WS บทที่ 386 การต่อสู้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ PART 1
ป้อมปราการทรายดำเป็นองค์กรของนักเวทย์ขนาดใหญ่ที่เชี่ยวชาญในการสร้างอุปกรณ์เวทมนต์ ในยุคที่รุ่งโรจน์ที่สุดของนักเวทย์ อุปกรณ์เวทมนต์บางชิ้นก็ทรงพลังพอที่จะต่อสู้กับจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้!
ป้อมปราการทรายดำมีอุปกรณ์เวทมนต์ที่เรียกว่า วิญญาณผู้พิทักษ์ปราการศักดิ์สิทธิ์!
แม้ว่าวิญญาณผู้พิทักษ์ปราการศักดิ์สิทธิ์จะทรงพลังมากแต่ภายใต้สถานการณ์ปกติ ทางป้อมปราการทรายดำจะไม่เต็มใจที่จะเปิดใช้งานเพราะว่าค่าใช้จ่ายในการใช้แต่ละครั้งนั้นสูงเกินไป ทุกครั้งที่เปิดใช้งานภายในหนึ่งชั่วโมง ทรัพยากรของป้อมปราการทรายดำมูลค่าหลายทศวรรษจะถูกใช้ไปทั้งหมด
ป้อมปราการทรายดำจึงไม่สามารถใช้มันในการขยายอำนาจขององค์กรได้ มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มันไม่เคยเปิดใช้งานมาก่อน จนกระทั่ง จอมเวทย์อัตโต้กับจอมเวทย์ทูเมนเห็นพ้องว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะจอมเวทย์ขาวดำได้ในเวลาอันสั้น พวกเขาจึงเต็มใจที่จะเปิดใช้งานในมันในขณะนี้
“วิญญาณผู้พิทักษ์ปราการศักดิ์สิทธิ์ จงตื่นขึ้นมา!”
จอมเวทย์ทูเมนและจอมเวทย์อัตโต้ได้แสดงรอยประทับอักษรรูนที่ซับซ้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนอากาศและนำพวกมันไปยังพื้นดินใต้ป้อมปราการทรายดำ
*ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม*
ทันใดนั้น พื้นที่ทั้งหมดก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตรงพื้นที่เปิดโล่งในป้อมปราการทรายดำ นักเวทย์หลายคนจากป้อมปราการทรายดำตกใจที่อยู่ ๆ ที่ก็มีพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ขึ้นมา
ในพื้นที่เปิดโล่งนี้ พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเกิดรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้น บนพื้นเต็มไปด้วยรอยปริแตกราวกับว่าพื้นจะแตกได้ทุกเมื่อ
*บูม!*
ในที่สุด พื้นดินก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ เผยให้เห็นพื้นที่ขนาดใหญ่ใต้พื้นดิน ในความมืด สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นแผ่นหลังที่ใหญ่โตและขาที่ยาวของมันซึ่งสูงกว่าหอคอยห้าชั้น
หนึ่ง สอง สาม…มันมีทั้งผมดแปดขา!
‘ขา’ สีดำแวววาวเป็นโลหะทั้งหมดแปดชิ้นรองรับร่างกายขนาดใหญ่ที่แข็งแรงซึ่งดูเหมือนแมงมุมสีดำ นี่คือวิญญาณผู้พิทักษ์ปราการศักดิ์สิทธิ์แห่งป้อมปราการทรายดำซึ่งเป็นอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุระดับสูงสุด มันเป็นของตกทอดจากยุครุ่งโรจน์ที่สุดของนักเวทย์และเป็นหนึ่งในความสำเร็จสูงสุดในการเล่นแร่แปรธาตุ!
นอกจากความแวววาวของตัวมันที่เป็นโลหะซึ่งเปล่งแสงจาง ๆ แล้ว เขาแหลมสองอันยื่นออกมาจากหน้าผากของแมงมุมยักษ์ตัวนี้ด้วย
ตั้งแต่การปรากฏตัวของวิญญาณผู้พิทักษ์ปราการศักดิ์สิทธิ์ ป้อมปราการทรายดำทั้งหมดก็ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน
*หวู่ม*
ทันใดนั้น วิญญาณผู้พิทักษ์ปราการศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเดิมปิดตาไว้ก็ลืมตาขึ้นทันที ตาทั้งสองของมันลึกและกลวงและไม่มีลูกตาเลย อย่างไรก็ตาม ร่องรอยของความเย็นวาบวาบจากนัยน์ตากลวง ๆ ซึ่งทำให้ทั้งจอมเวทย์อัตโต้กับทูเมนตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ถูก
อย่างไรก็ดี การจ้องมองของวิญญาณผู้พิทักษ์ปราการศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มุ่งไปที่อัตโต้ดับทูเมนแต่มุ่งไปที่จอมเวทย์ขาวดำ!
…
นักเวทย์หลายคนรวมตัวกันในห้องโถงในขณะที่ทางเข้าถูกปิดกั้นโดยชายคนหนึ่งที่ถือดาบสีเงินและพ่อมดร่างผอมสูงอีกคนหนึ่ง ทั้งสองมองไปยังนักเวทย์ทั้งหมดในห้องโถงด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
ครั้งนี้ พวกเขามีจุดประสงค์เดียวในการติดตามพ่อมดที่ทรงพลังแห่งออสมูมาที่นี่ซึ่งก็คือการฆ่า!
พวกเขาต้องฆ่าให้ได้มากที่สุด ทางป้อมปราการทรายดำได้รวบรวมองค์กรหรือตระกูลนักเวทย์ส่วนใหญ่ในโลกของนักเวทย์ ทางตอนใต้ในครั้งนี้ หากพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งจริง มันจะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อออสมู
ดังนั้น ออสมูจึงบุกโจมตีป้อมปราการทรายดำ แม้ว่าจำนวนพ่อมดที่ส่งไปนั้นมีไม่มากแต่พวกเขาก็ล้วนเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง พวกเขาแทบไม่มีคู่แข่งในระดับเดียวกัน
มันเป็นเพราะความจริงที่ว่าสมาชิกทุกคนของออสมูถูกล่อลวงจากองค์กรหรือตระกูลนักเวทย์ด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่ละคนสามารถเรียกได้ว่าพระเจ้าโปรดปราน ทว่าตอนนี้พวกเขาทั้งหมดชุมนุมกันที่ออสมู ด้วยมรดกอันลึกลับและกว้างใหญ่อย่างเหลือเชื่อของออสมู อัจฉริยะเหล่านี้จะเติบโตขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้งนี้ แม้ว่าออสมูจะส่งเพียงจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่มาเพียงคนเดียวเท่านั้นแต่จอมเวทย์ขาวดำที่มีชื่อเสียงนั้นมีความสามารถรับมือจอมเวทย์แห่งป้อมปราการทรายดำได้ถึงสองคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมการมาอย่างดีและมีแผนการที่รอบคอบมาก
นอกเหนือจากจอมเวทย์ขาวดำแล้ว ยังมีผู้ร่ายคาถาระดับสูงอีกด้วย ได้แก่ นักเวทย์ระดับเก้า ระดับแปดและระดับเจ็ดซึ่งทั้งหมดได้เข้าสู่ป้อมปราการทรายดำทันทีที่จอมเวทย์ขาวดำทำลายวงแหวนเวทย์ของป้อมปราการทรายดำเรียบร้อยแล้ว
สำหรับนักเวทย์ที่ต่ำกว่าระดับเจ็ด ผู้ที่อ่อนแอที่สุดคือนักเวทย์ระดับสี่ ในบรรดานักเวทย์ระดับสี่ พวกเขามีพ่อมดอย่างไคลส์ซึ่งสามารถเอาชนะเด็กอัศจรรย์ได้
ด้วยกลุ่มนักเวทย์กลุ่มนี้ที่บุกโจมตีป้อมปราการทรายดำ ณ ตอนนี้ มันเป็นหายนะที่ไม่อาจจินตนาการได้
*ครืน ครืน ครืน*
ความผันผวนของพลังธาตุที่รุนแรงได้เล็ดลอดออกมาจากห้องด้านในของป้อมปราการทรายดำ
ห้องชั้นในเป็นที่ที่นักเวทย์ระดับสี่ถึงระดับหกขององค์กรนักเวทย์ต่าง ๆ ที่เข้าร่วมในการประชุมสุดยอด พวกเขาได้จัดการแข่งขันกันที่นั่น นอกจากนี้ นักเวทย์ส่วนใหญ่ในองค์กรมีตั้งแต่ระดับเจ็ดถึงระดับเก้าก็อยู่ในห้องชั้นในด้วย
เฉพาะการแข่งขันของนักเวทย์ในสนามชั้นในเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นความสนใจของนักเวทย์ระดับเจ็ดหรือสูงกว่าได้ โดยเฉพาะนักเวทย์อย่างลีโอซึ่งพ่อมดระดับเจ็ดและระดับแปดบางคนก็กลัวเขามาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ความผันผวนของพลังธาตุที่รุนแรงแผ่ออกมาจากห้องชั้นใน เห็นได้ชัดว่ามีนักเวทย์ที่ทรงพลังต่อสู้กันเอง มันแสดงให้เห็นว่าพ่อมดที่ทรงพลังจากออสมูมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะเข้าสู่สนามด้านในและตอนนี้อยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือด
นักเวทย์ที่ฉลาดบางคนได้สัมผัสถึงวิกฤตครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขารู้ว่าถ้าพวกเขาไม่สามารถออกจากห้องโถงได้ พวกเขาจะตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง
ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มก่อความวุ่นวายในฝูงชน ทุกสายตาจับจ้องไปที่ทางเข้าห้องโถง พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะฝ่าแนวป้องกันของออสมูและรีบออกจากห้องโถง
“เราจะมีโอกาสรอดได้ก็ต่อเมื่อเรารีบออกจากห้องโถง หยุดลังเลทุกคน ถ้าเราไม่ไปตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว!”
“ใช่ ตอนนี้เราทำได้แค่พยายามรีบออกจากห้องโถงและออกจากป้อมทรายดำอย่างรวดเร็ว คราวนี้ พ่อมดจากออสมูเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่และจะไม่ยอมกลับไปมือเปล่า พวกเขาวางแผนที่จะกวาดล้างเหล่าชนชั้นสูงทั้งหมดของโลกของนักเวทย์ทางใต้ของเรา!”
“ผู้ที่สามารถเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนั้นล้วนเป็นอัจฉริยะขององค์กรต่าง ๆ นอกจากนี้ นักเวทย์ที่นำทีมของพวกเขาที่นี่ก็เป็นแกนหลักขององค์กรด้วยเช่นกัน ถ้าพวกมันหายไป ฉันเกรงว่าองค์กรทางใต้ส่วนใหญ่จะประสบกับความสูญเสียอย่างหนักและถูกลิดรอนอำนาจส่วนหนึ่งไป ในอนาคตออสมูจะยิ่งไร้ยางอายมากขึ้นไปอีก ดังนั้น เราต้องออกไปจากที่นี่!”
เมื่อถูกจ้องมองด้วยตานับไม่ถ้วน แม้แต่ดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์และนักเวทย์ร่างผอมสูงก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของพวกเขาชา หากพึ่งพาอาศัยกันเพียงสองคน พวกเขาก็คงไม่สามารถรั้งพวกเขาไว้ได้อย่างแน่นอน
“ฆ่าพวกมัน แล้วออกจากห้องโถง!”
ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนกรีดร้องจากภายในฝูงชน ดังนั้นความโกรธของนักเวทย์จำนวนมากจึงถูกกำจัดออกไปอย่างทั่วถึง นักเวทย์นับไม่ถ้วนเริ่มร่ายคาถาหรือวงแหวนเวทย์พุ่งเข้าหาดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์และนักเวทย์ร่างผอมสูงอย่างเต็มที่ สิ่งเดียวที่มุ่งหมายก็คือการฆ่าพวกเขาถึงจะสามามารถออกจากห้องโถงและออกจากป้อมปราการทรายดำได้!
"จงโกลาหล!"
เสียงดังขึ้นอย่างฉับพลันและไคลส์ซึ่งดูเฉยชามาโดยตลอด เขากางนิ้วทั้งห้าของเขาออกมา พลังธาตุมิติเริ่มหลั่งไหลออกมา
*โพละ โพละ โพละ*
ที่แถวหน้า ร่างของนักเวทย์ระดับสาม สองสามคนที่พุ่งไปข้างหน้าระเบิดเป็นหมอกสีเลือดอย่างรวดเร็ว เลือดสดกระเซ็นไปทั่วพื้น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วห้องโถง
แม้ว่าทุกคนจะได้เห็นความแข็งแกร่งของไคลส์จากการต่อสู้กับเด็กอัศจรรย์ก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาเริ่มโจมตีก่อนแบบนี้ พวกเขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนของธาตุใด ๆ เลยแต่ร่างกายก็ระเบิดเป็นหมอกเลือดในทันที มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะป้องกันมัน
ในเวลาเดียวกัน การโจมตีด้วยเวทย์มนตร์ที่ปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด ไคลส์เงยหน้ามองพียงเล็กน้อยพลิกมือของเขาและหยิบแผ่นวงเวทรูนสีขาวเงินออกจากวงแหวนของเขา
“วงแหวนตาข่ายสีเงิน จงทำงาน!”
ในมือของไคลส์ อักษรรูนลึกลับเต้นรำอย่างดุเดือดและถูกจารึกไว้ในแผ่นวงเวทรูน จากนั้นแสงสีเงินก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า อักษรรูนนับไม่ถ้วนจากวงเวทย์รูนสีเงินก่อตัวเป็นม่านแสงสีเงินอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนตกใจ ม่านแสงปกคลุมทางเข้าห้องโถงทั้งหมด
ในขณะที่ไคลส์, ดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์และนักเวทย์ร่างผอมสูงได้รับการคุ้มครองในม่านแสงรูน
*ตูม ตูม ตูม*
คาถาอันทรงพลังจำนวนมากโจมตีที่ม่านแสงรูน ชั้นม่านแสงรูนนี้คือวงแหวนตาข่ายสีเงินที่ไคลส์ร่ายไว้ มันคือวงเวทย์รูนที่มีพลังป้องกันอันทรงพลัง
ไคลส์เคยศึกษาด้านการยาปรุงยา การเล่นแร่แปรธาตุและอักษรรูน โดยเฉพาะอักษรรูน เขาเชี่ยวชาญมันอย่างมาก ความเข้าใจในด้านอักษรรูนของเขานั้นสูงมาก แม้แต่พ่อมดลีโอที่เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนก็ยังยอมรับไคลส์ในด้านนี้ด้วย
ไคลส์เป็นอัจฉริยะรอบด้านอักษรรูน วงแหวนเวทย์ที่เขาแสดงอยู่ก็ค่อนข้างทรงพลังเช่นกัน คาถาที่ขว้างใส่เขานั้นไม่รุนแรงนักแต่ด้วยคาถามากมายที่พุ่งเข้าหาเขาในคราวเดียว มันน่ากลัวมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม วงแหวนตาข่ายสีเงินของเขาสามารถทนต่อสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวงเวทย์รูนที่ทรงพลังมาก ตัวนักเวทย์ที่ร่ายจำเป็นต้องมีความรู้กว้างขวางเกี่ยวกับอักษรรูนจึงจะสามารถเปิดใช้งานวงแหวนตาข่ายสีเงินได้
การโจมตีระลอกแรกของเหล่านักเวทย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว ดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์และนักเวทย์ร่างผอมสูงก็รีบออกจากวงแหวนตาข่ายสีเงิน พวกเขาเป็นอัจฉริยะของออสมูและไม่ต้องการเพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ในวงแหวนเวทย์
ดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์ชักดาบยาวของเขา พลังธาตุต่าง ๆ มารวมที่ปลายดาบของเขา เป้าหมายเดียวของดาบยาวของเขาสามารถระเบิดพลังอันทรงพลังได้ในทันที
นี่เป็นวิธีพิเศษในการร่ายคาถาสำหรับดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์ เขาใช้ดาบในการร่ายคาถา นอกจากนี้ ก่อนที่ดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์จะกลายเป็นนักเวทย์ เขาเป็นนักดาบธาตุที่ค่อนข้างทรงพลังมาก่อน เส้นทางที่เขาเลือกคือการผสมผสานวิถีของนักดาบธาตุกับนักเวทย์เข้าด้วยกัน
สิ่งนี้ค่อนข้างยากแต่ดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์ทำได้ ดังนั้นเขาจึงได้รับฉายาว่า ‘ดาบสีเงิน’
ดาบสีเงิน ฮิวลีเออร์และนักเวทย์ร่างผอมสูงเป็นนักเวทย์ระดับสี่ ในการโจมตีครั้งแรก พวกเขาได้แสดงพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาออกมา พลังของพวกเขาเกือบจะเทียบได้กับบราตู, เบลลัคและคนอื่น ๆ เผลอ ๆ อาจมีพลังมากกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ
แทนที่จะเริ่มการโจมตีอีกครั้ง ไคลส์หันไปมองที่ฝูงชน
ในฝูงชน เมอร์ลินที่ดูไม่เด่นมาก เขารู้สึกเคลื่อนไหวเล็กน้อยในหัวใจ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองของไคลส์ทันที
เมอร์ลินรู้ว่าการต่อสู้กับไคลส์ในวันนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่างจากการประลองทางอ้อมในหอคอยแห่งรูนก่อนหน้านี้ ครั้งนี้แตกต่างออกไป เขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่กลายเป็นนักเวทย์ระดับสี่และได้ฝึกฝนพลังปีศาจแพนโดร่า ใบมีดมิติ
ตอนนี้ไคลส์ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ!