บทที่ 144 พิสูจน์สายเลือด
หนิงเทียนได้ยินเช่นนั้นมุมปากของมันกระตุกเป็นจังหวะด้วยความโกรธ มันไม่เคยเจอใครที่หน้าหนาเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ก่อนที่มันจะได้กล่าวอะไรออกมา
คำพูดของมู่ซวนเฟิงนั้นก็เป็นดังไฟที่ลามท่วมทุ่งไปแล้ว คำพูดของมันได้ผลเป็นอย่างดีกับพวกหัวอ่อนที่โดนคนอื่นจูงจมูกได้ง่าย เวลานี้ผู้ชมบางส่วนต่างฟังและคิดตามอย่างกันโดยไม่คำนึงถึงเหตุผล
“ใช่เด็กหนุ่มนั้นเป็นมนุษย์หรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นข้าก็ไม่มีทางยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับปีศาจร้ายหรอก”
“ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล ลองคิดสิว่าจะมีเด็กคนไหนอีกที่มีอายุเท่านี้และโหดเหี้ยมเท่ามัน”
“ตอนที่ข้าอายุเพียงเท่ามัน ยังไม่กล้าที่จะสังหารคนด้วยซ้ำและถ้าวันดีคืนดีมันเกิดคลุ้มคลั่งและลุกขึ้นมาสังหารเมียตัวเองละจะว่าอย่างไร??”
“ใช่แล้วเป็นข้าก็ไม่ยอมให้บุตรสาวต้องนอนข้างกายปีศาจร้ายทุกค่ำคืนหรอก”
“ถูกต้อง ถูกต้อง ข้าเห็นด้วย”
“ข้าก็เห็นด้วย .....ข้าด้วย” เสียงของผู้ชมกว่าครึ่งเห็นด้วยกับคำกล่าวของมู่ซวนเฟิงนับว่ามู่ซวนเฟิงนั้นเป็นนักพูดที่ดีคนหนึ่ง มันเลือกที่จะดึงคนส่วนมากให้คล้อยตามมันแทนที่จะโจมตีโดยตรงแก่หนิงเทียน
เมื่อเสียงของผู้ชมต่างถาโถมเข้าหาหนิงเทียน ใบหน้าของหนิงเทียนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา มันกวาดสายตาไปยังผู้ชมทั้งหมดและตวาดออกด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยจิตสังหาร
“เจ้าพวกโง่ มีสิทธิ์อันใดมาวิจารณ์ตัวข้า พวกเจ้าไม่แม้แต่จะมีความคิดเป็นของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แค่เพียงถูกเป่าหูสองสามประโยคกลับคล้อยตามโดยไม่ใช่สมองไตร่ตรอง
พวกเจ้าไม่รู้กันหรือว่า การต่อสู้ มีแค่คำว่าฆ่าเขากับถูกเขาฆ่าเท่านั้น ตัวโง่เง่าเช่นพวกเจ้าอยู่ไปก็หนักแผ่นดินแล้ว”
กล่าวจบหนิงเทียนหันไปสั่งการแก่จินเหล่าต้า “เหล่าต้าถ้าใครกล้าเอ่ยปากเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง จงให้พวกมันได้ชิมลูกแก้วสวรรค์คำรามของเจ้าหน่อย พวกหน้าโง่เหล่านี้จะได้หุบปากเสียที”
จินเหล่าต้ายกยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้าย จากนั้นมันนำลูกแก้วสวรรค์คำรามออกมาจากแหวนมิติสามลูก พร้อมตะโกนออกมาว่า
“ใคร ใครต้องการลิ้มรสชาติลูกแก้วสวรรค์คำรามของข้า จงเปิดปากออกมาเลย เจ้าหรือ หรือว่าเจ้า เป็นเจ้า...” จินเหล่าต้าชี้ไม้ชี้มือไปทางคนโน้นทีคนนี้ที
บางครั้งด้วยความขี้เล่นของมัน ลูกแก้วสวรรค์คำรามเกือบจะกระเด็นหลุดมือไปยังที่นั่งผู้ชมสองถึงสามครั้ง เวลานี้คำพูดที่เคยกล่าววิจารณ์ความบ้าเลือดของหนิงเทียนกลับเงียบเป็นเป่าสาก
จากนั้นหนิงเทียนปลายตามองไปยังมู่ซวนเฟิง พร้อมกล่าวต่อไปว่า “เจ้าไม่ได้แม้แต่จะเป็นบิดาของนางด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนนาง?”
“หึ หนุ่มน้อย ข้าได้บอกไปแล้วว่าข้านั้นแม้จะไม่ใช่บิดาแท้ๆแต่ก็เป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของนาง การที่นางจะตัดสินใจออกเรือนกับผู้ใด ข้าต้องค่อยสอดส่องให้ถี่ถ้วนเป็นธรรมดา” รอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของมู่ซวนเฟิง
“ถูกต้อง พ่อบุญธรรมของข้าเป็นผู้นำตระกูลมู่ อีกทั้งยังเป็นสายเลือดที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของน้องเสวี่ยเอ๋ออีกด้วย แค่สองอย่างนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ท่านมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ”
มู่ผวนที่นั่งเงียบอยู่ตลอดโพ่งออกมา มันนั้นหลงใหลในความงามของมู่เสวี่ยมาตลอดและนี้ก็เป็นโอกาสดีที่สุด
มันนั้นพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อที่จะได้เข้าร่วมนิกายหอกโลหิตและวันนี้ผลตอบแทนแห่งความพยายามของมันกำลังสำริดผล เหตุใดมันจะยอมให้คนนอกมาทำลายได้
หนิงเทียนไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าของผู้พูดด้วยซ้ำ สายตาของมันยังมองไปที่มู่ซวนเฟิงด้วยแววตาดูถูก
“สายเลือดที่เหลืออยู่?? ช่างน่าขันที่สุด มู่ซวนเฟิงเจ้ากล้าบอกได้เต็มปากหรือไม่ว่า เจ้านั้นเป็นคนของตระกูลมู่ เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายเป็นของตระกูลมู่”
ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของมู่ซวนเฟิงหรี่แคบลง ความจริงที่ว่ามันเป็นเพียงบุตรบุญธรรมที่ถูกเก็บมาเลี้ยงจากผู้อาวุโสคนก่อนนั้นมีเพียงแต่ตัวมันเท่านั้นที่รู้
แต่การที่เจ้าเด็กหนิงเทียนมาเปล่าประกาศด้วยใบหน้าที่มั่นใจเช่นนี้ หรือว่า....มันจะรู้อะไรบางอย่างมา
แม้ภายในใจของมันกำลังสับสนแต่ใบหน้าของมันยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มมันกล่าวออกมาว่า “แน่นอน ข้ามู่ซวนเฟิงเกิดมาเป็นคนของตระกูลมู่ ตายก็เป็นผีตระกูลมู่”
คำกล่าวของมู่ซวนเฟิงนั้นทำให้หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าช่างเป็นคนตลกจริงๆนะ หรงซวนเฟิง” สิ้นเสียงเรียกนั้นมันตะโกนออกเสียงดัง
“เจ้าออกมาได้แล้วอวี้กุ้ย”
ทันทีที่หนิงเทียนสั่งออก เงามืดสีดำปรากฏตัวอยู่ข้างกายของหนิงเทียน
พร้อมกับร่างของชายชราผู้หนึ่งผมของมันขาวโพลนไปทั้งศีรษะเนื้อตัวสกปรกมอมแม่มไม่ต่างจากพวกยาจกตามท้องถนน
จากเดิมร่างที่เคยสง่างามบัดนี้มีเพียงแต่ตัวตนที่คุ้นเคยเท่านั้นที่สามารถบอกได้ ชายชราผมขาวโพลนผู้นี้คือดาบเคลื่อนเมฆา หรงเจาจื่อ
“นั้นมันปีศาจแซ่อวี้ แล้วนั้นหรือว่าจะเป็น หะ..หรงเจาจื่อหรือ!!???”ฉางเหล่ยกลาวออกมาด้วยดวงตาหรี่ลง รอยยิ้มจางปรากฎบนใบหน้าของมัน
ฉางเหล่ยรู้สึกได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องบางอย่างกับตระกูลมู่แล้วเรื่องที่ว่านั้นจะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
เมื่อมู่ซวนเฟิงมองเห็นชายผมขาว ใบหน้าของมันฉายแววตกตะลึงออกมา ปากของมันพึมพำออกไม่หยุด “ปะ..เป็นไปได้อย่างไร!!! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!!!”
แม้ใบหน้าของหรงเจาจื่อจะมอมแมมสกปรก แต่มันก็มีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับมู่ซวนเฟิงอยู่ถึง8ใน10ส่วน ถ้าจะกล่าวว่ามู่ซวนเฟิงนั้นเกิดมาพร้อมใบหน้าที่คล้ายบิดาก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลยไป
“นั้นๆ เหตุใดผู้นำตระกูลมู่ถึงได้มีใบหน้าคล้ายขอทานผู้นั้นขนาดนี้”
“เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กนั้นเรียกผู้นำมู่ ว่า หรงซวนเฟิงไม่ใช่หรือ แซ่หรง??หรือจะเกี่ยวข้องกับนิกายเคลื่อนเมฆา”
“ต้องเกี่ยวแน่นอนเจ้าตาบอดอยู่หรือไง บุรุษที่ยืนข้างเด็กหนุ่มนั้นคือปีศาจแซ่อวี้ อวี้กุ้ยแห่งนิกายเคลื่อนเมฆา”
เวลาเดียวกันกับเสียงของฝูงชนที่กำลังฮือฮา อวี้กุ้ยโค้งศีรษะลงจนแทบถึงเอว พร้อมกล่าวออก“ข้าอภัยคุณชาย ข้าได้รับคำสั่งจากท่านราชันแห่งพิษให้นำตัวหรงเจาจื่อมามอบให้แก่ท่านที่เมืองฉางผิง”
อวี้กุ้ยนั้นอาจจะเป็นเพียงคนเดียวในนิกายเคลื่อนเมฆาที่ไม่รู้จักตัวตนของหนิงเทียน ว่าท่านหมอที่มันนับถือนั้นเป็นคนๆเดียวกัน
แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะตัวมันได้เร่งร้อนรีบออกเดินทางข้ามวันข้ามคืนเพื่อที่จะมาให้ถึงเมืองฉางผิงภายใน3วัน
หนิงเทียนพยักหน้าช้า มันมองไปยังมู่ซวนเฟิงพร้อมกล่าวออกไปว่า “เอาล่ะ หรงซวนเฟิง บิดาของเจ้าอยู่ต่อหน้าแล้ว เจ้ายังกล้าที่จะบอกว่าตัวเองมีสายเลือดตระกูลมู่อีกหรือไม่??”
คำกล่าวของหนิงเทียนทำให้ใบหน้าของมู่ซวนเฟิงแข็งค้างไปทันที “มันรู้ได้อย่างไรกัน??” คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของมันซ้ำๆอย่างไม่หยุดหย่อน
เวลานี้ทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบเสียงเพื่อรอคำตอบที่กำลังออกจากปากของมู่ซวนเฟิง
“คุณชายหนิง ท่านกำลังกล่าววาจาให้ทุกคนเข้าใจตัวข้าผิด ท่านต้องการอะไรกันแน่??”มู่ซวนเฟินฝืนยิ้มและกล่าวออกมาด้วยท่าทีเป็นปกติ
“ดีมาก ถ้าเจ้ายอมรับง่ายๆมันคงจะน่าเบื่อแย่”หนิงเทียนกล่าวตอบมาพร้อมเอ่ยเรียกอวี้กุ้ย “ไปจับตัวมู่ซวนเฟิงมาให้ข้า ข้าจะให้ทำให้มันยอมรับกับปากต่อหน้าทุกๆคน”
หนิงเทียนนั้นคาดการไว้แล้วว่าเพียงแค่หรงเจาจื่อคงยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนอย่างมู่ซวนเฟิงยอมรับได้ คนอย่างมันสามารถทอดทิ้งบิดาเพื่อทางรอดของตัวเองได้
วิธีที่จะทำให้คนประเภทนี้เปิดปากพูดความจริงได้คงจะมีแต่ความทรมานยิ่งกว่าตายเท่านั้น
อวี้กุ้ยโค้งศีรษะรับจากนั้นมันกลายเป็นหมอกสีดำพุ่งตัวขึ้นไปยังที่นั่งตระกูลมู่
“บังอาจยิ่งนัก เจ้าที่ไม่มีหลักฐานแต่กล้าลงมือโดยไม่เกรงกลัวกฎบ้านเช่นนี้ ข้ายอมรับไม่ได้เด็ดขาด”บุรุษที่นั่งอยู่ข้างถงจื่อโหยวกล่าวออก
สิ้นเสียงนั้น ร่างของมันพุ่งตัวไปขวางเส้นทางลอยของหมอกสีดำ พร้อมกันนั้นมันสะบัดมือสร้างลมออกมาสลายหมอกสีดำ
ปัง!!! ทันทีที่ลมเข้าปะทะกับหมอกสีดำ ร่างของอวี้กุ้ยล่วงหล่นลงมากระแทกกับพื้นดินด้านล่างพร้อมกับกระอักเลือดกองโตออกมา มันมองไปยังบุรุษที่ทำร้ายมันด้วยใบหน้าซีดขาว
“เพียงแค่การสะบัดมือครั้งเดียว สามารถเอาชนะปีศาจแซ่อวี้ ได้อย่างง่ายดายคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่”
“ข้าเห็นมันนั่งอยู่ด้านข้างหูทิพย์ ถงจื่อโหยว เช่นนั้นมันสมควรจะเป็นคนของนิกายหอกโลหิต” ทุกคนล้วนสงสัยในตัวตนของผู้ที่สอดมือเข้ามายุ่งครั้งนี้
“แม่นางหยูหยู สมาคมการค้าจ้าวสมุทรของท่าน มีข้อมูลบุรุษผู้นี้หรือไม่?”จินเหล่าต้ากล่าวถามด้วยสายตาที่หรี่ลง
“แน่นอนพวกเรามี มันถ้าคุณชายจินต้องการ หยูหยูจะคิดราคาเพียงแค่1หยกนิล”หยูหยูกล่าวตอบโดยเร็ว
“หยูหยู อย่าได้เสียมารยาท เพียงแค่ข้อมูลเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งตัวตนของบุรุษผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับอันใด
ตัวตนระดับสูงส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่รู้จัก หอกคู่ เมี่ยวซิน ว่าที่ประมุขคนต่อไปของนิกายหอกโลหิต และยังเป็นบุตรชายแท้ๆของเจ้านิกายหอกโลหิตอีกด้วย” หยูหยินกล่าวเตือนน้องของนางพร้อมอธิบายออกให้จินเหล่าต้าได้ฟัง
“ตะ...ตัวตนระดับนั้นมาที่นี้ได้อย่างไรกัน!!!” ได้ยินคำบอกเล่าของหยูหยิน ใบหน้าของจินเหล่าต้าดำมืดลง
บัดนี้มันนั้นเข้าใจถึงคำกล่าวที่หนิงเทียนบอกก่อนจะเข้าร่วมงานประลองได้แล้ว ว่าศัตรูที่น่ากลัวของพวกมันไม่ใช่มู่ซวนเฟิง แต่เป็นผู้คนที่มาเข้าร่วมประลองมากกว่า
หนิงเทียนมองไปยังเมี่ยวซินด้วยสายตาดำมืด ปากของมันเปิดออกและตวาดลั่นไปว่า “ถ้าเจ้าไม่ได้มีแซ่ หรงหรือมู่ก็อย่าได้สอดมือเข้ามายุ่ง
การที่เจ้ามีนิกายใหญ่หนุนหลังหรือมีแซ่ที่ดีกว่าผู้อื่น นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า จุดจบของเจ้าจะแตกต่างจากผู้อื่น”
“บัดซบ!!! เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังพูดกับใครอยู่ แค่เพียงมีอำนาจในพื้นที่รอบนอกเข้าหน่อยกลับกล้ากล่าววาจาสั่งสอนตัวข้า หาที่ตายแล้ว” เมี่ยวซินกล่าวออกด้วยโทสะ
ตัวตนของพวกมันในพื้นที่รอบนอกสามเมืองใหญ่นั้นคล้ายกับเทพเซียนที่ทุกคนต้องเคารพ แต่บัดนี้มันกลับถูกดูหมิ่นด้วยฝีปากของมดตัวเล็กๆ จะทำให้มันทนความอัปยศได้อย่างไร
ขณะที่เมี่ยวซินตัดสินใจจะมอบความตายให้แก่หนิงเทียน เสียงของถงจื่อโหยวดังขึ้นมา
“ศิษย์น้อง เจ้าอย่าพึ่งมีโทสะไป เรื่องนี้ความจริงก็ไม่ผิดไปจากที่เด็กนั้นพูดมาคือมันเป็นเรื่องพิพาทระหว่างตระกูลมู่และตระกูลหรง พวกเรานั้นเป็นเพียงคนนอกไม่มีเหตุสมควรให้เราเข้าไปก้าวก่าย”
ถงจื่อโหยวหยุดกล่าวเพียงเท่านี้ จากนั้นมันมองตรงไปยังหนิงเทียน พร้อมกล่าวต่อไปว่า “เด็กน้อย ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าเองก็มีแซ่ว่าซือหม่าไม่ใช่จะมีแซ่มู่หรือหรงเสียหน่อย เหตุใดเจ้าถึงเข้าไปยุ่งยามในเรื่องของตระกูลผู้อื่นได้เล่า”
จากคำกล่าวนั้น มันทำให้คิ้วของหนิงเทียนเคลื่อนเข้าหากัน ถงจื่อโหยวผู้นี้ไม่เลวเลย นอกจากพลังแล้วนางยังเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา นางกำลังใช้คำพูดของข้าเพื่อที่จะย้อนกลับมาเล่นงานตัวข้า
ในขณะที่ถงจื่อโหยวและหนิงเทียนกำลังปะทะกันทางสายตาอยู่นั้น เสียงใสกังวาลของมู่เสวี่ยได้เปิดปากออกเป็นครั้งแรก
“ข้าขอขอบคุณในความปรารถนาดีของคุณชายหนิงเทียน แต่ทว่าก็เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสถงกล่าวมา นี้เป็นเรื่องภายในของตระกูลมู่เรา ตัวข้าจะเป็นคนสะส่างมันเอง”
เมื่อมู่เสวี่ยกล่าวจบ มันปลายตามองไปยังเฉิงฮ่าวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยแววตาเศร้าโศก การลุกขึ้นและกล่าวออกครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดสำหรับนางเลยก็ว่าได้
ถ้านางไม่เปิดปากแสดงความเข้มแข็งออกมาตระกูลมู่ของนางคงจะหนีไม่พ้นกับความวิบัติ แต่ถ้านางเปิดปากส่งเสียงออกมาพ่อบ้านเฉิงที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของมู่ซวนเฟิงก็คงจะหนีไม่พ้นความตาย
“ท่านลุงเฉิงข้าขอโทษด้วย” มู่เสวี่ยมองไปยังเฉิงฮ่าวด้วยดวงตาที่แดงกร่ำ จากนั้นนางเปล่งเสียงดังขึ้นมา “ข้อกล่าวหาที่ว่าผู้นำคนปัจจุบันจะมีสายเลือดของตระกูลมู่หรือไม่นั้น แน่นอนว่าพวกเราต้องพิสูจน์และข้าขอให้ทุกท่านในที่แห่งนี้เป็นพยาน”
มู่ซวนเฟิงหรี่ตาลงอย่าดุร้ายมันกล่าวออกด้วยเสียงเย็น“เป็นเจ้าที่ไม่ฟังคำเตือนของข้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่า ลุงโหดร้ายกับเจ้า”
“ลุง?? ท่านไม่ใช่ลุงของข้า พวกเราไม่มีความเกี่ยวพันธ์กันเลยแม้แต่น้อยและท่านจงจำเอาไว้ ถ้าพ่อบ้านเฉิงเป็นอะไรไป
ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้มู่หยู มู่เฉียนหรือแม้กระทั้งมู่ชิงที่อยู่ในสำนักเทพหยินหยางอยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน”
เวลานี้มู่เสวี่ยคล้ายกำลังถูกปีศาจร้ายสิ่งสู่ ท่าทีที่อ่อนโยนของนางแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว มีเพียงสองเหตุผลที่จะอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้
คือข้อแรก ทั้งสามคนนั้นไม่ใช่น้องสาวแท้ๆเหมือนอย่างที่นางเคยคิดและข้อที่สอง ตลอด10กว่าวัน นางได้เรียนรู้และซึมซับพวกมันมาจากอาจารย์ของตัวเอง
จากคำพูดของมู่เสวี่ยนั้น มันทำให้มุมปากของมู่ซวนเฟิงกระตุกด้วยโทสะ หมาจิ้งจอกอย่างมันกลับถูกกระต่ายตัวน้อยๆแว้งกัดได้อย่างไร!!
“คุณหนูใหญ่ ท่านฟังคำพูดคนนอกและมาสงสัยคนในครอบครัว ช่างน่าเศร้าใจจริงๆ เหตุใดตระกูลมู่ของเราจึงมีคุณหนูใหญ่ที่หูเบาเช่นท่านได้”
ผู้อาวุโสที่สาม มู่หลานเจี่ยกล่าวเชิงตำหนิออกมา ด้วยคำพูดของมันแสดงให้เห็นชัดว่ามันไม่สนใจในตำแหน่งหรือฐานะของมู่เสวี่ยเลย
“เสียเวลาเปล่าแล้ว ข้านั้นรู้ว่าท่านไม่อยากที่จะแต่งงานแต่คิดไม่ถึงว่า ท่านจะยอมสมคบคิดกับคนนอกใส่ร้ายผู้นำตระกูล”ผู้อาวุโสที่สอง มู่ปังเองก็เช่นกันคำพูดของมันไร้ซึ่งความเคารพแม้แต่น้อย
จะมีเพียงผู้อาวุโสหลัก มู่ฉู่จีเท่านั้นที่กล่าวถามออกมา “คุณหนูใหญ่หรือว่าท่านจะมีวิธีพิสูจน์มัน”
มู่เสวี่ยพยักหน้าตอบ พร้อมกล่าวขึ้นมา“ข้าเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวว่าตระกูลของเรา มีของวิเศษที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้อยู่หนึ่งชิ้น มันมีชื่อว่า ด้ามอสนีกู่ทำลาย พวกเราสามารถใช้มันทดสอบความจริงได้”
เมื่อได้ยินมู่เสวี่ย เรียกออกด้วยชื่อ ด้ามอสนีกู่ทำลาย ใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลดำมืดลงไปทันที .....