บทที่ 143 บิดาผู้จริงใจ
จากนั้นบุรุษชุดทองได้ก้าวขึ้นสู่เวที มันมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาพินิจ พร้อมกล่าวออกไปว่า
“เจ้าหนุ่ม ข้าคือเจ้าผู้ครองเมืองไห่หนาน หัวหน้าเมืองใหญ่ทั้งสาม นามว่า ไห่จิ้นอิ้ง ผู้คนกล่าวเรียกขานข้าว่า ชัยชนะไม่ทรยศ แต่ทว่าวันนี้ได้เห็นเจ้าแสดงฝีมือข้ารู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่ผู้คนกล่าวขานเรียกข้านั้นเป็นเพียงกบในบ่อน้ำสูง
เจ้าหนุ่มถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด แม้เจ้าจะเอาชนะในแต่ละรอบได้อย่างสบายๆก็ตาม แต่เจ้าเองก็สมควรที่จะสูญเสียพลังปราณไปมากด้วยเช่นกัน
ถ้าเจ้าต้องต่อสู้ประหัตประหารกับพวกเราทั้งสามแล้วละก็ เกรงว่าผู้ที่จะหัวเราะและยิ้มออกก็คือนิกายหอกโลหิต
เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ถ้าเจ้ารับการโจมตีของข้าได้โดยยังมีชีวิตอยู่ พวกเราราชวงศ์ไห่จะยอมแพ้ในการประลองที่เหลือทันที แต่กลับกันถ้าเจ้าไม่สามารถรับมันได้
เช่นนั้นการประลองในรอบนี้พวกเราจะขอรับชัยชนะไป”ไห่จิ้นอิ้งเปิดปากอธิบายความต้องการของมันออกมา
คำกล่าวของไห่จิ้นอิ้งนั้นหาได้ผิดไปจากความจริงแม้แต่น้อย ไม่ว่าหนิงเทียนจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่ตัวมันนั้นก็มีระดับพลังอยู่ในดินแดนแห่งปราชญ์เท่านั้น
และตัวมันก็ยังมีจุดอ่อนใหญ่หลวงที่ยังไม่สามารถแก้ได้ก็คือ ทักษะต่อสู้ของมันทุกกระบวนท่านั้นล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังปราณจำนวนมากในการใช้ออก
นี้จึงเป็นเหตุให้ทะเลลมปราณของหนิงเทียนแม้จะใหญ่โตกว่าคนอื่นถึงสามเท่าแต่มันก็ไม่สามารถเอามาใช้เป็นข้อได้เปรียบผู้อื่นได้เลย ถ้าจะให้เปรียบเทียบละก็เหมือนกับการใช้มีดฆ่าโคไปสังหารกระต่ายน้อยนั้นและ
ข้อเสนอของไห่จิ้นอิ้งนั้นตรงต่อความต้องการของหนิงเทียนเป็นอย่างยิ่ง มันมองไปยังที่นั่งของนิกายหอกโลหิตและจับจ้องไปยังถงจื่อโหยว “ถงจื่อโหยวผู้นี้สมควรจะมีพลังอยู่ในดินแดนทรราช นางคือตัวอันตรายที่สุดในการประลองครั้งนี้”
เมื่อหนิงเทียนคิดได้เช่นนั้นมันจึงตอบกลับข้อเสนอของไห่จิ้นอิ้ง “ตกลง ข้ารับคำท้าของเจ้า ข้าจะไม่ขยับเขยื้อนไปจากตรงนี้แม้แต่ก้าวเดียว”
เหตุผลที่สำคัญอีกข้อที่ทำให้หนิงเทียนตบปากรับข้อเสนอนี้ คือมันต้องการทดสอบกายาเทพอสูรที่ถูกเสริมส่งด้วยม้วนภาพตะวันแปดดาราอีกด้วย
มุมปากของไห่จิ้นอิ้งยกยิ้มขึ้นมา มันนั้นมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก เพียงเพราะสิ่งที่มันเก็บเงียบไว้นั้นต่อให้เป็นถงจื่อโหยวก็ตาม นางไม่มีทางจะทนทานสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน
พร้อมกันนั้น ไห่จิ้นอิ้งวาดมือ ปรากฏคันศรสีแดงเข้มปนดำออกมา ใบหน้าของไห่จิ้นอิ้งแดงซ่านจากน้ำหนักของคันศรที่มันนำออกมา
ผู้ฝึกตนในแดนวีรชนขั้นที่9 ยังยกมันด้วยความยากลำบาก นี้แสดงให้เห็นถึงน้ำหนักอันมหาศาลของมัน ตัวของคันศรนั้นมีขนาดเท่ากับขนาดตัวของชายร่างใหญ่ ส่วนสายเอนที่ใช้ในการรั้งลูกศรนั้นมีขนาดเท่ากับต้นขาย่อมๆของชายฉกรรจ์
ทันทีที่มือของไห่จิ้นอิ้งสัมผัสสายเอนนั้น มันส่งเสียงกังวานลั่นออกมา
กึก!!..กึกกกกก
ถงจื่อโหยวที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ ถึงกับลุกพรวดขึ้นมายืนพร้อมย้ายสายตาไปยังคันศรสีแดงด้วยแววตาตกตะลึง“นั้นคือ คันศรกระดูกมังกร อาวุธลมปราณในระดับทรราช”
บุรุษที่นั่งด้านข้างของนางกล่าวเสริมขึ้นมา“ไม่น่าเชื่อว่าไห่จิ้นอิ้งผู้นี้จะหามันมาไว้ในครอบครองได้ แม้แต่นิกายของพวกเรายังมีอาวุธในระดับทรราชเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น”
เมื่อหนิงเทียนมองไปยังคันศรขนาดใหญ่ในมือของไห่จิ้นอิ้งสีหน้าของมันนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว ไม่มีความเกรงกลัวใดๆอยู่ภายในสายตาที่แสดงออกมาเลย จะมีเพียงประกายแห่งความตื่นเต้นที่ฉายออกมาเท่านั้น
ไห่จิ้งอิ้งไม่พูดพร่ำสิ่งใดอีก มันโคจรพลังปราณไปทั่วร่างด้วยทักษะกายาระฆังทอง ร่างกายของมันที่เคยสมส่วนดั่งคนปกติกลับเปลี่ยนแปลงไป
แขนและขาขยายขนาดออก มันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเรียงรายอย่างงดงาม ขาทั้งสองข้างขยายกว้าง ความสูงจากเดิมของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
หน้าอกที่เคยแบนราบบัดนี้กลับยืดออกมาเป็นมัด มัดกล้ามนับสิบๆลูกถูกสริมเข้าไปในร่างของมันอย่างสง่างาม
ไห่จิ้งอิ้งใช้ขาของมันถีบไปยังคันศรกระดูกมังกรและวางลูกศรสีทองลงไป จากนั้นมันใช้สองมือดึงสายเอนอย่างสุดแรง ใบหน้าของมันแสดงอาการเขียวคล้ำออกมาอย่างจำใจ
แม้จะใช้ออกด้วยกายาระฆังทองที่สามารถหลอมรวมกับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่การจะรั้งคันศรกระดูกมังกรจนสุดสายก็แทบจะทำให้ไห่จิ้งอิ้งหมดแรง
“เจ้าหนุ่มเตรียมรับมือ” สิ้นเสียงเตือนสองมือที่รั้งสายเอนอยู่นั้นปลดปล่อยแรงยึดออก
เสียงดีดกลับของสายเอนดังขึ้นประดุจเสียงคำรามร้องของพญามังกรสนั่นก้องไปทั่วฟ้า “ปัง!!!!!!!!!!!”
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเมื่อลูกศรสีทองแหวกตัดอากาศ “หวี๊ดดดดดดดดด”
แค่เพียงสองสิ่งนี้ มันทำให้ผู้คนที่อยู่ในแดนแห่งปราชญ์กู่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แก้วหูของผู้ชมเริ่มที่จะมีเลือดซึมไหลออกมาทีละน้อย
ความพลุกพลานอลวนบังเกิดแก่กลุ่มผู้ชม ผู้ฝึกตนที่มีระดับพลังในแดนแห่งปราชญ์เริ่มที่จะถอยหนี ในขณะผู้ฝึกตนที่มีพลังเพียงแดนองครักษ์กลับเริ่มสิ้นสติลงไปกองกับพื้น
จินเหล่าต้าถอนหายใจยาว มันพยามประครองตัวไว้ใม่ให้ล้ม ด้วยระดับพลังในแดนแห่งปราชญ์อีกทั้งระยะห่างของตัวมันและสนามประลองนั้นใกล้กว่าที่นั่งผู้ชมอยู่ประมาณหนึ่งตัวของจินเหล่าต้าจึงได้รับผลกระทบยิ่งกว่าใครทั้งหมด
ทันใดนั้นหยูหยูและหยูหยินทั้งสองคนที่ถูกส่งไปทำหน้าที่รับการเดิมพัน พุ่งร่างกลับมายังที่นั่งของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรด้วยสภาพโซซัดโซเซ
พร้อมกันนั้นเองหลวนคุนยื่นมือออกไปสัมผัสอากาศ มันทำสัญลักษณ์มือบางอย่าง จากนั้นเกราะปราณสีทองปกคลุมไปทั่วที่นั่ง ช่วยให้จินเหล่าต้า หยูหยูและหยูหยิน ทั้งสามเริ่มที่จะกลับมาหายใจเป็นปกติดังเดิม
จินเหล่าต้าลากหายใจยาวและมองไปยังสนามประลอง“พี่ชายหนิงจะป้องกันการโจมตีนี้ได้อย่างไร???” ลำแสงสีทองพุ่งตรงไปยังร่างของหนิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราดราว ดวงตาของหนิงเทียนหรี่แคบลง มันรู้สึกตัวแล้วว่า มันนั้นได้ตกลงไปในหลุมพรางของวาจาอันคมคายที่ไห่จิ้งอิ้งกล่าวออกมา
หนิงเทียนชักไม่แน่ใจว่า การที่มันยืนรับคันศรกระดูกมังกรตรงๆกับการให้มันต่อสู้กับทั้งสามคนของราชวงศ์ไห่ สิ่งไหนกันแน่ที่ทำให้มันสิ้นเปลืองพลังปราณมากกว่ากัน
แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น ใบหน้าของหนิงเทียนกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ใช่แล้ว มันต้องเป็นพลังโจมตีในระดับนี้เท่านั้นถึงจะคู่ควรแก่การทดสอบ กายาเทพอสูรของข้า”
ทันใดนั้นดวงตาของหนิงเทียนดำมืดลง ถ้ามองผ่านๆมันช่างคล้ายกับดวงตาของสัตว์อสูร มันรู้สึกได้ว่าทะเลลมปราณของมันร้อนระอุ ลมปราณที่ถูกกักเก็บไว้ พวยพุ่งออกมานอกร่างและรวมตัวกันเป็นเกราะลมปราณสีทอง
หนิงเทียนไม่แม้แต่จะใช้ออกด้วยทักษะโจมตีเพื่อหักล้างลูกศรสีทองที่ถูกยิงออกมาจากคันศรกระดูกมังกร มันเพียงแต่กระทำเหมือนคนที่ไร้ความต้องการจะมีชีวิตอยู่ นั้นคือการยื่นฝ่ามือออกไปปะทะกับลำแสงที่กำลังพุ่งเข้ามา
เมื่อหนึ่งฝ่ามือหนึ่งลูกศร เข้าปะทะกันภาพที่ทำให้ผู้ชมทุกคนต้องหยุดหายใจ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกภูตผีปีศาจหลอกกลางวันแสกๆก็คือ
เมื่อลูกศรสีทองพุ่งตรงด้วยความเร็ว เข้าปะทะกับฝ่ามือของหนิงเทียน มันคล้ายกับว่าลูกศรนั้นพุ่งเข้าปะทะกับกำแพงเหล็กกล้า พร้อมกันนั้นมันบังเกิดเสียง แกร้งงง!!!!ขึ้นมาเพียงครั้งเดียว
จากนั้นลูกศรสีทองก็สูญเสียความเร็วพร้อมล่วงหล่นสู่พื้น แม้แต่เลือดสักหยดก็ไม่มีปรากฎออกมาให้เห็น
เมื่อลูกศรสีทองตกสู่พื้นมันบังเกิดเสียงที่สองออกมาอีกครั้ง “แกร้งงงง” ด้วยเสียงนี้ราวกับทำให้ทุกคนหลุดออกจากการถูกสะกด ความกดดันของพวกมันคลายลง
จากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังสนั่นหวั่นไหวด้วยความตื่นเต้นและตกใจ
"แพ้แล้ว แพ้จริงๆหรือ ไห่จิ้นอิ้งคนนั้น นะหรือ ผู้ที่เล่าขานกันว่า แม้แต่ชัยชนะยังไม่คิดจะทรยศมัน ได้พ่ายแพ้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร!!"
“สวรรค์นี้ข้ากำลังลืมตาฝันกลางวันแสกๆหรือ”
“เร็วเข้าเจ้าช่วยตบหน้าข้าที ข้าอยากตื่นจากฝันบ้าๆนี่เสียที”
ภายในที่นั่งของตระกูลผู้ครองมือฉางผิง
“บางที ซือหม่า หนิงเทียน อาจจะไม่ใช่ตัวตนที่พวกเราจะเข้าใจถึงได้”ฉางเหล่ยจ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกค้าง พร้อมกล่าวออกมากับคนของมันด้วยเสียเย็น
อี้เหวินตงเองรู้สึกว่าการตัดสินใจยอมแพ้ของฉางเหล่ยนั้น ทำให้พวกมันรอดพ้นหายนะมาได้
เวลาเดียวกันซางฉู่กล่าวออกกับผู้อาวุโสหนึ่งและสาม คนที่เคยค้านจะขึ้นไปประลองให้ได้
“พวกท่านเห็นหรือยัง เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนปกติเช่นพวกเราแน่ บางทีมันอาจจะเป็นลูกหลานของตัวตนที่พวกเราคาดไม่ถึงก็ได้”
ตัวของฮันซินเองก็ไม่ต่างกันนั้น เด็กหนุ่มผู้นี้ทำให้มันตกตะลึงได้ในทุกๆรอบที่จบการประลอง ตัวมันนั้นอยากจะละทิ้งหน้าที่การเป็นกรรมการและหนีหายไปให้ไวที่สุด
ตัวมันนั้นรู้ดีว่า สิ่งใดกันแน่ที่มู่ซวนเฟิงต้องการ ที่มันกล่าวเรียกขานชื่อของนิกายหอกโลหิตเป็นนิกายสุดท้ายไม่ใช่สิ่งที่ฮันซินคิดขึ้นมาเอง มันล้วนแต่เป็นความต้องการของมู่ซวนเฟิง
ฮันซินคาดเดาได้เลยว่าบุตรเขยที่มู่ซวนเฟิงต้องการก็คือบุตรบุญธรรมของมัน มู่ผวน แต่ทว่านั้นไม่ใช่การกระทำที่สวนทางกับสิ่งที่ปีศาจตนนี้ต้องการหรืออย่างไร??
เมื่อสองสิ่งสวนทางกัน ผู้ที่สมหวังก็จะมีเพียงคนเดียว แล้วใครละที่จะสมหวัง เจตจำนงของมนุษย์ธรรมดาจะไปสู้เจตจำนงของปีศาจร้ายได้อย่างไรกัน
เมื่อฮันซินคิดออกเช่นนั้นมันปลายตามองไปยังมู่ซวนเฟิงพร้อมส่ายหน้า มันไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับการประลองนี้อีกต่อไป
ฮันซินไม่ต้องการที่จะพัวพันกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมกันนั้นแทนที่มันจะกล่าวเริ่มการประลองในรอบสุดท้าย แต่กลับกล่าวขึ้นมาว่า
“ข้าฮันซินนับเป็นเกรียติอย่างยิ่งที่ได้ชมการต่อสู้เช่นนี้ใกล้ๆแต่นั้นก็เพียงพอแล้ว ข้าคงขอตัวลา ส่วนใครต้องการจะมาเป็นกรรมการแทนข้าก็เชิญได้เลย”
กล่าวจบร่างของโทรโข่งหมื่นลี้ก้าวลงเวที ละทิ้งหน้าที่ของมัน สร้างความตกตะลึงอีกครั้งให้แก่ผู้ชม
มู่ซวนเฟิงเห็นดังนั้น เส้นเลือดหลายสายเริ่มปรากฏบนหน้าผากของมัน
จากนั้นมันลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวออกเสียงดัง “ในเมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ การประลองรอบสุดท้ายคงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นอีก ข้านั้นขอใช้ฐานะบิดาตัดสินใจ ให้นิกายหอกโลหิตเป็นผู้ชนะการประลอง”
“บัดซบไอ้จิ้งจอกเฒ่า ผายลมอันใดออกมาอีก”จินเหล่าต้าก่นด่าออกเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวว่าเวลานี้มันจะอยู่ในพื้นที่ของตระกูลมู่
ถ้ามันได้เดินตามหลังหนิงเทียนแล้วต่อให้เป็นถ้ำเสือแดนแดนมังกรมันก็ไม่คิดที่จะเกรงกลัวแล้วนับประสาอะไรกับตระมู่ละ
“อะไรกัน ผู้นำมู่หรือว่าท่านต้องการได้เขยขวัญเป็นคนของนิกายหอกโลหิตจนตัวสั่น”ซางฉู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก
“ช่างน่าขันจริงๆ การประลองที่ใหญ่โต สุดท้ายก็เป็นปาหี่ของตระกูลมู่ พวกเจ้าตระกูลมู่เห็นพวกเราเป็นตัวตลกหรืออย่างไร??”
เมื่อโอกาสมาถึงฉางเหล่ยไม่รีรอที่จะกล่าววาจาซ้ำเติม เป้าหมายในการมาครั้งนี้ของมันคือการหยุดยั้งอำนาจของตระกูลมู่
ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นดวงตาของมู่ซวนเฟิงหรี่แคบในทันที มันหันไปกระซิบแก่มู่เสวี่ย “ถ้าปากของเจ้าเปิดออกมา คนของข้าจะช่วยแยกหัวของเฉิงฮ่าวออกจากร่างของมันทันที”
พร้อมกันนั้นมันแปรเปลี่ยนใบหน้าอันดุร้ายเป็นรอยยิ้มและกล่าวออก
“ท่านทั้งหลาย โปรดให้ข้าได้อธิบายก่อน ตัวข้านั้นเป็นแม้จะไม่ใช่บิดาโดยตรงของมู่เสวี่ย แต่ในตอนที่พี่ชายข้าได้จากไป เขาได้ฝากฝังนางไว้กับข้าและข้าเองก็รักนางประดุจชีวิต
ข้าสามารถบอกได้อย่างไม่อายปากเลยว่า ข้านั้นรักนางยิ่งกว่าบุตรสาวทั้งสามคนของข้าเอง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่สามารถทำใจรับบุตรเขยที่สังหารคนเป็นผักปลาได้เป็นอันขาด
พวกท่านทุกคนต่างได้เห็นด้วยสองตาของตัวเองแล้วไม่ใช่หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้สังหารเจ้าสำนักดาบศิลา เหอตงหลิวอย่างไร ร่างของมันแหลกเหลวจนไม่เหลือสภาพด้วยซ้ำ
กระบี่ซ้ายปุยเฉียนละ มันตกออกมานอกเวทีประลองแล้วเด็กหนุ่มผู้นี้ทำอย่างไรกับมัน ไม่ใช่ว่ามันไม่ยั้งมือโจมตีสังหารเขาอย่างโหดเหี้ยมหรอกหรือ?
แล้วกระบี่ขวาปุยเฉา ร่างของมันกลายเป็นฝุ่นเถ้าที่ลอยไปตามอากาศ ไม่เหลือแม้แต่จะให้ญาติได้ทำพิธีส่งวิญญาณ
โดยไม่ต้องกล่าวถึงนักเชิดวิญญาณ หวูหนาน ร่างที่แห้งกังคล้ายซากต้นไม้ยังคงปรากฎให้เห็นกันอยู่ตรงนั้น พวกท่านลองคิดดูว่าถ้าท่านเป็นพ่อคน ท่านจะยินยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับปีศาจในคาบมนุษย์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”