การหวนคืนของจอมพลคนสุดท้าย ตอนที่ 90 กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป
ตอนที่ 90 กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป
ณ ห้อง Vip โรงประมูลวอเลีย
หลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายด้านหน้าเรียบร้อย ผมและ อลิส ก็เข้ามาด้านในโรงประมูลแห่งนี้ทันที ด้านในก็เป็นแบบที่ผมหวังเอาไว้ มันดูหรูหราราวกับว่าเป็นพระราชวัง และจุดที่ผมกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ก็เป็นที่มุมสูงทำให้มองเห็นเวทีด้านล่างและผู้คนจำนวนมากได้อย่างชัดเจน ด้านหน้ามุมสายตาของผมเป็นเวทีขนาดใหญ่ที่เป็นเวทีประมูล พื้นของมันถูกปูด้วยหนังสัตว์ทำให้มองแล้วดูสบายตาและสวยงามมาก ด้านล่างก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มีทั้งขุนนาง และพ่อค้าจำนวนมาก
ดูเหมือนว่าเส้นสายที่ ซาอุส เดอุส เคยพูดเอาไว้มันจะเป็นเรื่องจริง จำนวนพ่อค้าที่เข้ามาในโรงประมูลตอนนี้ไม่ใช่แค่พ่อค้าของจักรวรรดิแน่นอน เพราะส่วนมากก็มีการแต่งตัวออกไปทางประเทศต่างๆ พวกขุนนางเองก็เช่นกัน
หึหึ! มองเห็นเม็ดเงินจำนวนมากในการประมูลครั้งนี้แล้วสิ ถ้าเกิดพวกนี้มาซื้อช็อกโกแลตหรือดาบเหล็กสวรรค์ไปในราคาสูง มันก็มีผลดีอย่างทั้งผมและจักรวรรดิ เม็ดเงิน! สิ่งนี้จำเป็นมากในเวลาสงครามเริ่มต้นขึ้น วงเล็บเริ่มต้น ช่วงที่สงครามเริ่มต้นขึ้นใครมีเงินก็จะได้เปรียบเพราะสามารถจ้างทหาร ซื้ออาวุธ ซื้ออาหาร สามารถซื้อของที่พูดไปได้อย่างอิสระ
ทว่า เมื่อสงครามมันใหญ่เกินไป เงิน! ทอง! เพรช! ของสวยงามพวกนี้ต่างก็จะเป็นของไร้ความหมายทั้งสิ้น ที่มีค่ามากสุดในช่วงยุคหายนะแห่งมวลมนุษย์ก็คือ อาหารและน้ำ ขอเพียงมีสองสิ่งนี้ ก็จะมีชีวิตรอดไปได้ เพราะแบบนั้นผมจึงให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศทางตอนใต้เป็นมาก จนถึงกับยอมเสียสูตรการผลิตน้ำตาลให้กับตระกูล กริฟฟอน
อีกเรื่อง บนห้อง Vip ตอนนี้ผมเห็นราชวงศ์จากประเทศอื่นเดินทางมากันด้วย ห้อง Vip ถูกแบ่งออกทั้งหมดเป็น 10 ห้อง ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเอาไป 2 ห้อง ตระกูล วอเตอร์ 1 ห้อง นอกจากนั้นก็คือพวกที่เดินทางมาจากที่อื่นๆ และการที่จะเข้าไปในห้อง Vip ได้แบบนี้ ก็ต้องมีทั้งเงินและอำนาจด้วยเช่นกัน ส่วน ตระกูล กริฟฟอน ก็ได้ไปด้วยหนึ่งห้อง อิเลน่า กริฟฟอน เธอคนนั้นนั่งอยู่ห้องข้างๆ ผมเอง ส่วนพวกตัวแทนตระกูลแกรนด์ดยุกทั้งสองแห่งจักรวรรดิ พวกมันก็กำลังนั่งรวมอยู่กับผู้คนด้านล่าง
แต่ว่า เหมือนครั้งนี้ ซาอุส เดอุส ยังไว้หน้าพวกมันอยู่บ้าง เลยจัดให้นั่งด้านหน้าของแถวประมูล การทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าแสดงความเคารพต่อพวกมันอยู่ ถ้าผมเป็นคนจัดเองพวกมันคงได้นั่งแถวหลังกันแน่ๆ หึ!
ในระหว่างกำลังรอการประมูลเริ่มขึ้น ผมก็หันไปหา ไคเซอร์ ที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง ยังไงก็เสียเวลารออยู่แล้วถามเรื่องการรับสมัครทหารไปเลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลาเปล่า
“ตอนนี้เรื่องการรับสมัครทหารเป็นยังไงบ้าง?”
ตั้งแต่สั่งงานหมอนี่ไปผมก็ไม่ได้ตามงานอะไรเลย เหตุผลก็เพราะไว้ใจนั่นแหละ เพราะหมอนี่มีประสบการณ์ด้านการทหารมากมาย และเรื่องรับสมัครทหารหรือฝึกผมก็ไม่ถนัดอะไรขนาดนั้น เพราะงั้นผมเลยยกหน้าที่ตรงนี้ให้ ไคเซอร์ ที่ถนัดด้านนี้ไปเลยดีกว่า
ไคเซอร์ ก้าวออกมาจากมุมห้อง
“ตอนนี้การรับสมัครทหารเป็นไปได้ด้วยดีครับ ในหมู่พวกที่มาสมัครก็มีทั้งสามัญชนและขุนนาง พวกขุนนางข้าให้พวกนั้นติดยศอัศวินฝึกหัดเอาไว้ ส่วนพวกสามัญชนใครมีความสามารถตามที่ท่านกำหนด ข้าก็จะให้ติดยศทหารเอาไว้ แต่ว่า เหล่าสามัญชนที่มีความสามารถระดับสูง ข้าก็ให้ติดยศอัศวินฝึกหัดเช่นเดียวกันกับขุนนางครับ”
อืม! การติดยศอัศวินฝึกหัดให้แบบนั้นถือเป็นทางเลือกที่ดี ขุนนาง! คนเหล่านี้สมัครเป็นทหารยังไงก็ได้รับยศอัศวินฝึกหัดกันแน่นอนอยู่แล้ว เพราะมีบรรดาศักดิ์ติดตัวกันมาจากตระกูล แต่ว่า พวกขุนนางที่เข้ามาสมัครเป็นทหารของผมแบบนี้ คงเป็นพวกลูกคนที่สอง คนที่สามหรือคนที่สี่นั่นแหละ เพราะพี่คนชายคนโตจะได้รับตำแหน่งขุนนางต่อจากพ่อตัวเอง หลังจากพ่อตายไปหรือวางมือ ส่วนพวกลูกคนเล็กก็ต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดแบบนี้ เพราะงั้นการได้รับยศอัศวินถือเป็นรางวัลก้อนใหญ่พอตัวกับพวกนั้นแล้ว
…ช่างเป็นการให้รางวัลที่ฉลาดจริงๆ อัศวินฝึกหัด ถึงพวกนั้นจะมียศอัศวินติดตัวอยู่กันก็ตาม แต่หน้าที่จริงๆ มันก็คล้ายๆ กับพวกทหารนั่นแหละ ไม่ได้แตกต่างกันมาก
“ข้าพอเข้าใจเรื่องขุนนางที่ได้รับยศ แต่พวกสามัญชนได้รับด้วย มันจะไม่เกิดปัญหาขึ้นหรือไง”
ถึงไม่อยากพูดแต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องจริง ลำดับชั้น! ในยุคกลางแบบนี้มันมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างสามัญชนกับขุนนาง ถึงจะเป็นลูกคนที่สองหรือคนที่สาม แต่ยังไงสะ ขุนนางก็ยังเป็นขุนนาง เมื่อมีสามัญชนได้ยศเท่าตัวเองคงหาวิธีกลั่นแกล้งสารพัด ซึ่ง!! เรื่องแบบนี้ผมไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในช่วงที่ผมเป็นจอมพลคนสุดท้ายอยู่
ไคเซอร์ ส่ายหน้าไปมาหลังผมถามไปแบบนั้น
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ ข้าได้เชือดไก่ให้ลิงดูไปแล้ว”
“โอ้ว! เช่นนั้นก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องปัญหาลำดับชั้นแล้วสินะ”
“ครับ!”
เชือดไก่ให้ลิงดู! วิธีนี่แหละเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการควบคุมกำลังทหารให้เชื่อฟังโดยเร็วที่สุด เหตุผล! กำลัง! อำนาจ! ของพวกนั้นถึงมีไปก็ยังมีคนต่อต้านในกองทัพอยู่ดี ถ้าหากคนนำทัพไม่ใช่ราชวงศ์ หรือผู้ปกครองสูงสุดของประเทศ แต่ถ้าใช้วิธีแบบนั้นก็จะสามารถควบคุมพวกที่พยามต่อต้านได้ทันที
ได้ยินแบบนี้ผมก็สบายใจ เพราะพวกนั้นต้องต่อสู้กันอีกอย่างยาวนาน การรวมทวีปให้เป็นหนึ่ง! การต่อสู้กับเผ่าเทพและเผ่าปีศาจ! การแก้ปัญหาภายในตั้งแต่เริ่มลงรากฐานเช่นนี้ จะกลายเป็นผลดีในอนาคตแน่นอน …ตามจริงก็กำลังจะสั่งให้ ไคเซอร์ ไปเชือดไก่ให้ลิงดูนั่นแหละ แต่ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจขึ้นเยอะ หึหึ!
“ถ้างั้น พวกสามัญชนที่เป็นผู้หญิงและมีความสามารถจนได้รับยศอัศวินฝึกหัด มีจำนวนเท่าไหร่”
“นั่น…”
ไคเซอร์ ทำหน้าแปลกใจทันทีที่ผมถามออกไป หมอนี่คงคิดว่าผมจะถามแค่กำลังทหารคงไม่ได้ลงลึกไปขนาดนั้นแน่ๆ แต่ก็ไม่แปลกหรอก การคุมการสมัครทหารมันก็ไม่ใช่งานน้อย ให้มาจำจุดเล็กจุดน้อยก็คงไม่ไหว ยิ่งเจาะจงเพศไปด้วยแบบนั้น
“ไม่ต้องเอาแน่นอนก็ได้ ประมาณมาก็พอ”
“…ประมาณ 200 – 300 คน ข้าคิดว่ามีประมาณนั้นครับ เนื่องจากว่าพวกผู้หญิงไม่ค่อยมาสมัครกันเท่าไหร่ทำให้ในกองทัพมีน้อยมาก ส่วนจำนวนที่มีความสามารถแบบที่ท่านต้องการ ก็มีจำนวนลดน้อยลงไปอีก”
200 – 300 คน ถ้านับว่าเป็นเพียงกำลังรบเริ่มต้นก็ดีอยู่หรอก แต่ว่า ถ้ากำลังรบมีเท่านี้คงไม่พอตั้งหน่วยพิเศษที่ อลิส จะเป็นคนบัญชาการขึ้นมาได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีสัก 1000 คน ขึ้นไป ถ้าไม่อย่างงั้นก็คงตั้งหน่วยแบบที่คิดขึ้นเอาไว้ไม่ได้
และเหตุผลที่ผมถามเรื่องรับสมัครทหารกับ ไคเซอร์ ก็เพราะเหตุผลนี่แหละ หลังจากที่คุยกับอลิสเรื่องเข้าไปในสนามรบเรียบร้อย เรื่องต่อไปที่ผมต้องทำคือ การเตรียมหน่วยทหารพิเศษเอาไว้ให้เธอ แล้วจากที่ผมลองคิดดูหลายรอบ การเอาสามัญชนที่มีความสามารถมาให้เธอบัญชาการ ก็คือทางเลือกที่ดีที่สุด เหตุผลก็ง่ายๆ นั่นคือพวกนั้นจะเชื่อฟังคำสั่งของเธอแน่นอน เพราะเธอคือขุนนาง!
“เจ้าคิดว่าภายใน 5 เดือน จะมีถึง 1000 คน ไหม?”
ไคเซอร์ ส่ายหน้าไปมาแบบไม่ต้องคิด
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ จำนวนขนาดนั้นถ้าต้องการแต่ผู้หญิงมันไม่พอแน่นอน”
“อ่า! ข้าก็คิดแบบนั้นแหละ….”
เฮ้อ~ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ก็มีแต่ต้องเอาพวกมีความสามารถของสามัญชนทั้งหมดมาเข้าร่วมด้วยเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่อยากเอาผู้ชายเข้าไปเพราะผมอยากปั้นพวกนั้นด้วยตัวเองอยู่หรอก แต่ว่า ในเมื่อมันเป็นแบบก็มีแต่ต้องเอาไปเป็นหน่วยพิเศษให้ อลิส เท่านั้น ยังไงสะความปลอดภัยของ อลิส ก็ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก เอาไว้คิดเรื่องปั้นแม่ทัพอีกทีแล้วกัน
หลังจากตัดสินใจได้ ผมก็พูดออกไปอีก
“ให้พวกนั้นรวมกันเป็นหน่วยเดียวแล้วฝึกแบบเต็มที่ ทรัพยากร! ม้าศึก! อาวุธ! ให้ของพวกนั้นแบบไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น ข้าจะให้พวกนั้นเป็นหน่วยพิเศษที่ อลิส บัญชาการ”
“ค่ะ?!”
อลิส ที่นั่งด้านข้างของผมอุทานออกมา
“ทะ ท่านพี่บอกว่าอะไรนะคะ ข้า! บัญชาการอะไรนะ???”
“หน่วยพิเศษไง เมื่อกี้น้องก็ได้ยินแล้วใช่ไหมเรื่องที่พี่คุยกับ ไคเซอร์”
ระหว่างคุยกันเมื่อกี้ อลิส ทำเป็นไม่สนใจแล้วกวาดสายตามองด้านล่างก็จริง แต่ว่า เธอต้องได้ยินสิ่งที่ผมคุยกันแน่นอนเพราะอยู่ใกล้สะขนาดนี้ อีกอย่าง เธอก็แค่ทำเป็นแกล้งไม่สนใจเท่านั้นแหละ เพราะระหว่างมองด้านล่างเธอก็ใช้หางตามองมาทางผมนิดหน่อย
“ท่านเอาจริงงั้นเหรอ…”
“ใช่! หลังจากนี้น้องจะได้บัญชาการหน่วยที่ดีที่สุดในจักร… ไม่สิ! ต้องพูดว่าในทวีปแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ”
“ไหนท่านบอกว่าพวกนั้นเป็นเพียงสามัญชน???”
ได้ยินจริงๆ ด้วยสินะ หึหึ! ถ้าเธอได้ยินทั้งหมดแล้ว มันก็ไม่แปลกหรอกที่จะถามอะไรออกมาแบบนี้ แข็งแกร่งที่สุด! มันจะไปเป็นกองทัพจากสามัญชนได้ยังไง ไม่ว่าไปถามใครในทวีปตอนนี้ก็คงต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ แต่! นั่นมันเป็นแค่ความคิดที่ผิด!! ความคิดเช่นนั้นมันคือความคิดก่อนที่จะเกิด ยุคหายนะแห่งมวลมนุษย์ ขึ้นเท่านั้น สำหรับผมที่เห็นกับตาตัวเองมาแล้วสามารถยืนยันได้แน่นอน
“สามัญชั้นเหล่านั้นแหละที่จะเป็นกำลังรบที่ดีที่สุดในทวีป แต่ก่อนจะอธิบายว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้ พี่อยากให้น้องลองพูดออกมาก่อน ว่าทำไมน้องถึงคิดว่าสามัญชนไม่สามารถเป็นกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดได้ ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นก็เป็นมนุษย์เหมือนกับขุนนางอย่างพวกเรา”