MDB ตอนที่ 21 การปรับแต่งเม็ดยา PART 2
ภายในใต้ดินของเมืองเมเปิ้ลมีสายธารวิญญาณแห่งอัคคีและปฐพี ไหลผ่านเป็นเส้นชีพจรของเมือง แม้ว่าสายธารนี้จะมีคุณภาพทั่วไปแต่มันคุณสมบัติไฟกับดินซึ่งไฟในสายธารนี้มีพลังมากกว่าเปลวไฟทั่วไป
การใช้ไฟแห่งจิตวิญญาณเป็นสิ่งจำเป็นในการกลั่นเม็ดยา
วิถีแห่งการกลั่นเม็ดยาย้อนไปถึงยุคโบราณ ในตอนนั้น ที่มีพลังจิตวิญญาณมีมากมาย ผู้ฝึกตนไม่ต้องการสัตว์วิเศษและสามารถใช้ร่างกายของพวกเขาเพื่อครองโลก ควบคุมสภาพอากาศและควบคุมธาตุทั้งห้าได้ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ยุคอมตะก็สิ้นสุดลง พลังจิตวิญญาณของโลกหมดสิ้นไปและผู้ฝึกตนแทบจะไม่สามารถบ่มเพาะร่างกายของพวกเขาได้อีกต่อไป มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการสร้างพลังงานของการบ่มเพาะwfh
การบ่มเพาะฝึกวิชานั้น มีหลายขั้นตอนดังเช่น การจัดตั้งรากฐาน การสร้างแกนกลาง การหลอมรวมจิตวิญญาณและการสร้างจิตวิญญาณซึ่งพวกมันเป็นศาสตร์ที่ถูกหลงลืมไปนานแล้ว
พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นตำนานของอดีตอันไกลโพ้น
ในยุคนี้เป็นยุคของสัตว์วิเศษ ผู้คนจะลงนามในพันธสัญญาโลหิตกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ฝึกฝนพวกมันและเพิ่มระดับของพวกมัน สิ่งต่าง ๆ เริ่มพัฒนาเรื่อยมาจนมีเม็ดยาสำหรับสัตว์วิเศษโดยเฉพาะ
ด้านหลังประตูหินเป็นถ้ำตามธรรมชาติ ในขณะที่หลินจินเดินเท้าเข้าไปข้างใน ความเข้มของความร้อนจะรุนแรงขึ้นจนเห็นกระแสลาวาเรืองแสงที่สิ้นสุดในบ่อลาวา
นี่คือสายธารวิญญาณแห่งอัคคีและปฐพี
ไม่มีใครอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครรบกวนหลินจิน เขารีบนำเตาหลอมออกมาเพื่อเริ่มกลั่นเม็ดยาวิญญาณสุริยา
อันที่จริง หลินจินไม่คุ้นเคยกับการอัดเม็ดยาพอ ๆ กับการกลั่นเม็ดยา ทุกอย่างที่เขาทำคือทำผ่านมือของพิพิธภัณฑ์ หากปราศจากมัน เขาแทบจะไม่รู้วิธีใช้พลังวิญญาณนี้เพื่อดูดซับเปลวเพลิงจากใต้ผืนดิน
พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ช่วยขจัดการปัญหาทั้งหมดของเขา
“เสี่ยวฮั่ว ไปเล่นที่อื่นก่อน อย่าเพิ่งมารบกวนฉัน” หลินจินสั่งก่อนที่เขาจะเริ่มแกะผนึกเพื่อเปิดใช้งานเตาหลอมตามคู่มือของพิพิธภัณฑ์
ด้วยการควบคุมพลังจิตวิญญาณ เตาหลอมก็ลอยอยู่เหนือบ่อลาวา ทันใดนั้น เตาก็ร้อนเป็นสีแดงสด
หลังจากนั้น หลินจินก็โยนส่วนผสมยาของเขาลงไป
ตามที่คาดไว้ เมื่อไฟในสายธารจับคู่กับเตาหลอมคุณภาพสูงของหลู่เสี่ยวหยุนได้ดี ส่วนผสมจะเปลี่ยนเป็นพลังจิตวิญญาณชั่วขณะและเดือดพร้อมกับเตาหลอม มันเป็นภาพที่น่าตื่นตา
15 นาทีต่อมา หลินจินโยนหญ้าแสงอรุณ 6 ใบ ลงในเตาหลอม มันเป็นส่วนผสมสุดท้ายของกระบวนการ
เมื่อเขาโยนมันเข้าไป พลังจิตวิญญาณแห่งอัคคีหนาแน่นก็ล้นออกมา
หญ้าแสงอรุณทั้งหกไม่ละลายเมื่อเข้าไปในเตาเผาทำให้หลินจินแอบกังวลเล็กน้อย พิพิธภัณฑ์ได้ระบุว่าต้องมีการสะสมของไฟเพิ่มขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องรวบรวมเปลวไฟของสายธารและเทลงในเตาหลอมเพื่อกลั่นเม็ดยา
ดังนั้น หลินจินจึงยกมือขึ้นและเสกคาถาสะสมไฟ
ในขณะนั้นเอง ถ้ำก็สั่นสะเทือนเบา ๆ
นอกประตูหิน ผู้เฒ่าโมก็ลืมตาขึ้นทันที สัตว์วิเศษที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา กิ้งก่าไฟก็ดูกระวนกระวายเช่นกันและส่งเสียงฮึดฮัดเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบสนอง
"เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดสายธารวิญญาณแห่งอัคคีและปฐพีจึงเกิดความปั่นป่วน” สีหน้าของผู้เฒ่าโมมืดลง เขาหันไปหาสัตว์เลี้ยงของเขา กิ้งก่าไฟก็ส่งเสียงกรีดร้องและกระทืบเท้าบนพื้น ทำให้เกิดประกายไฟพุ่งทะลุพื้นดิน
ไม่นาน ความวุ่นวายก็กลับสู่ความสงบ
ผู้เฒ่าโมถอนหายใจด้วยความโล่งอกและนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก็พึมพำกับตัวเองว่า “มันจะเป็นอย่างที่ในตำนานได้เล่าขานหรือเปล่านะ ที่สิ่งมีชีวิตด้านล่างเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ข้าจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้”
ข้าง ๆ บ่อลาวา หลินจินมีความสุขเหมือนเด็กในร้านขายขนม ในขณะที่เขาดูหญ้าแสงอรุณทั้งหกละลายหายไป เพื่อให้สำเร็จ สิ่งที่เหลืออยู่คือการโยนวิญญาณอสูรและร่ายเวทย์ควบแน่นเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ทั้งวิญญาณอสูรและยันต์วิญญาณอสูรถูกโยนเข้าไป ยันต์สลายตัวเป็นเถ้าถ่านเมื่อสัมผัสกับเตาหลอม เหลือเพียงวิญญาณอสูรที่ส่องสว่างอย่างนุ่มนวลในขณะที่ดูดซับพลังวิญญาณรอบ ๆ อย่างช้า ๆ
เมื่อเสร็จแล้ว หลินจินผนึกมันด้วยคาถาควบแน่นของเม็ดยาภายในเตาหลอม พลังจิตวิญญาณแห่งอัคคี พลังงานยา ผสานเข้ากันกับวิญญาณอสูรและเม็ดยาค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา
"สำเร็จแล้ว!"
หลินจินเข้าไปหาเตาหลอมอย่างเร่งรีบ เขาเปิดมันออกและหยิบเม็ดยาออกมา
ในที่สุดเม็ดยาวิญญาณสุริยาทั้ง 6 ลูก ก็มาถึงมือเขาแล้ว
“พวกเขาบอกว่าการกลั่นเม็ดยานั้นยุ่งยาก มันไม่ได้ยากขนาดนั้นซะหน่อย” หลินจินรู้สึกมีความสุข แน่นอนว่า เขารู้ว่าเขาแค่ทำตามคำแนะนำของพิพิธภัณฑ์ หากทำตามคู่มือแล้วยังพลาดล่ะก็ เขาคงจะเป็นคนที่โง่เขลามาก
หลินจินได้วางแผนไว้ว่า เมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาจะให้อาหารและเม็ดยาวิญญาณสุริยากับเสี่ยวฮั่ว แล้วเจ้าตัวเล็กอาจจะสามารถวิวัฒนาการหลังจากนั้น
หลินจินเริ่มเก็บข้าวของของเขาและออกจากสถานที่ ทันใดนั้นมีคนเข้ามาในสถานที่แห่งนี้
ชายผู้นี้ดูเหมือนจะอายุยี่สิบต้น ๆ และมีลวดลายวงแหวนเดียวบนแขนเสื้อ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ประเมินทางการ เขามีอารมณ์ที่เย่อหยิ่งและมีสายตาสำหรับตัวเองเท่านั้น เขาเพียงแค่เดินเข้ามาราวกับว่าหลินจินไม่มีตัวตน
เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้มาที่นี่เพื่อดูดซับพลังงานจิตวิญญาณแห่งอัคคีเช่นกัน
หลินจินรู้จักผู้ชายคนนี้ เช่นเดียวกับตัวเขา เขาเป็นผู้ประเมินทางการอีกคนของสมาคม เกาเจียง
ในเมื่อ เกาเจียงไม่สนใจเขา ทำไมต้องเขาจะต้องทักทายเกาเจียงด้วย ดังนั้นหลินจินจึงเงยหน้าขึ้นและเดินผ่านเกาเจียงไป
ข้างนอกไม่มีวี่แววของผู้เฒ่าโมแต่กิ้งก่าไฟยังคงอยู่ สิ่งมีชีวิตนี้มีร่างกายใหญ่โต มันสูงเท่าครึ่งตัวของผู้ใหญ่ แม้ว่าลำตัวของมันจะขนานกับพื้นก็ตาม ความยาวจากหัวถึงหางของมัน ยาวอย่างน้อย 60 เซนติเมตร การกระแทกเบา ๆ อาจทำให้บ้านพังได้
มันยิ่งใหญ่และทรงพลังมาก
ขณะที่หลินจินกำลังจะเดินผ่านไป จู่ ๆ ก็เกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาซึ่งทำให้เขาหยุดเดินกะทันหัน
พิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษมีระบบการให้รางวัล การบันทึกสัตว์สัตว์เลี้ยงจำนวนหนึ่งหรือประเมินสัตว์หายากจะทำให้เขาได้รับรางวัลและปลดล็อกความสำเร็จด้วย
เขาได้บันทึกสัตว์วิเศษหลายตัวที่มีสายเลือดที่ซ่อนอยู่ก่อนหน้านี้ หากเขาบันทึกถึงจำนวนหนึ่ง มันก็ต้องมีรางวัลบางอย่างให้เขาเช่นกัน
ดังนั้น เขาจึงต้องไขว่คว้ากับทุกโอกาสที่เข้ามา
จากรูปลักษณ์ของมัน สัตว์วิเศษที่เป็นสัตว์เลี้ยงของผู้เฒ่าโมนั้นเป็นสายพันธุ์หายากและอยู่ในระดับสามเป็นอย่างน้อย ถ้าหลินจินสามารถบันทึกมันลงในพิพิธภัณฑ์ได้ มันจะให้รางวัลของหรือไม่?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้
หลินจินรู้ว่าการที่ผู้เฒ่าโมไม่อยู่นั้นเป็นหน้าต่างแห่งโอกาส ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีโอกาสนี้อีกต่อไป
ดังนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำใจให้สงบและยื่นมือออกไป
'อย่าขยับอย่าขยับ ได้โปรดอย่าขยับ!’ หลินจินสวดอ้อนวอนอย่างเงียบ ๆ หัวของกิ้งก่าไฟตัวนี้ใหญ่เท่าจานข้าว แม้แต่ตอนที่มันกำลังพักผ่อน ออร่าที่น่ากลัวของมันก็รุนแรง หลินจินกลัวว่าสัตว์วิเศษจะตื่นขึ้นมาในทันใดและกัดแขนของเขา
แต่ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่มีทางได้ลูกเสือ ดังนั้น หลินจินจึงเลือกที่จะเอามือวางบนหัวของกิ้งก่าไฟ
ทันใดนั้น ดวงตาของสัตว์วิเศษได้เปิดออก
ออร่าที่แผดเผาพุ่งออกมา ทำให้หลินจินตกใจกลัวและดึงมือของเขากลับมาทันที เขาโค้งคำนับพร้อมกับถามว่า “ผู้อาวุโสโม ท่านอยู่ที่ไหน? แกพอจะทราบมั้ย?” สีหน้าของหลินจินเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ฉายชัดออกมา
โชคดีที่กิ้งก่าไฟไม่ได้ทำอะไรหลินจินแต่มันส่งสายตาที่คุกคามมาที่เขาก่อนที่จะล้มตัวลงนอนและกลับสู่สภาวะหลับใหล
หลินจินที่เห็นอย่างนั้น เขาก็วิ่งออกไปจากที่นี่ทันที ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
“ใครจะไปคิดว่า มันอยู่ในระดับสาม พวกเขาบอกว่าหัวหน้าหวังจีเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งในสมาคม ฉันคิดว่าผู้เฒ่าโมควรจะแข็งแกร่งที่สุด สัตว์เลี้ยงของผู้อาวุโสอีกสองคนอาจไม่สามารถเข้าถึงระดับเดียวกับเขาได้ สัตว์วิเศษระดับสามนั้นช่างมหัศจรรย์จริง ๆ”
หลินจินยังคงเร่งรีบ แม้ว่าความประมาทนี้จะมีความเสี่ยงแต่ก็ให้ผลตอบแทนมากกว่า
กิ้งก่าไฟนี้เป็นสัตว์วิเศษระดับสาม ตัวแรกที่หลินจินได้พบและมีสายเลือดเฉพาะที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ในยุคนี้ที่พลังถูกชั่งน้ำหนักโดยจุดแข็งของสัตว์เลี้ยง ด้วยความคิดนั้นทำให้หลินจินรอไม่ไหวที่จะเพิ่มระดับของเสี่ยวฮั่ว
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินจินปิดประตูและหน้าต่าง เขาหยิบเม็ดยาวิญญาณสุริยาที่กลั่นออกมาแล้วป้อนให้เสี่ยวฮั่ว เขายังยัดผลึกวิญญาณอัคคีเข้าไปในปากของเด็กน้อยพร้อมกับเม็ดยา
แผ่นหินในพิพิธภัณฑ์ระบุไว้ว่าการบริโภคเม็ดยาวิญญาณสุริยาร่วมกับผลึกวิญญาณอัคคีจะช่วยให้เสี่ยวฮั่วบรรลุวิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ สำหรับข้อดีของการเพิ่มระดับแบบสมบูรณ์แบบ หลินจินอ่านและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อยจากแผ่นหินของพิพิธภัณฑ์
วิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบจะทำให้สัตว์วิเศษแข็งแกร่งขึ้น วิธีการวิวัฒนาการอื่น ๆ จะสร้างข้อบกพร่องบางอย่างแต่วิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบจะขจัดข้อบกพร่องพวกนั้นออกไป
นอกจากนี้ มันอาจเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งหมายความว่า มันอาจจะเพิ่มระดับได้ถึงสองเท่า
แน่นอนว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเม็ดยาวิญญาณสุริยาและผลึกวิญญาณอัคคี
หลังจากที่เสี่ยวฮั่วกินเม็ดยา มันก็เกิดปฏิกิริยาทันที
ลูกไฟลุกโชนลุกโชนจากร่างกายของมัน
หลินจินถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อไม่ให้เปลวไฟเผาตัวเขา
จากนั้นเสี่ยวฮั่วก็จมในกองเพลิงที่ห่อหุ้มร่างกายของมัน มันทำให้หลินจินกังวลว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับมัน จากนั้น มีเสียงคำรามแผ่วเบาในกองไฟ ขณะที่เสียงอันคมชัดของกระดูกแตกตามมาด้วยร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น
ขนที่แห้งกรังในตอนแรกของเสี่ยวฮัวลุกไหม้ จากนั้นมันก็เริ่มงอกใหม่ภายในเปลวเพลิง ทำให้ตอนนี้ขนของมันขึ้นใหม่ทั้งหมด