช่คนในพื้นที่ เขามาที่สมาคมประเมินสัตว์วิเศษของเมืองเมเปิ้ลโดยเฉพาะเพื่อขอคำปรึกษากับมืออาชีพ ดังนั้นเขาจึงไม่ติดใจอะไรมากนัก
“นี่คือป้ายทะเบียนของข้า เจ้าเพียงแค่ต้องจ่ายเงินเมื่อออกไป ส่วนค่าธรรมเนียมระบุไว้ในเอกสารนี้” หลินจินเตือนอย่างใจเย็น
ลูกค้าเข้าใจกฎของที่นี่ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและจากไป เมื่อเขาออกจากห้อง เขาถูกห้อมล้อมด้วยเสียงกระซิบและชี้นิ้วไปในทิศทางของเขา ด้วยความงงงัน เขาถามด้วยความอยากรู้ถึงต้นเหตุของความวุ่นวายนี้
“เจ้ากำลังพูดว่าผู้ประเมินหลิน มีชื่อเสียงที่ไม่ดีและมีทักษะที่แย่มากงั้นหรือและเขาประเมินสัตว์สัตว์เลี้ยงของใครบางคนพลาดด้วยงั้นหรือ?”
"ถูกต้อง เจ้าคงไม่ใช่คนท้องที่สินะ ดังนั้นเจ้าจึงต้องถูกหลอก ที่นี่ไม่มีใครต้องการจะไปปรึกษาเขาเพื่อขอการประเมินหรอก”
ลูกค้าส่ายหัวไม่อยากเชื่อข่าวลือนี้ เขาบ่นว่า “ผู้ประเมินหลินจินไม่ได้ดูไร้ฝีมืออย่างที่พวกเขาพูด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้ามีรายงานการประเมิน ข้าจะกลับมาหากมีปัญหา”
บ่ายวันนั้น หลินจินเข้าไปเรียกลูกค้าแบบเชิงรุก แน่นอนว่า เขาถูกปฏิเสธแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ทางด้านจ้าวหยิงและหลู่เสี่ยวหยุนยังคงจดจ่อกับรายงานของพวกเธอ เมื่อใดก็ตามที่พบเนื้อหาที่ซับซ้อน พวกเขาจะยกมือขึ้นและตั้งคำถาม หลินจินจะอธิบายให้พวกเขาฟังตามคำอธิบายของพิพิธภัณฑ์
"ข้าเข้าใจแล้ว ปัญหาของสัตว์เลี้ยงของข้าเกิดขึ้นจากการปะทะกันของคุณสมบัติกับสายเลือดของมัน การดูดซับพลังงานทางจิตวิญญาณของธาตุดินจะอุดตันจุดฝังเข็ม ไม่น่าแปลกใจที่มันจะไม่วิวัฒนาการมาก่อนหน้านี้” หลู่เสี่ยวหยุนรู้แจ้ง ความรู้ที่เธอได้รับดูดซึมเข้าไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทันใดนั้น เสียงภายนอกก็ถามว่า “ผู้ประเมินหลินอยู่ที่นี่หรือไม่?”
ซูคานยืนอยู่ข้างนอกประตู เขาเผยความกังวลไปยังเต่าบกข้าง ๆ ซึ่งความสูงถึงเอวของเขา ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลซูของเมืองเมเปิ้ล ดังนั้นสถานะของซูคานจึงไม่ธรรมดา เขาเป็นนายน้อยที่ร่ำรวยแต่เขาก็มีความทุกข์ยากเช่นกัน
ตลอดชีวิตของเขา สัตว์วิเศษที่เขาเลี้ยงไว้คือเต่าบกตัวใหญ่ตัวนี้ มันอยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอด แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้มันเริ่มมีอาการป่วย เซื่องซึม เนื่องจากเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่รู้จัก เขาจึงมาขอคำปรึกษาจากหัวหน้าหวังจีกับผู้ประเมินเกา แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม
อาการป่วยนี้ไม่มียาตัวใดรักษาได้เลย พูดตรง ๆ คือรักษาไม่หาย
ผู้ประเมินทั้งสองได้ออกใบสั่งยาเพื่อชะลอการเจ็บป่วยและซูคานได้ลองให้ยาสัตว์เลี้ยงของเขาหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบสัญญาณที่ดีขึ้น
ขณะที่เขาปวดใจกับการเฝ้าดูอาการของเจ้าเต่าบกที่ค่อย ๆ แย่ลง ซูคานถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับหลายคืน ผู้อาวุโสในตระกูลของเขาได้บอกให้เขาเริ่มค้นหาสัตว์เลี้ยงมาแทนมันได้แล้ว
แต่ซูคานยังคงดื้อรั้น เขาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าเต่าบกมาหลายปี เขาจะละทิ้งมันลงได้อย่างไร?
เขาได้สืบเสาะหาผู้ประเมินที่มีชื่อเสียงหลายคน เขาทำทุกวิถีทาง ในวันนี้ หลังจากไปเยี่ยมหัวหน้าหวังจีอีกครั้ง ผลลัพธ์ของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างเคย ท่ามกลางความสิ้นหวังนี้ ซูคานจ้องมองไปยังป้ายทะเบียนของหลินจิน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะลองดู
ซูคาน ผู้ถูกครอบงำด้วยความสิ้นหวัง
เขาทราบถึงชื่อเสียงอันเลื่องลือของผู้ประเมินหลิน ผลการประเมินของเขาอาจไม่ลึกซึ้งไปกว่าหัวหน้าหวังจีแต่ซูคานเต็มใจที่จะลองดู แม้ว่าจะมีแสงแห่งความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะยอมแพ้
หลินจินออกมาและสิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นคือเต่าที่ดูท้อแท้กับชีวิต
"ว้าว ช่างเป็นเต่าที่ตัวโตอะไรอย่างนี้!” หลินจินอุทาน
ซูคานขมวดคิ้วผิดหวังทันที สัตว์วิเศษที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเขาคือเต่าบก มันไม่ใช่เต่าธรรมดา สำหรับผู้ประเมินที่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ คน ๆ นั้นก็ไม่มีประโยชน์ อย่างที่คนอื่นเคยพูดไว้ ที่ใดมีควัน ที่นั่นย่อมมีไฟ ดูเหมือนชื่อเสียงของหลินจินจะเป็นเรื่องจริง
ซูคานถอนหายใจและหันกายไปทางทางออก เขาตระหนักได้ว่าเขาสิ้นหวังจนขาดสติ เขามาหาบุคคลที่เต็มไปด้วยชื่อเสียงที่น่าอับอายเช่นนี้ได้อย่างไร?
ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป คำพูดของหลินจินได้หยุดเขาในทันที
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม เต่าบกของเจ้ามีศักยภาพค่อนข้างดีและยังสืบทอดสายเลือดเต่ามังกรทั้งเจ็ด มีเพียงแต่เจ้าเท่านั้นที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการวิวัฒนาการของมันได้ แม้จะผ่านไปสิบปี สามเดือน และหนึ่งวัน เจ้าก็ยังพยายามดิ้นรนเพื่อช่วยให้วิวัฒนาการ นอกจากนี้ ข้าไม่คิดว่าจะมีคนคิดร้ายต่อเจ้า เนื่องจากสัตว์วิเศษของเจ้าถูกวางยาพิษโดยใครบางคน…”
ดวงตาของซูคานเบิกกว้างอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เขาฟังจนในที่สุดกรามของเขาก็เปิดกว้าง
จากนั้น ภายในห้องประเมินของหลินจิน หลินจินนั่งจิบชาที่ต้มเสร็จใหม่ ๆ และซูคานกำลังเผชิญนั่งหน้ากับเขา มันทำให้หลินจินรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ
โดยทั่วไปแล้ว หลินจินไม่เคยสูญเสียความสงบ เขารู้ว่าลูกค้ารายนี้มาหาเขาเพราะนี่คือทางเลือกสุดท้ายของเขา ลูกค้าต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ซึ่งไม่เป็นผล ถ้าเขาประสบความสำเร็จในการให้คำปรึกษาก่อนหน้านี้ โอกาสนั้นคงจะไม่มีมาถึงหลินจิน
อย่างน้อย ๆ มันก็เป็นผลดีต่อหลินจิน
“ผู้ประเมินหลิน ท่านพูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับการวางยาพิษ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ซูคานรู้สึกสับสน เขาคิดว่าหลินจินพูดเกินจริงเพียงเพื่อดึงดูดความสนใจของเขา แต่ไม่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ เขาก็ขอฟังคำชี้แจงจากอีกฝ่ายก่อน
หลินจินมองเห็นความสงสัยในดวงตาของอีกฝ่าย เขาจึงกล่าวว่า “ช่วงนี้สัตว์เลี้ยงของเจ้าเบื่ออาหารใช่หรือไม่? นอกจากจะเซื่องซึมแล้ว ยังมีถ่ายอุจจาระเป็นเลือดและเมื่อให้ยา มันก็อาเจียนทุกอย่างออกมาหลังจากนั้นไม่นาน ผิวหนังตรงกระดองเต่าส่วนท้องลอกออกและมีเส้นสีเขียวล้อมรอบรูม่านตา ส่วนที่เลวร้ายที่สุดคือ ช่วงเวลากลางคืนจนถึงรุ่งเช้า สัตว์วิเศษของเจ้าจะอาละวาดโดยไม่ได้ตั้งใจและหลังจากที่มันอาวะวาดเสร็จ มันก็จะหลับเป็นตายเป็นเวลาหลายชั่วโมง จากนั้น มันจะอ่อนแรงเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้”
*เคร๊ง!*
ถ้วยน้ำชาหลุดออกจากนิ้วของซูคานตกลงบนโต๊ะและชาก็หกเลอะเทอะเต็มไปหมด