บทที่ 174 ทดสอบแก่นแท้พรสวรรค์ 2
“ไม่แปลกใจที่เจ้าจะได้รับความสนใจมากมายขนาดนี้ ความงามของเจ้าสามารถล่อลวงผู้คนในดอยเทพอาคมได้อย่างง่ายดาย มาดูกันเถอะว่าพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะของเจ้าจะมากมายเหมือนเช่นหน้าตาหรือไม่?”
สิ้นคำกล่าวหานปู้จิ้งโบกมือส่งอักขระเก้าอักษรออกไป ทั้งเก้าอักขระลอยล่องอยู่รอบตัวของเสี่ยวซวง มันหมุนวนราวกับว่ากำลังเจอสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
แต่ในขณะที่ตัวอักขระตัวแรกกำลังเปล่งแสงขึ้นมา จู่ๆพวกมันต้องสิ้นพลังและร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างน่าประหลาดใจ
หานปู้จิ้งที่อยู่ใกล้ที่สุดส่ายหัวอย่าน่าผิดหวัง“หนึ่งแก่นแท้พรสวรรค์หรือนี้ เป็นไปได้อย่างไร!! หนึ่งแก่นแท้พรสวรรค์จะผ่านการทดสอบของเจ้าหนูสายฟ้ากับตาแก่เหล่ามาได้อย่างไรกัน หรือพวกเขาเองหลงในความงามจนเลอะเลือนไปแล้ว”
“หนึ่งแก่แท้พรสวรรค์เองหรือ” หวอสิงถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
“ไม่ว่านางจะมีพรสวรรค์กี่แก่นแท้มันก็ไม่สำคัญ หมู่บ้านสามปีศาจของเรายินดีต้อนรับสตรีที่งดงามเสมอ”
“ถ้าได้นางกลับไปเป็นศิษย์ นายน้อยของพวกเราต้องดีใจแน่ๆ ทีนี้ตำแหน่งของข้าในนิกายหงส์รำพึงจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน”
“ศิษย์พี่แม่หนูคนนี้มีน่าตาที่งดงามเหมาะแก่หอเทียนหิมะของเราเป็นอย่างมากและด้วยหน้าตาเช่นนี้ข้าเชื่อว่าเมื่อนางถูกสอนสั่งโดยหอเทียนหิมะแล้วละก็จะไม่มีบุรุษคนใดในโลกสามารถเก็บความลับได้เมื่ออยู่ต่อหน้านาง”
เหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายและสำนักต่างๆเริ่มที่จะซุบซิบกัน แม้ว่าความงดงามของเสี่ยวซวงจะเป็นที่ประจักษ์แต่ทว่ามันกลับถูกกลบเกลื่อนด้วยผลของการทดสอบอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่านางจะงดงามเพียงใดแต่เมื่ออยู่ในโลกแห่งการบ่มเพาะแล้วนางไม่มีทางจะเป็นจักรพรรดินีหรือวีระสตรีได้เลย
สิ่งเดียวที่รอผู้หญิงที่มีเพียงหนึ่งแก่นแท้พรสวรรค์อยู่ก็คือของเล่นบนเตียงของเหล่าอัจฉริยะบุรุษในโลกเหล้าเท่านั้น
และสำนักหรือนิกายที่เหมาะสมกับนางคงจะหนีไม่พ้นเหล่าสำนักที่ใช้ความงดงามและเรือนร่างมากกว่ากระบี่หรือศาสตราวุธเข้าฟาดฟัน
“คนสุดท้าย ซือหม่า?? ช่างเป็นชื่อที่แปลกจริงๆ เจ้ายังไม่รีบออกมาอีกหรือซือหม่า หนิงเทียน” หานปู้จิ้งตะโกนเรียก
หนิงเทียนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มันรู้ว่าการทดสอบที่มันไม่ต้องการจะทดสอบในที่สุดก็มาถึงแล้ว
มันได้แต่หวังว่าการแสดงออกในการทดสอบสองรอบแรกจะช่วยกลบเกลื่อนการมีหนึ่งแก่นแท้พรสวรรค์ได้ ไม่เช่นนั้นตัวมันจะต้องลำบากระเหิดระเหินออกไปหาสำนักใหม่อย่างแน่นอน
จากนั้นหนิงเทียนเลิกคิดถึงมันก่อนจะก้าวเดินออกไปหยุดอยู่เบื้องหน้าปู้หานจิ้ง พร้อมกันนั้นหานปู้จิ้งไม่รีรอมันรีบสะบัดมือส่งอักขระเก้าอักษรไปยังร่างของหนิงเทียน
เพียงไม่ถึงสามลมหายใจ ภาพที่เคยปรากฏเมื่อครู่ได้ปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้ง แสงของทั้งเก้าตัวอักษรวูบหายและล่วงหล่นสู่พื้นดิน
แต่ทว่าในครั้งนี้มันต่างจากครั้งของเสี่ยวซวงที่มีหน้าตาคอยช่วยเหลือมากนักและก็ไม่ผิดจากที่หนิงเทียนคิดไว้ก่อน เมื่อผลการทดสอบของมันออกมาเสียงก่นด่าอย่างล้นหลามประโคมเข้าหาประดุจพายุฝนที่กระหน่ำซัดสาด
“ที่แท้ก็เป็นขยะ” เจี่ยซูยิ้มออกเมื่อมองไปยังหนิงเทียน ตลอดเวลามันถูกกดดันจากฝ่ามือราตรีแห่งมารที่หนิงเทียนแสดงออกมา แต่ทว่าการทดสอบครั้งนี้เหมือนเป็นการยกภูเขาใหญ่ออกจากอกของมัน
หวอสิงมองไปยังหนิงเทียนก่อนจะปลายตามองไปยังเลี่ยหรงที่มุมมืดและมองไปยังเหล่าซีที่ยืนรวมกับกลุ่มผู้เยาว์อยู่ จากนั้นมันส่งเสียงผ่านลมปราณออกไป
“พวกเจ้าทั้งสองทำบ้าอะไรกัน เด็กที่ชื่ออู๋ซวงข้ายังพอเข้าใจได้แต่ทว่าเด็กหนุ่มคนนี้พวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่ถึงได้ให้เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์เพียงหนึ่งแก่นแท้ผ่านการทดสอบมาได้”
เลี่ยหรงได้ยินเช่นนั้น มันรีบกล่าวตอบตามนิสัยของมัน “ประมุขท่านฟังข้าก่อน”
“ใช่ ข้าก็มีเหตุผลของข้า ถ้าท่านประ.....” ขณะเหล่าซีกำลังอธิบายออกแต่มันต้องหยุดคำพูดลงเมื่อเห็นสัญญาณมือของหวอสิง
“พอแล้วพวกเจ้าไม่ต้องกล่าวแก้ตัวอะไรทั้งสิน ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเจ้าควรจะรู้ถึงความสำคัญของแก่นแท้พรสวรรค์ให้มากกว่านี้
เวลานี้ข้าคงจะต้องหาคำตอบที่พอใจให้พวกเขาทั้งแปดก่อนไม่เช่นนั้นจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอนและเมื่อสิ้นการทดสอบแล้วข้าจะพิจารณาพวกเจ้าทั้งสองคนอีกครั้ง”
“รอบสุดท้าย มีหนึ่งแก่นแท้พรสวรรค์สองคน ฮ่าๆ ข้านับถือดอยเทพอาคมของพี่หวอจริงๆพวกท่านไม่ได้ตัดสินคนจากแก่นแท้พรสวรรค์นับถือนับถือ”
ซ่งไกว้เยี่ยนที่นั่งชมอยู่เงียบๆกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ คำพูดที่มันเปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยอาการขบขัน
“ประมุขหวอ นี้หมายความว่าอย่างไร??? พวกท่านคิดจะให้นิกายตามารของเราเลือกขยะที่มีเพียงหนึ่งแก่นแท้สวรรค์ใช่หรือไม่”เสียงดังออกมาจากที่นั่งของนิกายตามาร
“ถ้าข้าคาดไม่ผิด ประมุขหวอคงจะใช้สิทธิ์การเป็นเจ้าบ้าน นำสามคนที่มีห้าแก่นแท้พรสวรรค์เข้าดอยเทพอาคมและเหลือสี่คนให้พวกเราทั้งแปดแย่งกันถูกหรือไม่” บุรุษหนุ่มผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกสลักด้วยคำว่าหมู่บ้านสายน้ำกล่าวขึ้นมา
“ประมุขหวอหวังว่าท่านจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับคฤหาสน์เซียนหยูของเราด้วย”
เหล่านิกายและสำนักทั้งแปดเริ่มที่จะเคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่า เจ็ดคนที่เหลือมีขยะหนึ่งแก่นแท้สองคน ไม่เท่ากับว่าพวกมันเหลือตัวเลือกเพียงห้าคนหรอกหรือแล้วถ้าเป็นอย่างที่หมู่บ้านสายน้ำกล่าวมา
จะเหลือเพียงสองคนให้นิกายทั้งแปดต้องแย่งกัน นี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันทั้งหมดจะรับได้เด็ดขาด
หวอสิงได้ยินเช่นนั้นดวงตาของมันหรี่เล็กลงก่อนจะปั้นหน้ายิ้มออกและกล่าวขึ้น
“พวกท่านทั้งแปดสำนักใจเย็นๆก่อน การทดสอบของดอยเทพอาคมยังไม่จบลง พวกเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันหลังจบการทดสอบสุดท้าย การทดสอบพลังจิตวิญญาณเถอะ”
หวอสิงส่งเสียงผ่านลมปราณออกไปให้เฮาหราน “ไปตามผู้อาวุโสที่หนึ่งและผู้อาวุโสที่สองมา”
จากนั้นมันหันมองไปยังเหล่าซีและเลี่ยหรง “พวกเจ้าทั้งสองก็ออกไปด้วย การทดสอบจิตวิญญาณครั้งนี้เราจะใช้ตัวตนระดับสูงทั้งหมดเพื่อแสดงให้คนพวกนี้สำนึกถึงฐานะของตัวเองว่าอย่างพวกมันไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรกับดอยเทพอาคมทั้งนั้น
และพวกเราจะแสดงความแข็งแกร่งให้ขุนเขาโลหิตได้ชมด้วย ข้าละเกลียดรอยยิ้มของซ่งไกว้เยียนที่เหมือนกับกำลังเหยียดหยามพวกเราเต็มทนแล้ว”
เฮาหรานได้ยินเช่นนั้นมันรีบกล่าวขึ้นมา “ประมุขถ้าท่านใช้ทั้งสี่คนนี้ละก็ เด็กพวกนี้อาจจะถึงตายได้”
“ไม่ใช่สี่แต่เป็นห้า การทดสอบรอบสุดท้ายข้าจะออกไปทดสอบพวกมันด้วยตัวเอง” หวอสิงกล่าวขึ้นพร้อมกับลุกยืนจากที่นั่ง...
เพียงแค่การตบเท้าเบาๆลงกับพื้นร่างของหวอสิงสลายหายไป ชั่วลมหายใจเดียว ร่างของประมุขแห่งดอยเทพอาคมมาปรากฏหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ารุ่นเยาว์ทั้งเจ็ด
จากนั้นมันส่งเสียงออกอีกครั้ง “พวกเจ้าสองคนไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง??”
“เฮ้อ...ตาแก่ใจร้อนจริงๆ” เลี่ยหรงพึมพำเล็กน้อยก่อนจะพุ่งตัวดุจเส้นสายฟ้า เปรี้ยง!!! สายฟ้าสีแดงฟาดลงข้างกายของหวอสิงเผยร่างของเลี่ยหรงให้ประจักษ์แก่สายตาทุกคู่
“เอาจริงหรือนี้!!” เหล่าซีมองไปยังเลี่ยหรงและประมุขของมันก่อนจะเปิดปากขึ้นเบาๆให้รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดได้ยินอย่างชัดถ้อย
“พวกเจ้าทั้งเจ็ดคนอย่าได้ฝืนตัวเองเด็ดขาด บางครั้งการยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตก็เป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะทุกคนจะต้องเผชิญกับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้นการที่พวกเจ้าได้เรียนรู้มันเสียตั้งแต่ยังเด็กอาจจะเป็นการดีกับตัวเองก็ได้” กล่าวจบร่างของเหล่าซีทะยานออกไปหยุดยืนด้านหลังของหวอสิง
ทั้งสามคนนี้คือตัวตนระดับแนวหน้าของดอยเทพอาคมและยังเป็นกำลังรบที่สำคัญอีกด้วย ขณะที่ทั้งสามคนกำลังยืนอยู่เบื้องหน้ารุ่นเยาว์
เสียงของสายลมหวีดร้องผ่านอากาศออกมา มันปรากฏเป็นร่างของบุรุษหนุ่มที่มีคิ้วเรียวยาวประดุจกระบี่ ใบหน้าขาวสะอาด ริมฝีปากโค้งงามคล้ายสตรี สวมใส่ชุดคลุมยาวในสภาพหลุด
ทว่าใบหน้าของมันนั้นเมื่อมององค์รวมแล้วจะเห็นถึงความเย่อหยิ่งผ่านออกมาจากแววตา ที่ด้านข้างของมันสตรีที่งดงามเดินตีคู่มาด้วย
ทันใดนั้นเหมือนว่าบุรุษผู้นี้จะเห็นว่าทุกสายตาถูกย้ายมายังตัวมัน มันได้ใช้สองมือขยับร่างของสตรีนางนั้นเข้ามาสู่อ้อมอก
จากนั้นมันยกยิ้มที่เปี่ยมด้วยตัณหาออกมา และใช้มือข้างขวาของมันลูบไล้ไปยังเนินอกของสตรีนางนั้นอย่างไม่อายสายตาของผู้คน ที่ยิ่งกว่านั้นคือมันใช้สองมือบีบขยำหน้าอกราวกับว่าบนโลกใบนี้มีเพียงตัวมันกับสตรีผู้นี้เท่านั้น
ภายใต้การเค้นคลึงของบุรุษ สตรีนางนี้ได้ส่งเสียงร้องอันเย้ายวนออกมา “พี่อัง ท่านอย่าพึ่งใจร้อน ข้านั้นพร้อมจะปรนนิบัติท่านทั้งคืนแต่ทว่าวันนี้ที่ข้าต้องการมายังลานเสมอเมฆเพียงเพราะต้องการเห็นหน้าสารเลวตัวหนึ่งเท่านั้น”
“สารเลวตัวไหนกันที่ทำให้น้องมู่ชิงของพี่ต้องโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้” บุรุษเสเพลที่ถูกเรียกว่าพี่อังเปิดปากกล่าวถามขึ้นมาแต่ทว่านางนั้นยังไม่ได้กล่าวตอบอะไรออกมา
เสียงคำรามของหวอสิงได้ดังขึ้นแทน “อังเอ๋อ เจ้าอย่าได้ทำตัวเหลวไหล เวลานี้พวกเรามีแขกเหรื่ออยู่มาก อย่าได้แสดงกิริยาอันใดที่ไม่ควรออกมา”
ด้วยคำเรียกของหวอสิงทำให้ผู้ที่ไม่เคยรู้จักบุรุษผู้นี้มาก่อนรู้ถึงตัวตนของมัน มันคือบุตรชายคนเดียวของประมุขแห่งดอยเทพอาคมหวออัง
ได้ยินเช่นนั้นมือที่อยู่ใต้เสื้อผ้าของมู่ชิงถูกดึงออกมาทันที “ท่านพ่อเรื่องราวพวกนี้เป็นเรื่องของหนุ่มสาว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอันใดนักหรอก ว่าแต่ลมอะไรหอบท่านพ่อลงไปในลานเสมอเมฆได้
เท่านั้นไม่พอยังมีพี่เลี่ยและท่านอาเหล่าอีก หืมดูเหมือนว่าผู้อาวุโสหนึ่งและสองก็ด้วยสิน่ะ”
สิ้นคำกล่าวของหวออังร่างของชายชราชุดขาวปรากฎตัวคล้ายภูตผีอยู่ด้านหน้าของเลี่ยหรง พร้อมๆกันนั้นสายลมโดยรอบหมุนวนคล้ายพายุขนาดเล็กก่อเป็นร่างของชายชราในชุดสีฟ้า
หวอสิงมองไปยังชายชราในชุดขาว “ผู้อาวุโสที่หนึ่ง” จากนั้นมันปลายตามองไปยังชายชราในชุดสีฟ้า “ผู้อาวุโสที่สอง การทดสอบหารุ่นเยาว์เข้าสู่ดอยเทพอาคมของเราต้องลำบากพวกท่านทั้งสองแล้ว”
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องแสดงพลังออกมาให้แขกจากสำนักอื่นได้รับชมสินะ”ชายชราชุดฟ้ากล่าวออกมาด้วยแววตาหรี่ลง
“ดูเหมือนข้าจะเห็นสหายซ่งจากขุนเขาโลหิตด้วย” ชายชราชุดขาวกล่าวออกด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ซ่งไกว้เยี่ยนที่เคยมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเริ่มที่จะหุบยิ้มลงเมื่อมองไปยังผู้อาวุโสทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังของหวอสิง
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ ดอยเทพอาคมของพวกเจ้าถึงกับมีตัวตนระดับราชันทรราชถึงห้าคน คงคิดจะแสดงพละกำลังหมายให้นิกายอื่นๆหุบปากลงสินะ
แต่ว่าห้าคนเชียวหรือ!! ถ้าเป็นเช่นนั้นมันคงจะเป็นเรื่องของเวลาแล้วที่ดอยเทพอาคมจะเลื่อนขึ้นมาอยู่ในระดับซานเทียนโหลว(บันไดสวรรค์ขั้น3)”
...
“ได้เวลาแล้ว ข้าในฐานะประมุขแห่งดอยเทพอาคมจะเป็นผู้คุมการทดสอบจิตวิญญาณ ผู้ที่มีจิตวิญญาณเข้มแข็งและสามารถทนแรงกดดันได้เกิน100ลมหายใจ มันผู้นั้นจะมีสิทธิ์เข้าร่วมดอยเทพอาคมของเรา”
หวอสิงเปิดปากออกคำสั่ง พร้อมกับเสียงกล่าวนั้น ร่างของอาวุโสทั้งสี่ทะยานออกไปล้อมรอบผู้เยาว์ทั้งเจ็ดคนไว้
“ก่อนจะเริ่มการทดสองข้าจะเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าใครไม่สามารถทนมันได้อย่าฝืนตัวเองเด็ดขาด พวกเจ้าจงศิโรราบลงแนบพื้น เมื่อนั้นจะมีคนมานำตัวพวกเจ้าออกไปเอง”
สิ้นคำกล่าวหวอสิงส่งเสียงผ่านลมปราณให้ทั้งสี่ลงมือ
ทันใดนั้นเองพลังบ่มเพาะของทั้งห้าคนไหลทะลักออกมาจากร่างพลังในระดับราชันทรราชทั้งห้าสายพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
จนบังเกิดเสียงคำรามร้องอย่าไม่หยุด ท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวมืดแสงลงในทันที สายฟ้า เปลวไฟ ลมพายุ หยาดวารี และแท่งพสุธา พลังทั้งห้าธาตุจากห้าคนของดอยเทพอาคมค่อยๆหลอมรวมเข้าด้วยกัน
จากนั้นหวอสิงยกสองมือขึ้นฟ้า มันวาดมือควบคุมพลังงานเป็นวงกลม ก่อนจะพลักมันออกไปอยู่เหนือศีรษะของกลุ่มผู้เยาว์ทั้งเจ็ด ทันใดนั้นเองแรงกดดันและพลังงานอันมากล้นของตัวตนระดับราชันถาโถมเข้าสู่ร่างทั้งเจ็ดทันที
และเมื่อทั้งเจ็ดถูกพลังงานกดดันที่หวอสิงส่งออกมา ร่างของผู้เยาว์เริ่มที่จะมีอาการสั่นและผิดแปลกออกไป
ในวลาเดียวกันนั้นสองขาของหนิงเทียนคล้ายกับว่าถูกผูกติดด้วยลูกตุ้มน้ำหนักขนาดใหญ่ ศีรษะและหลังของมันราวกับว่ากำลังถูกกดทับจากวัตถุล่องหนนับพันๆตัน
“พลังกดดันระดับนี้ พลังในดินแดนราชันย์” ขณะที่หนิงเทียนกัดฟันและกำลังครุ่นคิดถึง
จู่ๆสองขาของมันค่อยๆงอลง มันปรายสายตาไปยังรอบๆ มันพบว่าเพียงไม่ถึงสิบลมหายใจร่างของหมิงเจี้ยนนอนราบไปกับพื้นเป็นคนแรก
แขนและขาของมันกางออก รอยอาเจียนสีเลือดเปอะเปือนไปยังพื้นดินเบื้องล่าง พร้อมกันนั้นร่างของหานปู้จิ้งพุ่งตัวออกและแบกร่างของหมิงเจี้ยนให้พ้นจากรัศมีพลังในระดับราชันย์ทันที...