ตอนที่ 358 ข้ามีแผน ข้ามีแผน
ในช่วงเวลานั้น ทุกสรรพสิ่งใต้แผ่นฟ้าคล้ายกับถูกสะกดให้หยุดนิ่ง เสียงของสายลมดังอื้ออึงก้องอยู่ในหูของเฟิงยี่
ตัวของมันแข็งทื่อเสมือนเห็นภาพพญามัจจุราชผู้ถือเคียวแห่งความตายกำลังจะมาเอาชีวิตของมันไป
ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะอึกทึกด้วยเสียงของการหลบหนีจากคนอื่นๆทว่าหูของเฟิงยี่กลับไม่ได้ยินถึงมันเลยแม้แต่น้อย
จะมีเพียงเสียงเดียวที่มันได้ยินก็คือเสียงของหัวใจที่เต้นระรัว คล้ายกับจะหลุดออกมาข้างนอก
ร่างกายของมันนิ่งสงัดราวกับถูกแช่งแข็ง ใบหน้าที่เคยแห้งกร้านบัดนี้ได้กลายเป็นเปียกชุ่ม หยดเหงื่อจำนวนมากไหลออกตามหน้าผาก ลำคอและฝ่ามือ
“นะ...นี้หรือที่เรียกว่าความกลัว” เฟิงยี่พึมพำออกมา จากนั้นสายตาของมันพลันเห็นประสายแสงอันเกิดจากรังสีกระบี่ที่พุ่งตรงเข้ามา
ตัวมันมีทางรอดอยู่เพียงสองทาง หนึ่งคือกระโดดตามศัตรูของพวกมันหลบอยู่เหนืออากาศ
แต่ทว่าวิธีนี้กลับสายไปเสียแล้ว ถ้ามันฉุกคิดเสียแต่ทีแรกว่าเหตุใดศัตรูของมันจึงพากันลอยตัวอยู่เหนืออากาศ มันคงไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับอันตรายที่ใหญ่เช่นนี้เป็นแน่
ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงต้องเลือกใช้ทางรอดที่สองอย่างไม่เต็มใจ นั้นก็คือใช้ทุกทักษะวิชา รีดเร้นทุกลมปราณที่มี สร้างเกราะป้องกันให้มันรอดพ้นจากการฟันครั้งนี้
“!!!!” เฟิงยี่ยกแขนขึ้นมา จากนั้นมันโคจรลมปราณตั้งแต่ปลายเท้า จรดศีรษะและบังคับให้ไหลย้อนกลับมารวมอยู่ที่มือขวา ลมปราณสีดำหนานแน่นและแข็งแกร่งกลายเป็นเกราะมือขนาดใหญ่ปกป้องชีวิตของเฟิงยี่เอาไว้
ในชั่วลมหายใจต่อมา เฟิงยี่มองเห็นเพียงแสงสีดำที่พุ่งผ่านแขนขวา แก้วตาของเฟิงยี่หดเล็กลงทันที ภาพตรงหน้าน่ากลัวและยากที่จะเชื่อได้
ผมสีดำสนิทเริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นสีขาว สายตาทั้งสองข้างมองเห็นแขนขวาที่กำลังลอยออกจากร่างกายของมัน
ตัวตนระดับราชันอหังการผู้ยิ่งใหญ่ โอหยางเฟิงยี่ สูญเสียแขนขวาไปด้วยการตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียว นี้เป็นคำบอกเล่าที่ยากจะเชื่อได้
ชั่วเสี้ยวลมหายใจต่อมา ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานที่ถูกตัดแขน แล่นเข้าสู่มโนสำนึก
อ๊ากกกก!!! โอหยางเฟิงยี่ล้มลงกับพื้นมือซ้ายของมันกำไปยังหัวไหลขวาที่บัดนี้ปราศจากแขนและข้อมือที่จะใช้ทำสิ่งใดได้อีกแล้ว
ชิงอิ๋ง เปี่ยนเสียน หลี่ไป๋และคนอื่นๆที่ลอยตัวอยู่เหนืออากาศถึงกับตกตะลึงในภาพที่ได้เห็น ในจิตใจของพวกมันสั่นสะท้านเมื่อสองตาจับจ้องไปยังทัศนียภาพเบื้องล่าง
บัดนี้ทุกสรรพสิ่งรอบตัวหนิงเทียนไม่มีสิ่งใดที่มีความสูงเกินลำตัวของหนิงเทียน เนื่องจากว่า ทุกสิ่งล้วนถูกกระบวนท่าเถ้านรกแห่งเทพเซียน ตัดขาดออกเป็นสองส่วน
ร่างของเหล่าตัวตนระดับผู้วิเศษจำนวนกว่า15-16คน และตัวตนระดับราชันเทพอีก15คน บัดนี้ถูกแยกร่างกายท่อนบนออกจากท่อนล่าง พวกมันตกตายภายใต้เพลงกระบี่เดียว
หลี่ไป๋มองไปยังศัตรูคู่แค้นของมันเหลียนป๋าที่บัดนี้ร่างของนักฆ่าทมิฬได้กลายเป็นสองส่วนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ จะมีเพียงโอหยางเฟิงยี่เท่านั้นที่สามารถไหวตัวหลบพ้นจากรัศมีกระบี่และเสียเพียงแขนขวาเท่านั้น
“มันจบแล้วละ ต่อให้เฟิงยี่รอดมาได้ แต่มันไม่เหลือพลังปราณและพลังใจที่จะสู้ต่อได้แล้ว” ชิงอิ๋งกล่าวออกพร้อมกับทะยานร่างลงพื้น
“นะ...น่ากลัว น่ากลัวจริงๆ ราชบุตรเขยของเรา น่ากลัวประดุจเทพปีศาจที่มาจุติในร่างของมนุษย์” เปี่ยนเสียนพึมพำออก
“ในอนาคตที่ไม่ไกล ด้วยการนำพาของราชบุตรเขย ไม่มีทวีปใดที่พวกเราไม่สามารถกำราบพวกมันได้” หลี่ไป๋กล่าวออกด้วยความมั่นใจ น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยอาการเทิดทูนสรรเสริญ
สำหรับกลุ่มศิษย์พี่แห่งห้องเรียนกระบี่แล้ว พวกมันต้องใช้เวลาอยู่นานสองนานที่จะคลายอาการตกตะลึงครั้งนี้ลงได้
“แข็งแกร่งสุดๆๆๆๆๆๆๆ” อาไก๊กล่าวออกด้วยดวงตาที่โตกว้างเป็นไข่
“มนุษย์เราสามารถแข็งแกร่งได้เพียงนี้จริงๆหรือเนี้ย” ตานติงกล่าวออกสายตาของมันกวาดมองไปยังซากศพของทั้งสามสิบชีวิต
ในเวลาเดียวกันขณะที่คนอื่นๆกำลังตกอยู่ในอาการตะลึงงัน คงจะมีเพียงแต่โอหยางเฟิงยี่ที่รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองฝันไป มีเพียงแต่ความเจ็บปวดแสนสาหัสเท่านั้นที่ทำให้มันเชื่อว่านี้คือความจริง
เฟิงยี่กวาดสายตามองไปยัง ลูกน้องคนสนิทและศิษย์ มันได้เห็นว่าทั้งสองถูกแยกออกเป็นสองส่วน แม้แต่เหลียนป๋าที่แข็งแกร่งรองจากตัวมันก็ไม่เว้น ซากศพคนอื่นๆนอนเกลือนกลาดไม่มีแม้แต่ศพเดียวที่มีสภาพสมบูรณ์
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าอย่างถนัดตา มันพึมพำออกมาราวกับคนเสียสติ
“เป็นปะ...เป็นไปได้อย่างไร การฟันเพียงครั้งเดียวจากผู้ผ่านแดนมนุษย์ มันจะทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้ ไม่เชื่อ... ข้าไม่เชื่อ!!!”
หนิงเทียนใช้สายตามองลงไปยังเฟิงยี่ มุมปากของมันยกยิ้มออกมา “ในระหว่างที่ข้าหลับไป ดูเหมือนเจ้าจะดูแลพวกพ้องของข้าเป็นอย่างดีเลยสินะ? เช่นนั้นข้าคงต้องตอบแทนสักหน่อยแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นร่างของเฟิงยี่แข็งค้าง สภาพของมันไม่หลงเหลือตัวตนที่ถูกขนานนามว่าดอกบัวสีเลือดเลยแม้แต่น้อย
จะเป็นตัวตนในดินแดนผู้วิเศษหรือจะเป็นดินแดนนักรบเมื่อต้องอยู่ต่อหน้า ความตาย พวกมันก็จะแสดงนิสัยและตัวตนที่แท้จริงออกมา ไม่เว้นแม้แต่โอหยางเฟิงยี่ ผู้นี้
“ยะ...ยะอย่า จะ..เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้นะ ข้าคือคนของตระกูลโอหยาง ตราบใดที่เจ้าสังหารคนของโอหยาง จักรพรรดิทมิฬจะไม่ละเว้นเจ้าแน่นอน”
หนิงเทียนพยักหน้า “หมดแล้วใช่หรือไม่ สิ่งที่เจ้าจะพูด” กล่าวจบหนิงเทียนลากกระบี่พิรุณโปรยไปกับพื้นดิน ก้าวเท้าหาเข้าเฟิงยี่อย่างเชื่องช้า
เฟิงยี่รู้สึกว่าตัวเองพลาดไป คนๆนี้มิได้กลัวอำนาจพื้นหลังของใครทั้งสิ้น จากนิสัยของมันต่อให้จักรพรรดิทมิฬมาด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถหยุดสิ่งที่มันคิดจะทำได้ด้วยลมปาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฟิงยี่จึงตัดสินใจกล่าวออกอีกครั้ง “ดะ...เดี๋ยวก่อน ขอให้ข้าได้พูดอีกสักประโยค ขะ...ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้เกรงกลัวต่อพวกเราทวีปใต้
ด้วยพลังของท่านอาจจะหลบหนีผ่านม่านกำบังทมิฬเดือดไปได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่ว่านั้นหมายถึงท่านและพวกพ้องเพียง2-3คนเท่านั้น
แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถหนีรอดไปได้อย่างปลอดภัยแน่ ท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า ข้าสามารถช่วยให้พวกท่านหนีพ้นไปได้อย่างปลอดภัยแลกกับการที่ท่านไว้ชีวิตข้า”
กล่าวจบเฟิงยี่ใช้สายตามองไปยังกลุ่มของจูตันและคนอื่นๆที่มีระดับพลังในดินแดนราชันเทพสงคราม
หนิงเทียนยกยิ้มพร้อมกรอกตามอง “โห่ เจ้าเองก็มีข้อเสนอที่น่าสนใจ เกือบจะได้ไปพูดมันในนรกแล้วไหมละ” กล่าวจบหนิงเทียนสะบัดมือเก็บกระบี่พิรุณโปรยเข้าไปในแหวนมิติ
พร้อมกับกล่าวต่อ “เอาละ ไหนบอกสิว่า เจ้ามีแผนการใดที่จะทำให้พวกเรากลับคืนสู่ทวีปตะวันตกได้?”
เฟิงยี่พยักหน้าขึ้นลงและกล่าวออกด้วยความระมัดระวัง “นอกจากข้าคนที่เคยเห็นใบหน้าของพวกท่านก็ได้ถูกสังหารไปหมดแล้ว
ดังนั้นข้าจะนำพวกท่านเดินผ่านประตูม่านกำบังทมิฬเดือดตรงๆโดยใช้ข้ออ้างว่าพวกท่านเป็นคนของข้า ด้วยชื่อของโอหยางเฟิงยี่ พวกท่านไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าขัดขวาง”
“เป็นแผนการที่ไม่เลว เพียงแต่ว่าถ้าเวลานั้นเจ้าเกิดหักหลังพวกเราขึ้นมา ไม่เท่ากับว่าเราต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเจ้าหรอกหรือ?” หนิงเทียนกล่าวถาม
เฟิงยี่ใช้เวลาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ “ท่านสัญญาว่าจะปล่อยข้าไป?”
“ถ้าพวกข้ารอด ชีวิตของเจ้าก็มิได้มีความหมายอันใดต่อเรา” หนิงเทียนยังคงกล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉย น้ำเสียงเย็นชา
“ถ้าเช่นนั้น ขอให้ท่านจำกัดพลังของข้าด้วยโอสถและใช้พิษร้ายควบคุมการกระทำตามใจนึก” เฟิงยี่กล่าวตอบ
“วิธีนั้นก็น่าสนใจ เพียงแต่ว่าข้ามีวิธีที่ดีกว่า?” สิ้นเสียงกล่าว ปราณแห่งความมืดพวยพุ่งออกมาจากร่างของหนิงเทียน เพียงแค่การสะบัดมือเบาๆ มันสร้างปรสิตสีดำถึงเจ็ดตัวพุ่งตรงเข้ากลืนกินควบคุมร่างกายของศัตรูโดนพลัน
ดวงตาของเฟิงยี่เบิกกว้าง “ทักษะควบคุมซาก” ยังมิได้ทันกล่าวจบดี ร่างกายของมันสั่นเทิ่ม ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
แต่กระนั้นร่างของโอหยางเฟิงยี่ก็มิได้สงบลงแต่อย่างใด สองมือของมันสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับว่าเป็นความพยายามเท่าที่จะทำได้
จากนั้นมันยกสองแขนนี้ขึ้นมาหยุดที่ลำคอ มันต้องการที่จะปลิดชีวิตของตัวเองก่อนจะถูกควบคุมด้วยทักษะระดับจักรพรรดิ
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นคิ้วของมันขมวดเข้าหากัน แน่นอนว่าการปลิดชีวิตของเฟิงยี่ไม่ได้เป็นความตั้งใจของมันแต่อย่างใด มันจึงรีบดึงปรสิตคลายลมปรามที่ใช้กลับคืนมา
แฮ่ก แฮ่กๆ โอหยางเฟิงยี่คืนสติกลับมา มันสูดลมหายใจเข้าออก จนเกิดเสียงดังด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะกล่าวออก
“ถ้าท่านต้องการใช้ทักษะควบคุมซากกับข้า นั้นก็หมายถึงความตายของข้า ดังนั้นข้ายอมที่จะปลิดชีวิตตัวเองดีกว่าให้ท่านใช้ร่างกายของข้าทำตามแผนการที่ตั้งใจ”
“ไม่เลวนิ สมกับที่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้มาหลายร้อยปี” หนิงเทียนกล่าวชมด้วยเสียงเย็น จากนั้นมันกล่าวออก
“เรื่องเมื่อครู่ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่อยากลองใช้ทักษะดูก็เท่านั้นเจ้าอย่าได้ถือสาไปเลย ... เอาละข้าตัดสินใจแล้วที่จะทำตามแผนการของเจ้า
ข้าจะจำกัดการใช้ลมปราณของเจ้าในระยะเวลาสั่นๆและควบคุมเจ้าด้วยพิษ หากเจ้าทรยศข้า ความตายเท่านั้นที่เจ้าจะได้เจอ แต่ถ้าพวกข้ารอดออกไปได้แน่นอนว่า ยาถอนพิษจะตกลงสู่ท้องของเจ้าอย่างแน่นอน”
กล่าวจบหนิงเทียนหันมองไปยังหมอหลวงเปี่ยน
“ท่านหมอเปี่ยน ท่านพอจะมีวิธีจำกัดพลังของมันหรือไม่? ตราบเท่าที่มันยังสามารถใช้ลมปราณในระดับผู้วิเศษขั้น5ได้อยู่ พิษของข้าไม่สามารถสังหารมันให้ตกตายภายในหนึ่งลมหายใจได้”
ได้ยินเช่นนั้น เปี่ยนเสียนใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่หนึ่ง จากนั้นมันโบกแขนเสื้อนำศิลาขนาดเท่าฝ่ามือออกมา
หนิงเทียนหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อมองไปยังก้อนศิลาในมือของเปี่ยนเสียน เพราะนี้เป็นสิ่งที่มันเคยเห็นมาก่อน ศิลากำหนดปราณ สมบัติวิเศษที่เย่ชิงอวิ้นใช้ใส่จักรพรรดินิรันดร์ในคราวศึกที่วังเทพมายา
เห็นสายตาเช่นนั้นเปี่ยนเสียนยิ้มออกมา “มันคืออันเดียวกับที่องค์จักรพรรดิของเราได้รับ ข้าใช้เวลารวม30วันในการถอนมันออกมาและตัดขาดความเป็นเจ้าของจากจอมมารฟ้า
ด้วยความดีความชอบนี้ องค์จักรพรรดิจึงได้มอบมันเป็นรางวัลให้แก่ข้า ถึงเวลานี้ข้าขอมอบมันให้แก่ราชบุตรเขย โปรดรับกุญแจมือแห่งจักรพรรดิไป”
กล่าวจบเปี่ยนเสียนส่งจิตสัมผัสตัดขาดความเป็นเจ้าของพร้อมกับส่งก้อนศิลาให้แก่หนิงเทียน
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจละ” หนิงเทียนรับศิลากำหนดปราณไว้ในมือจากนั้นมันส่งลมปราณเข้าไปภายในแสดงความเป็นเจ้าของคนใหม่ทันที
มันใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น ศิลากำหนดปราณก็ได้ส่องแสงตอบรับ หนิงเทียนยกยิ้มออกมาพร้อมกับโบกสะบัดไปยังแขนทั้งสองข้างของเฟิงยี่
“ด้วยของวิเศษที่แม้แต่จักรพรรดิยังไม่สามารถขัดขืนได้ เจ้ารู้สึกเป็นเกียรติได้เลย ที่ข้ายอมใช้มันกับเจ้า”
กล่าวจบพลังปราณทั่วร่างของเฟิงยี่มลายสูญไปทันที จากนั้นหนิงเทียนนำโอสถสีเขียวอ่อนขึ้นมาและดีดออกไป
“นี้คือพิษกร่อนเทวะ รูปแบบหมาป่าสวรรค์ มันจะทำงานก็ต่อเมื่อได้รับกลิ่นอายลมปราณของตัวตนระดับราชันอหังการขึ้นไป ถ้าข้าเห็นว่าเจ้าทำอะไรตุกติกละก็ ตูม!! สถานเดียว”
ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเฟิงยี่ซีดขาว ทั้งกุญแจมือแห่งจักรพรรดิ ทั้งพิษกร่อนเทวะ ทั้งสองสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นของหายากในหมู่ของวิเศษ
แต่บัดนี้ทั้งสองถูกใช้เพื่อกำจัดอิสรภาพของตัวมัน ไม่รู้ว่ามันจะหัวเราะด้วยความภาคภูมิหรือร้องไห้ให้กับความโหดร้ายของบุรุษผู้นี้ดี
จากนั้นหนิงเทียนกวาดสายตามองไปยังกองซากศพ ภายในใจของมันครุ่นคิดออก
'ราชันอหังการ หรือดินแดนผู้วิเศษขั้นที่5 ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าแล้ว พลังที่ได้รับมาจากจูชางไห่นั้นยิ่งใหญ่และยกระดับได้มากจริงๆ
ข้าสงสัยว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้าวแห่งแดนโลกและเทวะเทพสามภพ จะสามารถต่อกรกับตัวตนระดับนั้นได้ถึงเพียงไหนกัน?'
ขณะที่หนิงเทียนจมอยู่ในความคิดและสงสัยในพลังของตัวเอง เสียงของชิงอิ๋งได้ปลุกมันให้ตื่นจากภวังค์
“ท่านพี่” พร้อมกับเสียงนั้นร่างของสตรีผู้งดงามที่สุดในสี่ทวีปโผเข้ากอดอย่างรุนแรงด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงอย่างที่สุด
แต่แล้วเมื่อนางเห็นว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองอยู่นางจึงผลักตัวออกเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่เขินอาย
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันยิ้มออก พร้อมกับใช้นิ้วมือสางไปยังปลายผมของผู้เป็นภรรยา
“ฮูหยิน ต้องลำบากท่านแล้วจริงๆ ไปเถอะพวกเราทุกคนกลับไปพักผ่อนข้างในกัน ในวันพรุ่งนี้พวกเราจะได้กลับสู่ทวีปตะวันตกของเราเสียที”
กล่าวจบหนิงเทียนหันหลังเดินกลับ ทว่ามันต้องชะงักเท้าเล็กน้อย เมื่อมองไปยังซากศพอันเป็นภาพที่ไม่น่าดูชมเสียเท่านั้น
จากนั้นหนิงเทียนสะบัดมือไปด้านหน้า มันใช้ออกด้วยพลังของบัลลังก์วิญญาณ ร่างของเทพปีศาจเหนียนปรากฏอยู่เคียงข้าง
มันทำให้พวกของจูตันบังเกิดความตกใจอย่างที่สุด มันกลัวว่าผู้ที่จะใช้ออกด้วยเทพปีศาจมิใช่ศิษย์น้องของพวกมัน ภาพความน่ากลัวของจูชางไห่ยังคงสลักลึกติดตาทุกคนอยู่
แต่เมื่อทุกคนเห็นรอยยิ้มที่เย็นชาแต่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นแล้ว พวกมันก็ได้คลายความกังวลใจลง
พร้อมกันนั้นร่างของเหนียนทะยานขึ้นสูง มันหยุดตัวอยู่ในอากาศ เปิดปากกว้างและสูดลมหายใจเข้าเพียงครั้งเดียว ซากศพนับสามสิบชีวิตได้หายไปทั้งหมดเสมือนกับว่าที่แห่งนี้มิเคยเกิดโศกนาฎกรรมนองเลือดมาก่อน...
"นี้คือพลังของศาสตราอาวุธอันดับหนึ่งแห่งเผ่าวิญญาณ" หนิงเทียนพึมพำออกมาด้วยความพอใจ
---------------------------------------------------------
อธิบายระดับพลัง
ดินแดนผู้วิเศษ แบ่งออกเป็น9ขั้น
10.1 ผู้บรรลุเส้นทางเซียน
10.2 ผู้ผ่านแดนมนุษย์
10.3 ผู้ผ่านแดนนรก
10.4 ผู้ผ่านแดนสวรรค์
10.5 ราชันอหังการ
10.6 จ้าวแห่งแดนโลก
10.7 เทวะเทพสามภพ
10.8 เซียนสวรรค์
10.9 จักรพรรดิ
หลังจากนี้ไป จะขอเรียกแทนดินแดนทั้ง9 ที่ต่ำกว่าดินแดนผู้วิเศษว่าดินแดนมนุษย์