เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่15: การลอบสังหารจากผู้นำสกุลหวังแห่งอาณาจักรซู่!
ตอนที่ 15 : การลอบสังหารจากผู้นำสกุลหวังแห่งอาณาจักรซู่!
อาณาเขตเหนือครามแห่งนี้ตั้งอยู่ ณ ทางเหนือสุดของทวีปแผ่นฟ้า ในอาณาเขตประกอบไปด้วยอาณาจักรทั้งเจ็ด ทางใต้ของอาณาจักรฉีซานคืออาณาจักรซู่ หาดเปรียบเทียบกันแล้ว อาณาจักรซู่ย่อมถือได้ว่าเล็กกว่าฉีซานอยู่พอสมควร
หากนับว่าสกุลหลินเป็นผู้นำของอาณาจักรฉีซานแล้วล่ะก็ ตระกูลหวังก็ถือว่าเป็นเจ้าครองอาณาจักรซู่ได้เช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าสองตระกูลนี้เริ่มเป็นศัตรูกันตั้งแต่เมื่อใด แต่ทั่วทั้งอาณาเขตเหนือครามย่อมทราบว่าทั้งคู่มิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้
ไม่ว่าจะเป็นในงานเลี้ยงใดๆ หรือดินแดนลึกลับไหนๆ หากสองสกุลนี้พานพาบกัน ย่อมต้องไล่ล่าสังหารกันจนกว่าอีกฝ่ายจะล้มตายจนหมดสิ้น
……
แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านหุบเขาสูง เมืองน้อยใหญ่ของอาณาจักรซู่ล้วนตั้งอยู่เรียงรายตามแนวเทือกเขา หากมองลงมาจากบนฟากฟ้าย่อมดูราวกับสายโซ่เส้นยาวที่ร้อยเรียงกันพร้อมเปล่งแสงเรืองรอง นับเป็นความรุ่งโรจน์อย่างหนึ่งของอาณาจักรแห่งนี้
ใจกลางอาณาจักรซู่ มีเมืองโบราณแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่มาเนิ่นนานนามว่าเหอผิง
กำแพงสีดำของเมืองนี้ให้ความรู้สึกราวกับผ่านช่ววงเวลาแห่งประวัติศาสตร์มานับมิได้ ตำนานกล่าวไว้ว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล และยังเป็นบ้านหลักของสกุลหวังอีกด้วย
เมืองเหอผิงแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยอักขระลึกลับซับซ้อน รุ่นแล้วรุ่นเล่าของตระกูลหวังล้วนอยู่อยู่ที่นี่เพื่อคอยปกป้องเมืองจากการบุกรุกของเหล่าสัตวว์อสูรที่เกรี้ยวกราด
ณ ตึกที่สูงที่สุดในเมืองเหอผิง ปรากฏชายต่างวัยสองคนที่กำลังนั่งตรงข้ามกันอยู่
ดวงจันทร์ลอยล่อย ดวงดาส่องประกายอยู่บนฟากฟ้า เมฆหมอกปกคลุมเหนืออาคารบ้านเรือน อากาศหนาวเย็น ดูคล้ายกับเป็นดินแดนอมตะ
ชายชราถือหมากดำ ส่วนชายฉกรรจ์อีกคนถือหมากขาว สีหน้าขอทั้งคู่ล้วนผ่อนคลาย ต่างก็ค่อยๆวางหมากในมืออย่างช้าๆ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความพึงพอใจในขณะนี้
“ช่าวนี้ได้รับการยืนยันมาแล้วสินะ?” ผู้เฒ่าคนนั้นววางหมากในมือลงบนกระดานแล้วเอ่ยถามอย่างเอื่อยเฉื่อย
ชายอีกคนที่นั่งอยู่ดูใบหน้าคล้ายกันกับชายแก่ ดวงตายาวเรียวและร่างกายผอมบาง กลิ่นอายแปลกประหลาดบางอย่างลอยวนอยู่รอบตัวและดวงตาเย็บเยียบม่านตาหดแคบดูราวกับงูพิษที่เพียงเหลือบมองก็ทำให้คนต้องลั่นกลัว
การเดินหมากของทั้งคู่ช่างเหมือนกันจนแยกไม่ออก ล้วนแล้วแต่รอคอยเวลาเพื่อจะได้เผด็จศึกฝ่ายตรงข้ามในคราเดียวอย่างใจเย็น
“ท่านบรรพชน เรื่องที่ว่าตาแก่หลินผู้นั้นเลื่อนขั้นสู่ดินแดนปราณถัดไปแล้วนั้น แท้จริงคือข่าวปลอมขอรับ” ชายผู้อ่อนวัยกว่ากล่าวตอบด้วยความเคารพนับถือ เขาคนนี้คือนำคนปัจจุบันของตระกูลหวัง
เมื่อได้รับบการยืนยันเช่นนี้ รอยยิ้มซึ่งเต็มได้ด้วยความยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตาเฒ่าสกุลหวัง
“ยอดเยี่ยม! พวกสวะหลินคงคาดหวังว่าจะได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หึ พวกเจ้าก็ทำได้เพียแค่ฝันไปเท่านั้น!”
“แต่ถึงกระนั้น เฒ่าหลินก็บอกแก่เหล่าแขกที่ไปเยี่ยมเยียนว่าอีกไม่เกินสามปีก็จะสามารถก้าวไปถึงขั้นนั้นได้” ผู้นำสกุลหวังกลายเสริมขึ้น
“สามปี? หึ ไร้สาระ!” บรรพบบุรุษตระกูลหวังแค่นเสียงออกมาอย่างดูหมิ่น พลางหยิบตัวหมากขึ้นมาด้วยสองนิ้วความเย็นชาปรากฏในแววตาปนไปด้วยความรู้สึกไม่เชื่อถือและดูแคลน
“ตอนแรกที่ข่าวนี้เริ่มแพร่กระจายออกมา ข้าควรจะเอะใจได้แท้ๆ เพิ่งผ่านมาเพียงร้อยปีจากการเลื่อนขั้นครั้งก่อนเท่านั้น แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องอาศัยระยะเวลาอีกหลายร้อยปีเพื่อก้าวไปยังแดนปราณถัดไป”
“สามปีรึ หึ เจ้าลูกเต่าแซ่หลินจะทำให้ข้าหัวเราะจนตาย!”
“ไม่มีทางที่ตาแก่สกุลหลินผู้นั้นจะกระทำสิ่งใดได้ในระยะยาวสามปีนี้อย่างแน่นอน!”
คำพูดของชายชราราวกับเป็นประกาศิต พริบตาต่อมาไอปราณรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไป หมากดำในมือร่อนลงบนตำแหน่งหนึ่งในกระดานรร้อยเรียงกันเป็นรูปแบบบางอย่างและยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ไปแล้วก่อนที่หมากขาวจะทันได้กระทำสิ่งใด
“ท่านบรรรพบุรุษช่างเก่งกาจยิ่ง” ชายผู้ถือหมากขาวเพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ
บรรพชนหวังเพียงปรายตามองก่อนโบกมือน้อยๆ ส่งผลให้หมากขาวที่เหลือกลายเป็นเถ้าถ่านกระจัดกระจายไปทั่ว
“เก็บคำพูดอันไร้ประโยชน์ของเจ้ากลับไป”
“มีข่าวอื่นใดของพวกแซ่หลินอีกหรือไม่?”
สิ้นคำถาม ใบหน้าของชายฉกรรจ์ก็เปเลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดในทันที
“บรรพบุรุษท่าน แม้การเลื่อนขั้นของตาเฒ่าแซ่หลินจะไม่ใช่เรื่องจริง หากแต่ปรากฏการณ์ลึกลับกลับมิใช่เรื่องหลอกลวง ยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลหลินปรากฏตัวขึ้นแล้ว”
ยอดอัจฉริยะ? สายตาของตาแก่หวังกลับเข้มข้นขึ้น “อย่าบอกข้านะว่าการเกิดขึ้นของปราณม่วงและเสียงแห่งเต๋านั้น เป็นผลมาจากอัจฉริยะรุ่นเยาว์ตระกูลหลิน?”
เพียงได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชายฉกรรจ์เตรียมใจก่อนกล่าวตอบไป “เป็นเช่นนั้นขอรับ เหตุการณ์มหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นเพราะรุ่นเยาว์ของสกุลหลินจริง…”
เขาสูดหายใจเข้าลึกในปอดก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ต่ำลง “แต่ถึงกระนั้น เจ้าปิศาจน้อยตนนั้นก็ยังไม่นับเป็นสิ่งใดได้ เมื่อเทียบกับอัจฉริยะทั้งหลายของตระกูลเรา!”
“บุตรชายของข้า เถิงเฟย เป็นถึงว่าที่จักรพรรดิ!”
“เพียงแรกเกิด กลับมีกระเรียนอมตะนับหมื่นตัวที่บินมาจากราชวงศ์ปรากฏตัวขึ้น เขาคือร่างจุติของเทพบรรพกาล!!”
“เทียบกันแล้ว บุตรชายข้ายอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ พวกสวะแซ่หลินจะนับเป็นตัวอันใดได้!”
มีเพียงเสียงลมพัดผ่านและความเงียบอันยาวนานเท่านั้นที่เป็นคำตอบให้แก่ผู้นำสกุลหวัง…
“อัจฉริยะของเรา เถิงเฟยของข้า เมื่อโตขึ้น อนาคตย่อมเป็นจักรพรรดิไร้ผู้ต้าน ใครจะเทียบเคียงเขาได้นั้นไม่มีทาง!”
หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดบรรพชนแซ่หวังก็ตอบกลับมาด้วยเสียงราบเรียบ “หากแต่ความจริงที่ว่าตระกูลมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์เกิดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้ก่อนหน้านี้?”
ผู้นำหวังตกใจกลัวยิ่งนักหลังได้ยินคำกล่าวของบรรพบุรุษ เขาเร่งรีบรีดลมปราณขึ้นมาป้องกันตัวเอง แต่เพียงวินาทีต่อมา ร่างกายกลับหนักอึ้งคล้ายถูกกดทับด้วยหินหนักเท่าภูเขา ทำได้เพียงล้มลงไปนอนราบกับพื้นห้องเพียงเท่านั้น
แคร่ก!
เสียงกระดูกทั่วทั้งร่างดังลั่นพร้อมกระอักเลือดออกมาคำโต!
ช่วงพริบตาก่อนเขาจะล้มลงไป ตัวหมากเก้าชิ้นโดนบีบอัดด้วยปราณจนเรียวเล็กคล้ายกับเข็มพร้อมพุ่งแทงเข้าไปยังอวัยวะภายในและปอด ตรึงร่างของเขาเอาไว้บนพื้นของอาคาร!
“แค่ก!”
“บรรพบุรุษท่าน…”
ทั่วร่างรวดร้าวอ่อนแรง หากแต่ตัวเขากลับมิกล้าจะเอ่ยแม่เพียงครึ่งคำ ครู่ใหญ่ผ่านไป ตาแก่หวังจึงได้ดึงเอาเข็มออกจากกายเขาในที่สุด
“ขะ ขอบพระคุณที่ไว้ชีวิตข้าขอรับท่านบรรพชน” กล่าวออกมาพร้อมเสียงไอโขลกและคุกเข่าอยู่บนพื้น
“ลุกขึ้น หมากกระดานยังมิสิ้นสุด” ชายชราเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉยชา
“ขอรับ” ทำได้เพียงอดทนกับความเจ็บปวดและลุกกลับไปยังที่นั่งของตนอีกครั้ง
“มีสิ่งใดจะรายงานข้าอีกหรือไม่” ตาแก่หวังกล่าวถามกับชายบาดเจ็บผู้นั้น หากไม่มีข่าวใดจะบอกแก่เขา เจ้าสวะน้อยนี่ไม่มีค่าพอให้เขาชายตาแล
“มีอีกอย่างขอรับ เกี่ยวกับภรรยาของหลินเฮ่า บุตรสาวสกุลซวนที่ตั้งครรภ์อยู่นานถึงร้อยปีคนนั้น ดูเหมือนว่านางจะคลอดบุตรออกมาในที่สุด” คนบาดเจ็บได้เพียงหายใจลึกยาว อดทนต่อบาดแผล และกล่าวรายงานแก่บรรพบุรุษของตน
“ภรรยาของหลินเฮ่า?”
“บรรพบุรุษขอรับ เนื่องจากพวกเราต้องการหยุดยั้งหลินเฮ่ามิให้แข็งแกร่งมากเกินไปกว่านี้ จึงใช้คำสาปร้ายแรงกับภรรยาของมัน”
“คำสาปนี้บุตรชายข้าพบเจอโดยบังเอิญ มันสลักอยู่บนกระบี่สำริดผุพังเล่มหนึ่ง เพียงใช้ชิ้นส่วนเล็กๆที่ขึ้นสนิทของกระบี่เล่มนี้ คำสาปที่กัดกร่อนทุกสิ่งจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้ได้รับคำสาปเจ็บปวดทุกข์ทรมานและต้องอุ้มท้องถึงหนึ่งร้อยปี”
“แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ทารกผู้นั้นได้ออกมาลืมตาดูโลก”
“แต่ก็หาได้สำคัญไม่ เพียงกำเนิดบุตรออกมาแล้ว คำสาปจะยิ่งทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ ไร้หนทางแก้ไข สุดท้ายต้องตายอย่างไร้ทางเลือก คาดว่าบัดนี้นางคงสิ้นชีวิตไปแล้ว”
“ทั้งหลินเฮ่าและบุตรสาวสกุลซวนล้วนนับว่าเป็นบุคคลสำคัญของตระกูลหลิน เพียงคนใดคนหนึ่งเกิดสิ้นชีพขึ้นมาก็มากพอจะทำให้ทั้งตระกูลระส่ำระสายอย่างแน่นอน หลังจากนั้น นักฆ่าที่เราส่งไปจะสามารถตรงเข้าไปเพื่อค้นหาอัจฉริยะน้อยแซ่หลินผู้นั้น…”
“แล้วเราก็จะสามารถสังหารมันลงได้!”
ตาแก่หวังจ้องมองไปยังชายคนนั้นแล้วแค่นเสียงออกมาประโยคหนึ่ง “เหอะ อย่างน้อย เจ้าก็มิได้ไร้ประโยชน์นัก”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นทำได้เพียงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา
กลางคืนนั้น ชายชรายกศีรษะขึ้นมองไปยังด้านนอกไกลออกไป เสี้ยวพระจันทร์บนฟ้าเปล่งแสงอันเยือกเย็นออกมา สะท้อนกลับดวงตาที่เต็มไปด้วยความดำมือนั้น ม่านตาคล้ายงูแลดูเย็นชาแฝงไว้ด้วยพิษสงชั่วร้าย
“อัจฉริยะที่ทำให้เกิดปราณม่วงจากทิศตะวันออกกว่าแสนลี้…”
“เจ้าจงนำนักฆ่าไปที่นั่นด้วยตัวเอง”
“ระหว่างเจ้ากับเด็กนั่น มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด”
ผู้นำสกุลหวังสูดหายใจลึกและพยักหน้า
“ขอรับท่านบรรพบุรุษ!”