WS บทที่ 387 การต่อสู้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ PART 2
เมอร์ลินและไคลส์ไม่เคยโคจรมาพบกัน ในตอนที่อยู่ในดินแดนมนต์ดำ เขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นนาน เขามีเหตุให้ไป ๆ มา ๆ อยู่ตลอด เขาจึงไม่ค่อยรู้สึกผูกพันมากขนาดนั้น ดังนั้น แม้ว่าไคลส์จะทรยศต่อดินแดนมนต์ดำแต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเมอร์ลินเลย
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง บลูเบิร์ด!
บลูเบิร์ดพบเมอร์ลินและตั้งใจจะฆ่าเมอร์ลิน ตั้งแต่นั้นมา เมอร์ลินก็รู้ตัวมาตลอดว่าการต่อสู้ระหว่างเขากับไคลส์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!
ต่อมาเมื่อมีการเปิดเผยตัวตนของเมอร์ลินในฐานะนักเวทย์หกธาตุและเมื่อชื่อเสียงของเขาเติบโตขึ้น เกือบทุกคนเปรียบเทียบเขากับไคลส์ซึ่งส่งผลกระทบทางอ้อมกับเมอร์ลิน
แม้แต่คนอย่างพ่อมดลีโอก็ยังแอบเปรียบเทียบเมอร์ลินกับไคลส์ นี่คือโชคชะตาที่ทำให้ทั้งสองคนถูกลิขิตมาเผชิญหน้ากัน
ไคลส์ค่อย ๆ เดินไปหาเมอร์ลินทีละก้าว นักเวทย์บางคนชำเลืองมองกันและกัน แล้วพุ่งเข้าหาไคลส์
อย่างไรก็ตาม ไคลส์เอื้อมมือออกไปและชี้ไปที่นักเวทย์แล้วพลังของธาตุมิติที่มองไม่เห็น
*ตูม ตูม ตูม*
นักเวทย์ทุกคนที่เข้าใกล้ไคลส์ถูกฆ่าตายทันที มันคือพลังธาตุมิติที่มองไม่เห็นซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะป้องกัน แม้แต่นักเวทย์ระดับหกทั่วไปก็ไม่สามารถต้านทานมันได้และจะถูกฆ่าตายด้วยพลังของมัน!
“จงฟาดฟัน!”
ไคลส์ยกมือขึ้นอีกครั้งและตบฝ่ามือลงอย่างแรง ทันใดนั้น ใบมีดนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในห้องโถงและไม่นานนักเวทย์หลายคนก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
คาถาป้องกันหรืออุปกรณ์ป้องกันถูกเฉือนโดยพลังธาตุมิติโดยตรง แม้แต่ตัวนักเวทย์เองก็ถูกตัดออกเป็นชิ้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มีพลังแบบเด็กอัศจรรย์ ใบมีดมิติของไคลส์ทรงมาก แม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีจำนวนมากกว่าแต่ก็ไม่มีความหมายต่อไคลส์เพราะไม่มีใครที่นี่สามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้
*ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ*
ทุกที่ที่ไคลส์เดินผ่านมาก็เหมือนนรกบนดิน ร่างของนักเวทย์รอบตัวเขาถูกตัดออกเป็นชิ้น ๆ เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่ว มันเป็นฉากที่โหดร้ายทารุณ
ดวงตาของเมอร์ลินเหลือบมอง เกราะขนาดใหญ่ปรากฏบนร่างกายของเขาแล้ว เกราะสัมบูรณ์ได้ปกคลุมร่างกายของเขาเพื่อรับมือกับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมอร์ลินสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่รุนแรงจากไคลส์
*บูม!*
ทันใดนั้นเอง หมู่หมอกสีเขียวก็ปกคลุมห้องโถง หมอกมีกลิ่นฉุนซึ่งดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นจากผงแป้งที่ไม่ต่อเนื่องที่ลอยอยู่ในอากาศ
ยิ่งกว่านั้นยังมีลมที่พัดมาแผ่วเบาควบคุมหมอกสีเขียว มันลอยไปทางดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์และนักเวทย์ร่างผอมสูงแต่หมอกส่วนใหญ่ลอยไปที่ไคลส์
เมื่อดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์สัมผัสกับหมอก ผิวหนังบนร่างกายของเขาก็เริ่มสึกเจ็บปวดทันที มันมาพร้อมกับร่องรอยของความเจ็บปวดรวดร้าว เห็นได้ชัดว่ามันเป็นหมอกพิษ
“แย่แล้ว มันเป็นหมอกพิษอยู่ให้ห่างจากมันไว้!!”
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮิวลีเออร์ทั้งหมดเป็นเพราะความประมาทของเขา ปกติแล้วเขาใช้ดาบเพื่อร่ายคาถาและแกว่งดาบฟาดฟันเช่นนักดาบธาตุ ดังนั้นแม้จะอยู่ในการต่อสู้เขาก็ไม่ค่อยใช้เวทมนตร์ป้องกัน
แต่วันนี้เนื่องจากการความประมาทของเขา เขาจึงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเขียวและแขนของเขาก็เป็นแผลอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เพื่อหยุดมัน
ฮิวลีเออร์กัดฟันของเขา ในขณะนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ เมื่อสารพิษกระจายไปทั่วแขนของเขา เขาไม่ลังเลอีกต่อไป เขายกดาบยาวขึ้นและฟันลงอย่างแรง เฉือนแขนออกจากไหล่ลงมา
หากนักเวทย์ไม่มียาพิเศษ แม้แต่นักเวทย์ระดับเจ็ดหรือสูงกว่าก็ไม่สามารถสร้างแขนขึ้นใหม่ได้เว้นแต่บุคคลนั้นจะเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขามีพื้นฐานที่แตกต่างจากนักเวทย์ทั่วไปที่พวกเขาไม่สามารถถูกมองว่าเป็น ‘มนุษย์’ ได้อีกต่อไป
ตราบใดที่พลังจิตของพวกเขาไม่กระจัดกระจายและโครงสร้างคาถาของเขายังคงอยู่ แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะสลายกลายเป็นฝุ่นผง พวกเขาก็ยังสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นักเวทย์ที่ต่ำกว่าระดับของจอมเวทย์ไม่สามารถดึงพลังนี้ออกมาได้เช่นเดียวกับในกรณีของพ่อมดลีโอ ตอนที่เขาออกล่าออสซีอุส ก่อนหน้านี้ เขาสูญเสียแขนไปหนึ่งข้างและจนถึงตอนนี้ แขนก็ยังไม่ฟื้นตัว
ดังนั้นตอนนี้ที่ฮิวลีเออร์สูญเสียแขนไปแล้ว เขาก็คงจะไม่อาจใช้แขนนี้ได้อีกตลอดไป
“บ้าเอ๊ย นี่มันฝีมือใครกัน”
ฮิวลีเออร์สูญเสียแขนไปตลอดกาลดังนั้นเขาจึงโกรธจัด เขาไม่เคยคิดว่านักเวทย์ที่อ่อนแอเหมือนลูกแกะเหล่านี้จะทำร้ายเขาได้จริง ๆ
เสียงฝีเท้าของไคลส์หยุดชะงัก เขาจำหมอกสีเขียวตรงหน้าเขาได้ในแวบแรก นี่คือหมอกพิษที่เกิดจากผงยา
*หวู่ม*
ไคลส์ร่ายเวทย์ธาตุลมและพ่นหมอกเข้าไปในฝูงชนโดยตรง นักเวทย์บางคนที่ไม่ได้ป้องกันตัวเองถูกหมอกพิษพัดมาในทันที ทันใดนั้นร่างกายของพวกเขาก็เริ่มสึกกร่อน
“ไคลส์ แกยังจำฉันได้ไหม?”
ชายในชุดคลุมสีดำค่อย ๆ ออกมาจากฝูงชน จากนั้นเขาก็พลิกหมวกอย่างดุเดือดและเผยให้เห็นใบหน้าที่แก่ชรา อย่างไรก็ตาม การแสดงออกทางสีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาก็ดูบิดเบี้ยวเช่นกัน
เมื่อเห็นชายชุดดำลึกลับผู้นี้ แววตาของเมอร์ลินก็ปรากฏขึ้นด้วยความประหลาดใจ ชายชุดดำผู้นี้เป็นพ่อมดฮาวล์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในตอนที่เมอร์ลินกลับมาที่ดินแดนมนต์ดำในตอนนั้น
ย้อนกลับไปในตอนนั้น พ่อมดฮาวล์มอบน้ำยาโมคราแก่เมอร์ลินด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว นั่นคือเพื่อให้เมอร์ลินสังหารไคลส์ เมื่อเขามีพลังเพียงพอ!
เมอร์ลินยังได้รู้ถึงปมความแค้นจากพ่อมดลีโอ ลูกสาวของฮาวล์ถูกไคลส์ทรมานจนตาย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่พ่อมดฮาวล์จะเครียดแค้นไคลสฺถึงกระดูกดำ ตอนนี้ด้วยความแข็งแกร่งของนักเวทย์ระดับหนึ่ง พ่อมดฮาวล์ได้ใช้หมอกพิษที่ทำจากผงยาและยังทำร้ายฮิวลีเออร์ ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมแผนการที่ละเอียดไว้เป็นอย่างดี
"แกคือ?"
ไคลส์ขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นก็ส่ายหัวและเหลือบมองไปที่ฮิวลีเออร์ข้างหลังเขา จากนั้นสายตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร แกได้ทำร้ายฮิวลีเออร์ แกต้องตาย!”
จากนั้นไคลส์ก็เอื้อมมือออกไปและใช้พลังธาตุมิติฉีกร่างของฮาวล์จากทุกทิศทางทันที ด้วยความแข็งแกร่งของนักเวทย์ระดับหนึ่ง พ่อมดฮาวล์ก็ไม่มีทางที่เขาจะต้านทานมันได้
“ฮ่าฮ่า ไคลส์ แกจำฉันไม่ได้แต่แกยังจำกียาได้หรือไม่? ฮ่าฮ่า ลูกสาวที่น่าสงสารของฉัน เธอถูกใช้ทดลองการเล่นแร่แปรธาตุและถูกทรมานเธอจนตาย ฉันรอวันนี้มานานเกินไปแล้ว!”
พ่อมดฮาวล์หัวเราะ ท่าทางของเขาเริ่มบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อไคลส์ได้ยินชื่อที่พ่อมดฮาวล์พูดถึง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงความอาฆาตพยาบาทของหญิงสาวงามผู้นี้ซึ่งอยู่ในดินแดนมนต์ดำ เธอถูกเขาทรมานจนตายขณะที่เขากำลังศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุ
“แกต้องการแก้แค้นด้วยหรือ? จงโกลาหล!”
การแสดงออกของไคลส์เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นกลับสู่ความสงบในตอนแรก เขาขยายนิ้วทั้งห้าบนมือของเขาและความแข็งแกร่งของพลังมิติ ร่างของฮาวล์ก็ระเบิดออกทันที
*บูม!*
เสียงหัวเราะของพ่อมดฮาล์ สิ้นสุดลงอย่างกะทันหันเมื่อร่างของเขาระเบิด เลือดกระเซ็นออกมา มีกลิ่นเลือดที่รุนแรง
เมอร์ลินไม่สามารถช่วยอะไรได้ การเคลื่อนไหวของไคลส์นั้นเร็วเกินไป เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบสนอง เขาได้แก่ยืนมองพ่อมดฮาวล์กลายเป็นหมอกเลือดไป
เมื่อมองดูพ่อมดฮาวล์กลายเป็นหมอกสีเลือด หัวใจของเมอร์ลินก็จมดิ่งลงด้วยความเสียใจ
อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากที่พ่อมดฮาวล์ระเบิดเป็นหมอกสีเลือด มันก็กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง แม้จะมีคาถาป้องกันแต่นักเวทย์ที่สัมผัสกับหมอกเลือดก็สึกกร่อนทันทีและร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
เช่นเดียวกับไคลส์ เลือดกระเด็นใส่คาถาป้องกันของเขาและพวกมันก็กัดเซาะอย่างรวดเร็วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของไคลส์ก็ยังนิ่งสงบเช่นเดิม
“อย่างที่คิดนี่ยาเลือดดำ นี่เป็นหนึ่งในยาพิษที่อันตรายที่สุด มันต้องใช้เลือดสดเป็นฐานการผลิตเพื่อกลายเป็นยาพิษที่ร้ายแรงจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้! การดื่มยาเลือดดำและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นยาพิษ ช่างเป็นแผนการที่น่าประทับใจและเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม แต่มันไร้ประโยชน์ ฉันบังเอิญมียาแก้พิษอยู่ในมือซึ่งสามารถแก้พิษของยาเลือดดำได้!”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของไคลส์ หลังจากนั้น เขาหยิบยาสองสามอย่างออกจากแหวนอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นไปในอากาศและโบกมือ โรยผงยาสีเหลืองซีดในอากาศ
ผงยาสีเหลืองซีดพุ่งเข้าหาดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์และนักเวทย์ผอมสูงอย่างรวดเร็วซึ่งทำให้พิษของยาเลือดดำสลายหายไป
เมอร์ลินอยู่ห่างออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบจากยาเลือดดำ ทว่าลึก ๆ เขาก็ประหลาดใจมาก นักเวทย์ระดับหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จัดการกับนักเวทย์ทรงพลังอย่างไคลส์ได้โดยใช้เพียงยาพิษ
เลือดที่กระเซ็นออกมาดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดขวางกั้น แม้ว่าจะมีเวทมนตร์ป้องกันระดับเจ็ดแต่ก็สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ายากเกินไปที่จะปรุงยาดังกล่าวและจำเป็นต้องใช้เลือดสดเป็นส่วนประกอบด้วย พ่อมดฮาวล์ต้องใช้ความคิดและความพยายามอย่างมาก คราวนี้เขาพร้อมที่จะยอมรับความตายของเขา เขาตั้งใจจะลากไคลส์ลงขุมนรกไปพร้อมกัน
แต่น่าเสียดายที่ไคลส์เป็นนักปรุงยาด้วย อนึ่ง เขาเคยปรุงผงยาที่สามารถรักษายาเลือดดำ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ การโจมตีครั้งเดียวที่พ่อมดฮาวล์คิดอย่างอย่างรอบคอบกลับไม่ได้ผล
เมื่อมองดูหยดเลือดที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ความรู้สึกเศร้าที่ไม่สามารถอธิบายได้ก้องอยู่ในหัวใจของเมอร์ลิน พ่อมดฮาวล์จบชีวิตของเขาอย่างน่าเศร้า มันเป็นการกระทำของความสิ้นหวังครั้งสุดท้าย หมายเพื่อจะแก้แค้นเท่านั้น!
“เดี๋ยวก่อน ไคลส์!”
เมอร์ลินส่งเสียงคำรามแผ่วเบาในลำคอ ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีออกจากห้องโถง เมื่อเผชิญหน้ากับไคลส์ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้ นี่เป็นการต่อสู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!
*หวู่ม*
ร่างเงาถูกสร้างจากร่างของเมอร์ลิน นี่คือความเร็วที่เร็วที่สุดซึ่งของสายลมแสงวาบที่เมอร์ลินได้ร่าย ในแง่ของความเร็ว เขาเกือบจะถือว่าเร็วที่สุดในบรรดานักเวทย์หลายคนที่นี่
ในเวลาเดียวกัน เมอร์ลินได้ร่ายวังวนแห่งความมืด เขาไม่เชื่อว่าพลังจิตของไคลส์มาถึงระดับเจ็ดแล้ว ตราบใดที่มันยังไม่ถึงระดับเจ็ด เขาจะไม่สามารถต้านทานภาพลวงตาของมันได้
“จงฟาดฟัน!”
ไคลส์ค่อย ๆ ยกมือขึ้นราวกับว่าเขาไม่เห็นเมอร์ลินในสายตาเลยและโบกมืออย่างเฉยเมย
*ฉัวะ*
เสียงแผ่วเบาได้ดังขึ้น ก่อนที่วังวนแห่งความมืดจะทำงานได้อย่างเต็มที่ มันกลับถูกบดขยี้ด้วยพลังมิติที่มองไม่เห็น
เมอร์ลินประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่วังวนแห่งความมืดถูกทำลาย ในอดีต คนที่ทำลายวังวนแห่งความมืดของเขาได้เพียงแต่ยืนหยัดโดยอาศัยพลังจิตที่แข็งแกร่งเท่านั้น
มีเพียงไคลส์เท่านั้นที่สามารถบดขยี้วังวนแห่งความมืดได้โดยตรง!
“นี่คืออัจฉริยะแห่งดินแดนมนต์ดำที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งเท่าฉันงั้นเหรอ? ช่างอ่อนแอซะเหลือเกิน…”
ไคลส์มองเมอร์ลินอย่างเย้ยหยัน ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกมือขึ้นและชี้ไปทางเมอร์ลินจากระยะไกล