MDB ตอนที่ 23 หลินจินคิดว่าตัวเองเป็นใคร?
ในที่สุดความอุตสาหะในการผลิตและการกลั่นของเม็ดยาและความยุ่งยากในการได้รับผลึกวิญญาณอัคคีก็ได้รับรางวัลในที่สุด มันไม่ใช่แค่รางวัลทั่ว ๆ ไปแต่เป็นรางวัลที่ดีที่สุด หลินจินสามารถตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันใหม่ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
สัตว์วิเศษระดับสองสามารถใช้คุณสมบัติของตนเองได้ ในขณะที่สัตว์ระดับสามสามารถปรับเปลี่ยนขนาดของพวกมันได้
นี่เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่
ส่วนระดับสี่มีข่าวลือว่า พวกมันสามารถพลังลึกลับอยู่ภายในได้ อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้หลินจินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เสี่ยวฮั่วเพิ่มระดับสองครั้งติดต่อกัน ช่างเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง
วิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ มันน่าทึ่งมาก
หลังจากดื่มด่ำกับรสชาติของผลไม้ต้องห้าม หลินจินคิดว่าการเลื่อนระดับในอนาคตของเขา เขาจะใช้การวิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบเพราะอัตราศักยภาพของเสี่ยวฮั่วเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสามจากเหตุการณ์นี้
ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน
การเพิ่มอัตราศักยภาพของสัตว์วิเศษเป็นกระบวนการที่ยากลำบากซึ่งเทียบเท่ากับการสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ทั้งหมด มีผู้ประเมินไม่กี่คนที่ทำสิ่งนี้ได้
หลินจินค่อนข้างแน่ใจว่าไม่มีใครในเมืองเมเปิ้ลทำได้ในตอนนี้
การวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงของเขา ทำให้หลินจินมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นในทันที ด้วยระดับสามนี้ เขาสามารถเดินกร่างได้ทั่วเมืองเมเปิ้ลราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของสถานที่ก็ยังได้
เสี่ยวฮั่วดูดุร้ายมากขึ้นแม้จะอยู่ในขนาดเดิม ขนที่อ่อนนุ่มของมันเคลือบด้วยชั้นของพลังงานจิตวิญญาณแห่งไฟ มันจึงไปไม่ได้ที่จะบอกได้ว่ามันอยู่ระดับสาม หากไม่ตรวจสอบให้ดี ๆ
สมาคมประเมินสัตว์วิเศษแห่งเมืองเมเปิ้ล
จ้าวหยิงและหลู่เสี่ยวหยุนมาที่ห้องประเมินของหลินจินแต่เช้าเพื่อทำความสะอาด เช็ดโต๊ะและชงชา ในฐานะลูกศิษย์ที่กำลังเรียนรู้ภายใต้อาจารย์ของพวกเขา นี่เป็นหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเธอที่จะต้องทำให้กับอาจารย์
“ทำไมผู้ประเมินหลินยังไม่มาอีก” หลู่เสี่ยวหยุนถาม
“เขาน่าจะมาที่นี่ในไม่ช้า” จ้าวหยิงให้ความมั่นใจกับเธอ
เมื่อตรวจสอบห้องอันเงียบสงบและทรุดโทรมนี้ หลู่เสี่ยวหยุนรู้สึกหงุดหงิดกับความอยุติธรรมนี้
“ผู้ประเมินหลินมีทักษะพิเศษและความรู้ที่ลึกซึ้งเช่นนี้ แต่สมาคมกลับปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ให้เกียรติ ถ้าเป็นข้า ข้าคงทนไม่ได้หรอก”
จ้าวหยิงยิ้มและพูดด้วยความมั่นใจ “เพชรแท้อยู่ที่ไหนก็จะฉายแสงออกมา ครั้งหนึ่งเราเคยไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถของผู้ประเมินหลินเหมือนกัน แต่ตอนนี้พวกเรารู้แล้ว เราไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ แม้ว่าผู้ประเมินราคาหลินจะไม่สนใจ แต่เราปล่อยให้เขาถูกรังแกไม่ได้ เราต้องยืนหยัดเพื่ออาจารย์ของเรา”
"เจ้าพูดถูกแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเราพยายามอธิบายให้คนเหล่านั้นฟัง ไม่เพียงแต่พวกเขาปฏิเสธที่จะเชื่อเรา พวกเขายังบอกด้วยว่าเราถูกหลอกและไม่ยอมฟังเราอีกเลย” หน้าอกของหลู่เสี่ยวหยุนยกขึ้นอย่างหนักขณะที่เธอหายใจออกด้วยความโกรธเคืองผ่านรูจมูกของเธอ
“มันจะใช้ต้องเวลามากกว่าหนึ่งวันในการเปลี่ยนแปลงความประทับใจของผู้อื่น สิ่งสำคัญในตอนนี้คือเราต้องมีศรัทธาในตัวผู้ประเมินหลิน”
ทันใดนั้น จ้าวหยิงสังเกตเห็นเงาของหลินจินและเธอก็รีบไปต้อนรับ
“ผู้ประเมินหลิน!” สองสาวเข้ามาทักทายพร้อมกัน หลินจินเพียงพยักหน้า เขาวางท่าเป็นอาจารย์ผู้ทรงภูมิ เขามีเด็กฝึกงานที่สังกัดแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องประพฤติตามนั้น
เสี่ยวฮั่ววิ่งเหยาะ ๆ ไปข้างหลังเขา ตัวนิ่มของจ้าวหยิงและจิ้งจอกแดงของหลู่เสี่ยวหยุนสัมผัสได้ถึงศัตรูที่น่าเกรงขาม ขนของจิ้งจอกแดงลุกชูชัน
หลินจินลูบหน้าผากของเสี่ยวฮั่วและให้มันระงับกลิ่นอายของมัน
เมื่อเสี่ยวฮั่วมาถึง ทั้งจ้าวหยิงกับหลู่เสี่ยวหยุนต่างมองมันด้วยความฉงนสนเท่ห์ ดูเหมือนว่าเจ้าหมาป่าจะเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นสัญญาณของความก้าวหน้า
“สมกับเป็นผู้ประเมินหลิน ในที่สุดท่านก็ทำสำเร็จ!” สองสาวกล่าวยกย่องหลินจิน
จากสิ่งที่พวกเธอรู้ หลินจินได้พัฒนาสัตว์เลี้ยงสามตัวในเวลาเพียงสองวัน ถ้าเพียงแต่พวกเขารู้ว่าเสี่ยวฮั่วพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับสาม พวกเธอคงจะตกใจและล้มไปกองบนพื้นอย่างแน่นอน
หลินจินชื่นชมห้องที่สะอาด โต๊ะเรียบร้อยและชาที่เตรียมไว้ เขาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องด้วยความยินดีในใจ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนรอและเวลาผ่านไปแต่ห้องของพวกเขาก็ยังคงว่างเปล่า
หลินจินรู้สึกเขินเล็กน้อย มันเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาแต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาปรึกษาเขาจะสอนสองสาวได้อย่างไร?
หลังจากครุ่นคิด หลินจินก็สะบัดพู่กันเขียนพู่กันและทำสำเนารายละเอียดของตัวนิ่มและจิ้งจอกแดงที่ได้รับจากพิพิธภัณฑ์อย่างรวดเร็ว เขาเขียนอย่างน้อย 10 หน้าสำหรับสัตว์วิเศษแต่ละตัว
ในตอนแรก จ้าวหยิงกับหลู่เสี่ยวหยุนไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของการกระทำของเขา พวกเธอเหลือบมอง เมื่อพวกเธอเห็นเนื้อหา ความสนใจของพวกเธอก็ถูกกระตุ้นและหมกมุ่นอยู่กับการเขียนนี้
ผ่านไปสักพัก หลินจินก็เขียนเสร็จสมบูรณ์
หลินจินลดแปรงลงและพูดว่า “เนื่องจากพวกเธอเป็นลูกศิษย์ที่อยู่ภายใต้ข้า ข้าต้องถ่ายทอดความรู้ของข้าโดยไม่หวงแหน นี่คือรายงานการประเมินสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้า ลองดูพวกมันก่อนและพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ของกันและกัน”
สองสาวรับรายงานอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันเป็นอัญมณีล้ำค่า
แม้ว่าพวกเธอจะกวาดตามองไปก่อนหน้านี้ แต่ตอนนั้นมันยังไม่มากเท่าในตอนที่หลินจินเขียนเสร็จ รายงานนี้ไม่เพียงแต่มีสายเลือดต้นกำเนิดของสัตว์วิเศษเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นกิ่งก้านสายเลือดของบรรพบุรุษอีกด้วย กระดาษบาง ๆ เหล่านั้นจรดลงมาด้วยรายละเอียดอันยิ่งใหญ่ของสัตว์วิเศษที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้
ส่วนที่น่ากลัวที่สุดคือ รายงานดังกล่าวระบุข้อบกพร่องและจุดอ่อนของสัตว์วิเศษ รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ส่วนที่น่าสนใจที่สุดก็คือวิธีการวิวัฒนาการ
จ้าวหยิงกับหลู่เสี่ยวหยุนกำลังแลกเปลี่ยนสายตาไปมา พวกเธอสามารถเห็นความตกใจที่โดดเด่นบนใบหน้าของกันและกันแต่นอกเหนือจากความตกใจ มันยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
การเลือกเรียนรู้ภายใต้หลินจินเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ในการศึกษาการประเมินสัตว์วิเศษ คำแนะนำในการพัฒนาสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดและยากที่สุดเช่นกัน ไม่ใช่ผู้ประเมินทางการทุกคนที่ทำการสอนเรื่องนี้ แม้ว่าพวกเขาจะทำ พวกเขาจะซ่อนความรู้ของตนไว้ โดยจะบอกเพียงแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ไม่เคยพูดถึงกระบวนการ และพวกเขาก็จะไม่สอนลูกศิษย์ของพวกเขาอย่างง่ายดายเช่นกัน
แต่ในรายงานการประเมินของหลินจิน พวกมันไม่เพียงแต่มีการเขียนวิธีวิวัฒนาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการได้มาซึ่งวิธีการ ตรวจสอบวิธีการของสายเลือดของสัตว์วิเศษ การสังเกต การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับร่างกายของสิ่งมีชีวิตและการทดสอบคุณสมบัติ แต่ละอย่างมีความรู้เสริมซึ่งกันและกันเพื่อให้ผลลัพธ์มีความสมเหตุสมผล
หลินจินแบ่งบันความรู้แก่พวกเธอโดยไม่ปิดบัง
สองสาวเริ่มกระวนกระวายใจ ขณะที่พวกเขารู้สึกขอบคุณอย่างท่วมท้น
หลินจินกวาดตามองพวกเธอและส่ายหัว เขาคิดกับตัวเองว่าเนื้อหาที่เขาคัดลอกนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น มันเป็นเพียงร้อยละยี่สิบเท่านั้นแต่ก็ทำให้สองสาวอยู่ไม่สุขแล้ว ถ้าเขาคัดลอกทั้งหมด วิญญาณของพวกเธออาจจะกระโดดออกไปและไม่กลับมาอีก
หลินจินเริ่มทำความเข้าใจอย่างเงียบ ๆ ถึงขอบเขตของการแบ่งบันข้อมูลในพิพิธภัณฑ์ ถ้าเขาคัดลอกทุกอย่างในคราวเดียว พวกเธอจะไม่สามารถซึมซับได้ทั้งหมด ท้ายที่สุด เนื้อหาทั้งหมดของพิพิธภัณฑ์มันลึกซึ้งและลึกลับเกินไป
หลินจินจิบชาของเขาและผ่อนคลายกล้ามเนื้อของเขา เขาจ้องมองไปที่ประตูที่สงบนิ่งของเขา เขาส่ายหัวเบา ๆ เขาไม่อาจยอมรับสิ่งนี้ได้ ในฐานะผู้ประเมินทางการกลับไม่มีใครมาขอคำปรึกษา ไม่เพียงแต่น่าอับอายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการประเมินรายเดือนของเขาด้วย
'เนื่องจากไม่มีใครมา ฉันแค่ต้องไปหาพวกเขา!' หลินจินได้ตัดสินใจ เขาไม่สามารถรอให้ปัญหาแก้ไขเองได้
เนื่องจากจ้าวหยิงและหลู่เสี่ยวหยุนจดจ่ออยู่กับรายงานของพวกเธอ หลินจินจึงปล่อยให้พวกเธอศึกษามันต่อไป เขาลุกยืนขึ้นและออกไปโดยพาเสี่ยวฮั่วไปกับเขา
เมื่อเทียบกับความสงบในห้องประเมินของหลินจิน ความวุ่นวายของผู้คนที่เนืองแน่น คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาเรียกร้องการประเมินและการรักษาพยาบาล และเช่นเคย ป้ายทะเบียนของหัวหน้าหวังจีกับผู้ประเมินเกาเจียงขายหมดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ในฐานะผู้ประเมินทางการระดับหนึ่ง สถานะของเกาเจียงนั้นต่ำกว่าหัวหน้าหวังจีเพียงเล็กน้อย ดังนั้นห้องประเมินของเกาเจียงจึงกว้างใหญ่และสว่างไสว พร้อมด้วยเครื่องตกแต่งบอนไซ น่าแปลกที่มันหรูหราเกินกว่าที่จะเปรียบเทียบกับห้องประเมินของหลินจิน
“แม้ว่าสัตว์วิเศษตัวนี้จะเข้ากันได้กับคุณสมบัติของเจ้าแต่ก็มีศักยภาพโดยทั่วไป ข้าสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพของมันได้ แต่มีขีดจำกัดในการเติบโตของมัน เมื่อพิจารณาถึงอนาคตของเจ้าแล้ว ข้าแนะนำให้เจ้าซื้อสัตว์วิเศษตัวอื่นแทน”
ขณะที่เกาเจียงกำลังสรุปรายงานการประเมิน คนที่อยู่รอบตัวเขาดูสงสัยกับรายงาน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เต็มใจที่จะละทิ้งสัตว์เลี้ยงตัวนี้
เกาเจียงเห็นสิ่งนี้และการแสดงออกของเขากลายเป็นความขุ่นเคืองซึ่งทำให้ลูกศิย์ของเขาพูดอย่างไม่อดทน
“ผู้ประเมินเกาได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว เจ้าไม่เข้าใจหรือไง? ศักยภาพของสัตว์วิเศษของเจ้านั้นอยู่ในระดับปานกลาง กล่าวคือ ไม่มีความหวังที่มันจะพัฒนา หากเจ้าต้องการทำพันธสัญญาโลหิตกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ประโยชน์ ก็ไม่มีใครหยุดเจ้าได้!”
ลูกค้ามีความทุกข์มากขึ้น เขาจ้องไปที่นกทูแคนในอ้อมแขนของเขา เขาต้องตัดสินใจว่า เขาจะทำอย่างไรหลังจากนี้
“ถ้าจะคิดทบทวนก็กลับไปทำที่บ้านของเจ้า มันจะทำให้คนอื่นเสียเวลา หากเจ้าตัดสินใจได้แล้ว เจ้าสามารถซื้อสัตว์วิเศษตัวอื่นได้ที่สมาคมของเรา ข้าไม่ได้พูดเกินจริงแต่สัตว์วิเศษของเราทั้งหมดที่นี่มีสายเลือดที่เหมาะสมและเป็นสายพันธุ์หายากที่มีศักยภาพสูง”
จากนั้น ผู้ประเมินฝึกหัดก็เริ่มไล่ลูกค้ารายนี้ออกไป
ลูกค้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้า เขากล่าวขอบคุณแล้วเดินจากไป
เขาเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่เขาจะถูกใครบางคนขวางไว้
“ขอโทษด้วย ข้าอดไม่ได้ที่จะสังเกตว่าเจ้าดูอารมณ์เสีย เป็นเพราะสัตว์วิเศษที่อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าหรือเปล่า?”
ลูกค้าที่อารมณ์เสีย เมื่อเขาหันกลับมาพบว่าคนที่เขาเผชิญอยู่นั้นมีลวดลายวงแหวนเดียวที่แขนเสื้อ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ประเมินทางการ เขากลืนคำพูดแห่งความขุ่นเคืองกลับลงไป
ผู้ประเมินทางการคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินจิน เขาบังเอิญเดินผ่านไปเจอคน ๆ นี้ เขาจึงรีบถามโดยทันที ใครจะรู้ว่าเขาอาจจะได้ลูกค้าจากการทำอย่างนี้ก็ได้
เขาถอนหายใจ “นกทูแคนนี้อยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว เราเป็นเหมือนครอบครัว ดังนั้นข้าจะละทิ้งมันเพียงเพราะไม่มีความหวังที่จะพัฒนาได้อย่างไร” ลูกค้าอธิบายสั้น ๆ ก่อนคร่ำครวญ
หลินจินเอื้อมมือไปสัมผัสนกทูแคนแล้วกล่าวว่า “เป็นความจริงที่มันขาดศักยภาพ แต่การบอกว่ามันไม่สามารถพัฒนาได้นั้นเป็นเรื่องผิดพลาด มา มา มากับข้า ให้ข้าดูมันชัด ๆ ก่อน ข้าสามารถรับประกันได้ว่าข้าจะสามารถพัฒนามันได้ภายใน 3 วัน”
ลูกค้าดีใจมากและตามหลินจินไป
ในระหว่างนั้น จางเฮอที่บังเอิญเดินผ่านมาได้เห็นเหตุการณ์นี้ซึ่งจุดประกายความคิดขึ้นมาในใจของเขา เขาเข้าไปในห้องประเมินของเกาเจียงและอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในขณะที่ตกแต่งเรื่องราวเพิ่มเติมให้สิ่งที่เขาเล่าไป
ผู้ประเมินเกาเผิงทำหน้าบึ้ง การกระทำของหลินจินเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเขาอย่างชัดเจน
*ตูม!*
พลังฝ่ามือของเกาเจียงทำให้เกิดรอยร้าวบนโต๊ะหินด้านล่าง
“หลินจินคิดว่าเขาเป็นใครถึงกล้าตั้งคำถามกับผลการประเมินของข้า!!!”