การหวนคืนของจอมพลคนสุดท้าย ตอนที่ 86 การพบเจอกับศัตรู ที่ไม่มีค่าให้จดใจ
ตอนที่ 86 การพบเจอกับศัตรู ที่ไม่มีค่าให้จดใจ
“ยินดีที่พบกันครั้งแรกครับ ท่านแกรนด์ดยุก”
ชายที่ เซบาส พาเข้ามาเริ่มกล่าวทักทายออกมาก่อนด้วยใบหน้าปั้นยิ้ม แต่ผมไม่คิดเลยว่า เซบาส จะพาคนของโบสถ์เข้ามาหาผมแบบนี้ ชายด้านหน้าของผมเวลานี้เป็นบาทหลวงแต่งตัวด้วยชุดคลุมสีขาวดูสะอาด และใช้ผ้าคลุมครอบหัวเอาไว้ให้เห็นเพียงบริเวณใบหน้า ส่วนระดับพลังบ่มเพาะก็ ระดับจักรพรรดิ! ใช่แล้ว! บาทหลวงด้านหน้าของผมตอนนี้เป็นคนที่มีพลังบ่มเพาะ ระดับจักรพรรดิ
ปกติแล้ว คนมีพลังระดับนี้ในกองทัพยังหายากมากเลยด้วยซ้ำ หรือบางที่ เป็นประเทศเล็กๆ ยังไม่มีบุคคลที่มีพลังระดับนี้อยู่เลย หรือว่ากันง่ายๆ บาทหลวงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ว่า ที่ทำให้มนุษย์ต้องลำบากในการต่อสู้กับพวกเผ่าเทพและเผ่าปีศาจขนาดนั้น ก็พวกมันนี่แหละ! รู้สึกอยากจะล้างบางไปให้หมดสะแล้วสิ ชิ!!!!
เมื่อช่วงต้นของยุคหายนะแห่งมวลมนุษย์ พวกเผ่าเทพและเผ่าปีศาจเลือกโจมตีจักรวรรดิเป็นประเทศแรก แต่ว่า ถึงจะรู้แบบนั้นเผ่ามนุษย์ก็ไม่ยอมร่วมมือกันเข้าต่อสู้ เพราะโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ใจกลางทวีปประกาศออกมาว่า ‘อย่าทำร้ายเผ่าเทพที่เป็นตัวแทนของพระเจ้า’ เพราะประกาศปัญญาอ่อนแบบนั้น ทำให้พวกเผ่าเทพและเผ่าปีศาจกวาดล้างกันได้อย่างสบายใจ กว่าผู้คนจะรู้ตัวมนุษย์ก็ตายไปเกือบครึ่งทวีปแล้ว
อยากฆ่ามันสะตอนนี้เลยจริงๆ ตอนแรกก็ว่าจะพร้อมแล้วเดินทางไปจัดระเบียบพวกมันสักหน่อย แต่ดูจากการส่งหมอนี่เดินทางมาพบกับผมอย่างนี้ พวกมันคงทนรอกันไม่ไหวแล้วละ หึ!
“อ่า ข้าเองก็ยินดีที่ได้พบ”
“เช่นนั้นข้าขอนั่งเพื่อคุยอะไรกับทะ-”
ผมลุกยืนขึ้นทันทีก่อนที่มันจะพูดจบ การทำแบบนี้มันคงเข้าใจแน่ว่าผมต้องการจะสื่ออะไรให้มันเข้าใจ อีกอย่าง การปรากฏตัวของมันแบบนี้คงไม่ได้มาดีกับผมแน่นอนเพราะโบสถ์ชอบเข้าแทรกแซงทางการเมืองกันอยู่แล้ว การมาของมันก็เช่นกัน ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีด้วยตั้งแต่แรก ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีมารยาทอะไรกับพวกมันเลย
ใบหน้าของบาทหลวงเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ก็ยังรักษาใบหน้ายิ้มใจดีเอาไว้ได้อยู่
“คือว่า… ข้าไปทำอะไรให้ท่านแกรนด์ดยุกไม่พอใจหรือเปล่าครับ ทำไมท่านถึงไร้มารยาทกับข้าแบบนี้ได้”
“เจ้าคิดมากไปเอง อีกอย่างที่นี่มันคฤหาสน์ของข้า พื้นที่ของข้า ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำตัวดีกับคนที่ไม่ได้มาดีกับข้าด้วย”
“ท่านรู้…!”
บาทหลวงแสดงใบหน้าแปลกใจระหว่างพูดออกมา เรื่องที่มันมาหาผมแบบนี้มันก็มีเรื่องเดียวนั่นแหละ ในจักรวรรดิหรือทุกประเทศในทวีปแห่งนี้ โบสถ์ถือเป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า ผู้คน ขุนนางหรือราชา ทุกคนต่างก็ต้องยอมรับหากเป็นคำพูดของโบสถ์ที่เปรียบเหมือนตัวแทนของพระเจ้า แต่ว่า การกระทำของพวกมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวแทนพระเจ้าเลย บริจาค! มันมาเพราะเรื่องนี้แน่นอน
ในยุคสมัยหายนะแห่งมวลมนุษย์เกิดขึ้น พ่อค้าและขุนนางหลายประเทศต่างรวมตัวกันแล้วแฉเรื่องที่คนจากโบสถ์ทำกับตัวเอง ซึ่งเรื่องนั้นก็คือ ถ้าใครมีเงินหรือทรัพย์สินมากพอ พวกบาทหลวงก็จะมาหาแล้วมาพูดให้บริจาคให้กับโบสถ์ดีๆ พร้อมกับพูดว่าเอาไปทำโน้นเอาไปทำนี่ให้คนบริจาครู้สึกดี
ทว่า เงินพวกนั้นมันไม่เคยไปถึงคนที่ต้องการจริงๆ กันหรอก มันตกไปอยู่กับพวกบาทหลวงที่อยู่ในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์กันแทบหมด หึ! ยังไม่หมด! ขุนนางบางคนก็บอกมาด้วยว่าถ้าไม่ยอมให้ พวกมันก็จะหาทางเล่นงานทุกทาง ถ้าเป็นพ่อค้าก็โดนฆ่า ถ้าเป็นขุนนางก็โดนยึดบรรดาศักดิ์ ….คิดแล้วก็อารมณ์เสียจริงๆ ข้าไม่ไปทำลายพวกแกตั้งแต่ตอนนี้มันก็บุญขนาดไหนแล้ว!!! ยังมีหน้ามาเสนอหน้าให้เห็นอีก!!!
“เจ้าต้องการให้ข้าบริจาคเท่าไหร่ละ?”
“ฮาฮาฮา ที่แท้ท่านก็กำลังเข้าใจผิดเรื่องนั้นอยู่นี่เอง อันดับแรกเลย ข้าต้องบอกก่อนว่าข้าไม่ได้มาหาท่านเพราะให้บริจาคอะไรแบบนั้น แต่ว่า ถ้าท่านต้องการบริจาค เงินของท่านทั้งหมดจะโดนใช้อย่างคุ้มค่าแน่นอน ท่านแกรนด์ดยุกโปรดสบายใจได้”
“ทางเรารับเด็กกำพร้าเอาไว้มากมายหลายประเทศ รวมถึงเด็กเหล่าโชคร้ายที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ที่จักรวรรดิทำเอาไว้ด้วย เงินบริจาคของท่านจะโดนใช้เพื่อเด็กเหล่านั้นแน่นอนครับ แต่ถ้าท่านไม่ต้องการทำมัน ข้าเองก็ไม่สามารถบังคับท่านได้เช่นกัน ฮาฮาฮา”
ตลกกลบเรื่องเก่งจริงๆ ถ้าผมไม่พูดออกไปก่อนมันต้องหยิบเรื่องการบริจาคเงินขึ้นมาพูดก่อนแน่นอน นี่ขนาดตัดโอกาสไปก่อน มันยังหาทางพูดออกมาได้เลย เหอๆ ช่างทำงานเป็นมืออาชีพสะจริงๆ เรื่องแบบนี้การจะกลับลำในระหว่างคุยมันทำไมได้ง่ายๆ กันหรอก
“ถ้างั้น! คนจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์มาเจอข้าทำไม”
บาทหลวง ทำหน้าแปลกใจอีกครั้ง
“ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้ามาจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์???”
“นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือไง คนที่มีพลังบมเพราะ ระดับจักรพรรดิ มันก็คงไม่ได้มาจากโบสถ์ธรรมดากันหรอก คิดว่าระดับพลังเท่าเจ้ามันหากันง่ายๆ หรือยังไง”
“ออ… ท่านนี้ช่างสุดยอดจริงๆ สามารถรู้ระดับพลังของข้าได้แบบนี้”
ถ้าปกติก็ไม่รู้กันหรอกแต่ผมมันไม่ปกติ ถ้าไม่ใช่คนที่เคยมีพลังระดับนั้นมาก่อน คนปกติไม่สามารถยืนยันคนที่มีพลังบ่มเพาะเหนือกว่าตัวเองได้แน่นอน แล้วจากที่เซบาสพามันเข้ามา เซบาส ก็ยังไม่พูดอะไรกับผมเลยสักอย่าง ที่ผมรู้แบบนี้คงสร้างความแปลกใจให้มันพอสมควร
“ช่างเรื่องระดับพลังเถอะ ข้าไม่ได้มีเวลามาเสียกับเจ้าทั้งวัน”
“ครับ เช่นนั้นช้าขอให้ท่านรับนี้ไปด้วย”
ระหว่างพูด บาทหลวง ก็เอากระดาษออกมาจากเสื้อ 1 ม้วน กระดาษที่โดนเอาออกมาคือกระดาษที่ประทับตราของ โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ เอาไว้ด้วย …ดูเหมือนการเดินทางมาของมันครั้งนี้คงไม่ได้มารับบริจาคจริงๆ ผมรีบหยิบเอากระดาษที่มันส่งมาให้ทันที แล้วเปิดอ่าน
“จดหมายเชิญ?”
“ครับถูกต้องแล้ว! ทางโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องการให้ท่านเดินทางไปที่นั่นสักครั้ง แล้วทางโบสถ์จะทำสิ่งที่ค้างเอาไว้ด้วย หวังว่าท่านแกรนด์ดยุกจะสละวะ-”
ฉีก!
“ท่าน!!!”
บาทหลวง ร้องลั่นออกมาทันทีหลังผมฉีกกระดาษที่อ่านอยู่ในมือ ใบหน้าของมันเองก็รักษาความสงบเอาไว้ไม่ได้แล้วในตอนนี้ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะไม่เอาเรื่องพวกมันแล้ว แต่เมื่อมาพูดแบบนี้ผมคงต้องเอามาคิดใหม่แล้วละ …. ในอดีต หลังจากที่ผมเสียพ่อไปได้ไม่นานทางองค์ จักรพรรดิสวรรค์ ก็แต่งตั้งตำแหน่งแกรนด์ดยุกแห่งตระกูล วอเตอร์ ให้กับผมทันที แต่ว่า โบสถ์! พวกมันไม่ยอมรับและไม่เอาชื่อของผมเข้าในสมุดรายชื่อของพวกมัน
ตามจริง การที่พวกทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้มีผลอะไรมากมายนักหรอก เพราะยังไงสะ คนที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ก็คือ องค์ จักรพรรดิสวรรค์ ถึงพวกมันไม่ยอมรับก็ไม่มีผลอะไรมากมายกับตำแหน่งของผมอยู่ดี ซึ่ง!! สิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้จากการโดนแบบนั้นจากพวกโบสถ์ก็คือ ไม่สามารถเข้าโบสถ์ได้!
เรื่องเข้าโบสถ์ผมไม่สนหรอกเพราะถ้าพระเจ้ามีจริงคงมาคุยกับผมไปนานแล้ว เพราะช่วงที่โดนส่งตัวมาที่นี่ใหม่ๆ ผมตะโกนเรียกพระเจ้าทุกวัน วันละ 24 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับอะไรเลยสักอย่างจากพระองค์ แต่เรื่องของพระเจ้าช่างเถอะ เพราะผมก็ไม่ค่อยอยากกลับโลกเดิมเท่าไหร่แล้ว ถ้างั้นตอนนี้ มาเอาเรื่องพวกโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แทนพระเจ้าก่อนดีกว่า
“ตอนนั้นพวกเจ้าปฏิเสธข้าและครั้งนี้มาขอให้ข้าไปหา นี่พวกเจ้าใช้สมองส่วนไหนคิด”
“ท่านจะมากไปแล้วนะท่านแกรนด์ดยุก!!! ทางโบสถ์ให้โอกาสท่านอีกครั้งเช่นนี้ท่านก็น่าจะรับเอาไว้แท้ๆ การที่ท่านปฏิเสธแบบนี้ ท่านต้องเสียใจภายหลังแน่นอน”
ระหว่างบาทหลวงมันพูดออกมา มันก็ได้ปล่อยไอพลังลมปราณของมันออกมาด้วย บรรยากาศเริ่มหนักอึ้งทันทีหลังจากการทำแบบนั้นของมัน เหอ! นี่มันลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน
“เจ้าคิดว่าที่นี่มันที่ไหน บาทหลวง!!”
“อึก!”
หลังผมเตือนสติไป ลมปราณจำนวนมากเมื่อครู่ก็หายไปในทันที ถึงมันจะมีพลังมากขนาดไหนแต่การมาหาเรื่องแกรนด์ดยุกแห่งจักรวรรดิ ถึงในเมืองหลวงของจักรวรรดิ แถมยังในคฤหาสน์แบบนี้อีก ต่อให้เป็น โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่อาจจะช่วยมันให้รอดไปได้แน่นๆ ถ้าเกิดการลงมืออะไรขึ้นที่นี่ หลังจากที่ผมเตือนสติออกไป บาทหลวง ก็ค่อยๆ ลดพลังปราณของตัวเองลงเรื่อยๆ จนในเวลาไม่นาน บรรยากาศในห้องก็กลับมาเข้าสู้แบบเดิม
“ขะ ขออภัย ข้าขาดสติไปหน่อย”
“ไสหัวออกไป!!”
“แต่ถ้าเป็นบะ-”
“จริงสิ! ฝากข้อความของข้าไปบอกพวกบาทหลวงชั้นสูงด้วยแล้วกัน บอกพวกมันว่า ‘รออีกไม่นานข้าจะไปทวงความยุติธรรมคืน’ และข้าก็หวังอย่างยิ่ง ว่าพวกมันคงไม่กลัวจนพากันทำอะไรโง่ๆ ออกมา”
การจะเปลี่ยนทวีปนี้ให้พร้อมกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมคิดว่าต้องกวาดล้างพวกมันออกไปด้วยถึงจะดี ถึงโบสถ์จะได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนจำนวนมากอยู่ก็ตาม แต่การทำลายพวกมันด้วยกำลังทหาร ก็ไม่ยากเย็นอะไรหรอก
หลังพูดออกไปไม่นาน บาทหลวงก็ส่ายหน้าไปมา
“แล้วท่านจะเสียใจกับการตัดสินใจของท่านในครั้งนี้ …ข้าขอตัว!”
ปัง!!!
มันกระแทกประตูอย่างรุนแรง ก่อนที่ออกจากห้องไป การกระแทกประตูแบบนั้น ก็คงเป็นวิธีระบายความโกรธที่มันจะสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวแล้วนั่นแหละ หึหึ! มีสิ่งที่ต้องทำเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วสินะ…