บทที่ 142 หายนะสีดำ 4
“ซูดดดด...” มี่เฉิงสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงด้วยความหวาดกลัว มันรีบกล่าวออกกับอาจารย์ของมัน “ท่านอาจารย์ ข้าไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่อีกแล้ว
นางนั้นหาใช่จะเป็นสาวงามอย่างที่ใครๆหมายปอง ซ้ำยังออกจะอัปลักษณ์ไปด้วยซ้ำสำหรับข้า” มี่เฉิงกล่าวคำพูดที่ขัดกับความต้องการของมันออกมาเพียงเพราะมันไม่ต้องการจะให้อาจารย์ขึ้นไปบนเวทีและพบเจอกับปีศาจร้ายตัวนั้น
ขณะที่มันกล่าวออกเหมือนกับฟ้ากับสวรรค์รับรู้และพร้อมใจกันกลั่นแกล้ง
เสียงของฮันซินได้ประกาศกล่าวดังออกมาทันที “การประลองในรอบที่6 ตระกูลซือหม่ากับหมู่ตึกลมดำกำลังจะเริ่มขึ้น ขอเชิญหมู่ตึกลมดำขึ้นมาบนเวที...”
มันรีบกล่าวประกาศโดยไม่คิดแม้แต่จะทวงถามถึงเรื่องที่หนิงเทียนลงมือสังหารปุยเฉียนที่อยู่นอกเวทีประลองด้วยซ้ำ
“เอ่อ.. พี่หวู ท่านจะขึ้นไปต่อสู้เป็นคนแรกใช่หรือไม่??” เต๋าคงกล่าวถาม มันกลัวว่าสหายของมันจะคิดเปลี่ยนใจ
“เจ้าไม่ต้องกังวล แม้เด็กนั้นจะแข็งแกร่งผิดมนุษย์ แต่มันไม่มีทางทนทานทักษะลับของข้าได้แน่ แม้แต่ตัวตนในดินแดนทรราชย์ยังต้องยอมสยบเมื่ออยู่ต่อหน้า นักเชิดวิญญาณ หวูหนานผู้นี้”
จากนั้นหวูหนานลุกขึ้นพร้อมกับก้าวเดินขึ้นไปยังเวทีประลอง
ในตอนนี้ใบหน้าของทั้งถงจือโหลวและเจ้าเมืองไห่หนานเปลี่ยนเป็นจริงจัง หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ในรอบก่อนแล้ว ทั้งสองจึงให้ความสนใจแก่หนิงเทียนเป็นพิเศษ
และที่สำคัญคู่ต่อสู้ในรอบนี้ของมันคือหวูหนาน ชายผู้กำเนิดมาพร้อมเวทมนต์ของปีศาจ การต่อสู้ของทั้งสองจึงได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ชมคนอื่นๆ
หนิงเทียนใช้สายตามองไปยังหวูหนานด้วยความแปลกใจ เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับพลังปราณที่แผ่ออกมาจากชายผู้นี้
เมื่อฮันซินเห็นว่าหมู่ตึกลมดำส่งหวูหนานขึ้นมาประลอง และทั้งสองได้เดินขึ้นมาบนเวทีแล้ว มันจึงประกาศออกไป “การต่อสู้ระหว่าง ตระกูลซือหม่าและหมู่ตึกลมดำเริ่มได้”
ในเวลาเดียวกันภายในที่นั่งของนิกายหอกโลหิต “ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าการต่อสู้ของพวกมันทั้งสอง ใครจะเป็นฝ่ายชนะ??”
ถงจือโหยวส่ายหน้า “ถ้าเป็นการต่อสู้ปกติข้าคงจะบอกได้ว่า เด็กหนุ่มนั้นมีโอกาสชนะไม่ถึงหนึ่งในหมื่น แต่เนื่องจากทักษะที่มันใช้ออกมาล้วนแล้วแต่เกินกว่าที่ข้าจะรับรู้ได้
และยิ่งไปกว่านั้นการที่มันแสดงออกด้วยท่าท่างที่มั่นใจเช่นนี้ ข้าคิดว่าตัวมันน่าจะยังมีความลับและทักษะวิชาอื่นๆที่ยังคงเก็บเงียบไม่ได้ใช้ออกอีกอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างไร หวูหนานผู้นี้แม้จะไม่ได้อยู่ในดินแดนทรราชก็จริงแต่ชื่อเสียงของนักเชิดวิญญาณนั้นโด่งดังไปทั่ววงแหวนรอบนอก
มันได้รับคำเชิญจากนิกายและสำนักระดับอีและเอ้อเทียนโหลวไม่ต่ำกว่า5แห่งแต่เป็นเพราะตัวมันต้องการตัดเข้าสู่ดินแดนทรราชให้ได้ก่อน มันจึงไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักเหล่านั้นและแฝงตัวอยู่ภายในสามเมืองใหญ่รอบนอก”
“อืม ชื่อเสียงของนักเชิดวิญญาณข้าก็พอจะได้ยินมาบ้าง มีคำเล่าลือว่ามันได้รับการถ่ายทอดทักษะลับมาจากเจ้าหมู่ตึกจรัสแสงแห่งลัทธิมารทมิฬ”บุรุษทีนั่งอยู่ด้านข้างกล่าวออกมา
“พวกเราเพียงแค่เฝ้าดูอย่างระวังเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรการประลองครั้งนี้ข้าจะต้องทำความปรารถนาขอมู่ผวนให้เป็นจริง นั้นพวกมันทั้งคู่กำลังเริ่มแล้ว”ถงจื่อโหยวกลาวออกพร้อมกับจ้องมองไปยังเวทีประลองอย่างไม่วางตา
“กิ้ง…..กิ้งง……กิ้ง!!!” กำไลโลหะที่ข้อมือของหวูหวานกระทบกันไปมาจนเกิดเสียงดังไปทั่ว สองมือของมันค่อยสั่นออก กิ้ง..กิ้งง..กิ้งง
จากนั้นหวูหนานนค่อยๆเพิ่มความเร็วของการสั่นเร็วขึ้น และร็วขึ้น
กิ้งกิ้งกิ้งงงกิ้งงงง กิ้งงงงงงกิ้งง........!!!! ทันใดนั้นเองปราณสีดำค่อยๆหลั่งไหลออกจากร่างของหวูหนานก่อตัวอยู่เหนือศีรษะของมัน
หนิงเทียนหรี่ตาลง “ความรู้สึกเช่นนี้ ปราณแห่งความมืด”
หวูหนานที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางใบหน้า มันยกยิ้มพร้อมกล่าวออก
“อย่าได้กลัวไปเด็กน้อย ทักษะนี้ข้าได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านเจ้าตำหนัก ด้วยอาคมแห่งความตาย วิญญาณทุกดวงล้วนอยู่ใต้อาณัติของข้า” สิ้นคำกล่าวของหวูหนาน
มันทำสัญลักษณ์มือไปมาและชี้ไปที่ร่างไร้วิญญาณของปุยเฉียนและจ้าวหลี่หง
ทันใดนั้นเองร่างที่ไร้ศีรษะของจ้าวหลี่หงเริ่มสั่น พร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างน่าหวาดกลัว
ในเวลาเดียวกัน ปุยเฉียนที่ถูกปราณของหนิงเทียนแทงทะลุลำคอกลับลุกขึ้นยืนได้ราวกับว่ามันได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จากนั้นร่างของปุยเฉียนและจ้าวหลี่หงพุ่งเข้าใส่หนิงเทียนในทันที
เห็นภาพเช่นนี้หนิงเทียนยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก“เหตุใดมันถึงใช้ทักษะต่อสู้ในคัมภีร์มารทมิฬ อาคมบังคับศพได้!!!??”
ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก หนิงเทียนทะยานร่างหลบการโจมตีของศพทั้งสอง จากนั้นมันสะบัดมือ ไอความเย็นแผ่กระจาย แช่อากาศโดนรอบจนกลายเป็นแท่งน้ำแข็งอันแหลมคมพุ่งทะลวงผ่านร่างของทั้งสองไป
พวกมันไม่มีแม้แต่เลือดหรือกระทั่งความเจ็บปวด ร่างของจ้าวหลี่หงและปุยเฉียนหาได้มีความรู้สึกเช่นมนุษย์ ทั้งคู่ยังคงพุ่งใส่หนิงเทียนอีกครั้งหนึ่ง
“ออกมาแล้ว อาคมแห่งความตาย ของนักเชิดวิญญาณ หวูหนานเป็นบุญตาของข้าจริงๆ”
“ทักษะวิชาอันใดกัน มันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว” เสียงของฝูงชมกล่าวออกมามากมายแต่มันพอจะจับใจความฟังชัดเพียงสองประโยคนี้เท่านั้น
จินเหล่าต้ามองร่างไร้ศีรษะของจ้าวหลี่หงกำลังวิ่งอยู่บนเวทีประลองด้วยอาการขนลุกขนชัน มันกล่าวถามออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก“มันคืออะไรกัน?? โลกนี้มีทักษะที่สามารถคืนชีพคนตายได้ด้วยหรืออย่างไร!!!”
“ทักษะนั้นน่าจะเป็นทักษะต่อสู้ของผู้คนในทวีปใต้ ข้าเคยได้ยินมาว่าผู้คนในทวีปแดนใต้นั้นส่วนใหญ่จะฝึกฝนปราณแห่งความมืด
และดูเหมือนว่าข่าวลือที่ว่าหมู่ตึกลมดำได้รับการสนับสนุนจากหมู่ตึกจรัสแสงบริวารของลัทธิมารทมิฬจะเป็นความจริง” จั่วจิงหนานที่ดูการต่อสู้อย่างเงียบเฉียบเปิดปากออกมา
“ถูกต้อง เป็นอย่างที่ท่านจั่วกล่าวมา นั้นคือทักษะในคัมภีร์มารที่หลงเหลืออยู่ มากกว่า8ใน10ส่วนของคัมภีร์มารมันได้หายสาบสูญไปจากพื้นที่ราบภาคกลางมานับพันๆปีแล้ว”หลวนคุนกล่าวเสริม
ชายชราลึกลับที่กำลังชมการประลองด้วยรอยยิ้ม มันส่ายหน้าไปมาพร้อมบ่นออกมาว่า
“น่าสนใจไม่นึกว่าจะได้เห็นอาคมบังคับศพในสถานที่แห่งนี้ แต่ทว่าเด็กหนุ่มคนนั้นสามารถบรรลุท่าเหยียบสามวิญญาณอันเป็นทักษะที่สามในคัมภีร์มารทมิฬได้ ช่างน่าสงสารคนผู้นั้นยิ่งนัก มันไม่รู้ตัวเองเลยว่ากำลังเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน” การต่อสู้รอบนี้ดูเหมือนว่าหนิงเทียนจะเป็นฝ่ายถอยหนีอยู่ข้างเดียว แต่นั้นเพราะว่า
หนิงเทียนไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของมันเลยแม้แต่น้อย “เป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆและ ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นคงจะมาจากทักษะในคัมภีร์มารทมิฬของบิดาสี่”
เมื่อความสังสัยในหัวของหนิงเทียนหมดไปมันหัวเราะหึออกมา “อาคมบังคับศพทักษะที่หนึ่งในคัมภีร์บ่มเพาะมารทมิฬ”
หวูหนานที่ได้ยินคำกล่าวนั้น มันแสดงอาการตกตะลึงออกมา“จะ...เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน??” ตัวมันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าทักษะในตำนานเช่นนี้จะถูกเด็กหนุ่มที่พึ่งเกิดได้ไม่ถึง20ปีล่วงรู้ถึง
เจ้าเด็กนี้อาจจะเป็นอัจฉริยะที่ได้อ่านหนังสือหรือบันทึกต่างๆมามากทำให้มันมีความรู้ที่กว้างไกล ถึงแม้มันจะรู้จักทักษะวิชาแต่ก็ใช่ที่จะมีวิธีแก้ไขได้
เมื่อหวูหนานคิดเช่นนี้อาการตกตะลึงบนใบหน้าจางหายไปมันถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอันหยิ่งผยอง
“ไม่เลวสำหรับหนอนหนังสือเช่นเจ้า จงภูมิใจเสียที่ได้ตายด้วยทักษะในตำนานเช่นนี้ แต่เจ้าเด็กน้อย ไม่ต้องห่วงไปหลังจากที่เจ้าตายไปแล้วศพของเจ้าจะต้องกลายมาเป็นบริวารที่สัตย์ซื่อของข้าหวูหนาน”
หนิงเทียนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นมันส่งเสียงที่ได้ยินเพียงแค่สองคนออกมา
“ข้าจะบอกเจ้าให้เอาบุญ คัมภีร์มารทมิฬที่เจ้าแสนภูมิใจ ประกอบด้วยเจ็ดทักษะต่อสู้และสองท่าเท้า
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายแม้ข้าจะเรียนรู้มันครบทั้งเก้าทักษะแต่กลับสามารถใช้ออกได้เพียงสามทักษะต่อสู้และหนึ่งท่าเท้าเท่านั้น
แต่เอาเถอะพูดไปมากกว่านี้เจ้าก็คงไม่เข้าใจมัน ข้าจะแสดงความเมตตาต่อเจ้าเล็กน้อยโดยให้เจ้าได้ตายด้วยทักษะที่ตัวเองภูมิใจหนักหนา”
สิ้นคำกล่าวหนิงเทียนโคจรปราณแห่งความมืดไปรวมกันที่มือขวา จากนั้นมันพุ่งตัวออกด้วยเก้าวิญญาณท่องนภาเข้าประชิดตัวของหวูหนาน พร้อมกับใช้ฝ่ามือจับกุมไปยังลำคอของมัน
แววตาของหวูหวานเบิกค้าง แม้มันจะระวังในความเร็วของหนิงเทียนอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งท่าเท้าที่ว่องไวนั้นได้แม้แต่น้อย
ร่างของมันค่อยๆลอยจากพื้นด้วยแรงยกจากมือของหนิงเทียน ทันใดนั้นพลังปราณของมันค่อยๆถูกสูบออกจากร่าง ขาของมันค่อยๆแห้งเหี่ยวทีละน้อย โดยไล่จากข้อขาไปยัง ต้นขา ลำตัว แขนและคอ
“ฝะ.....ฝ่ามือดูดวิญ....”หวูหนานยังไม่ทันได้กล่าวจบคำพูด ร่างของมันแห้งกังคล้ายกับซากไม้ที่ตายแล้ว
จากนั้นหนิงเทียนสะบัดมือขว้างร่างมันลงไปยังพื้นเบื้องล่างพร้อมกล่าวเตือนฮันซินออกมา “เจ้าจะไม่ประกาศผล?”
“เอ่อ....ข้าขอโทษ” ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดฮันซินจึงหลุดปากขอโทษออกมาอย่างลืมตัว จากนั้นมันกล่าวประกาศออกไป “คะ...คุณชายหนิงเทียนเป็นฝ่ายชนะ”
“………” ไม่มีแม้แต่เสียงของลมหายใจ นี้เป็นครั้งที่สามที่ผู้ชมทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบเสียง ในครั้งแรกนั้นเกิดจากความตกตะลึงในพลังทำลายของลูกแก้วสวรรค์คำรามและครั้งที่สองเกิดจากความหวาดกลัวในฝีมือของเด็กสาวผู้งดงาม
แต่ในครั้งนี้มันต่างจากสองครั้งแรก เพราะมันเป็นความเงียบที่เกิดจากความรู้สึกที่ไม่สามารถกล่าวคำใดออกมาได้ คำว่าเกินกว่าจะบรรยายคล้ายว่าจะเหมาะสมกับอาการที่พวกมันทั้งหมดกำลังเป็นกันอยู่
แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังเงียบเสียงอยู่นั้น มีบุรุษผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าพร้อมกล่าวออกมา มันคือมี่เฉิงแห่งหมู่ตึกลมดำนั้นเอง
“ขะ...ข้าไม่ต้องการแต่งงานกับแม่นางมู่แล้ว พะ..พวกเราขอถอนตัวจากการประลอง” มี่เฉิงนั้นใช้คำว่าพวกเรา นั้นหมายถึงทั้งตัวมันและอาจารย์จะไม่ยอมก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีเด็ดขาด
บนที่นั่งของตระกูลมู่ คิ้วของมู่ซวนเฟิงกระตุกอย่างไม่หยุด “เด็กหนุ่มผู้นี้แม้จะแข็งแกร่ง ลึกลับแต่ไม่เหมาะสมที่จะแต่งงานกับนังเด็กนั้นเด็ดขาด
มันหยิ่งผยองและยโสจนเกินไป มันไม่มีความเกรงใจต่อผู้ใดเลยด้วยซ้ำ ต่อให้ข้าได้มันมาเป็นบุตรเขยก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำว่า มันจะกล่าวเรียกข้าว่า พ่อ”
คิดได้เช่นนั้นมันจึงรีบกล่าวออกไปว่า “ท่านฮันซิน ในเมื่อหมู่ตึกลมดำต้องการถอนตัวเช่นนั้นแล้วข้าขอให้เริ่มการประลองในรอบที่7 และ8โดยทันที”
มู่เสวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง กล่าวค้านออกมา“แต่ว่าคุณชายหนิงต่อสู้มาตลอดโดยไม่ได้หยุดพัก ข้าคิดว่ามันจะไม่เป็นธรรมต่อเขา”
“ข้าไม่ได้บอกไปแต่แรกแล้วหรือว่าอย่าได้เปิดปากกล่าวอะไรออกมา มิเช่นนั้นข้าจะสังหารเฉิงฮ่าวทิ้ง” จากนั้นมันปลายตามองไปยังฝูงชนที่กำลังยืนอยู่ด้านนอก
มู่เสวี่ยที่มองตามสายตานั้นไป นางกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ โลหิตจางๆไหลออกมาจากมุมปากของนาง ที่นางแสดงอาการเช่นนี้เพราะว่า
ท่ามกลางฝูงชนนับพันๆคน เฉิงฮ่าวในสภาพอิดโรยกำลังถูกหิ้วปีกจากบุรุษฉกรรจ์สองคน เห็นได้ชัดว่ามู่ซวนเฟิงใช้มันเป็นสายโซ่ในการบังคับมู่เสวี่ยให้ทำตามที่มันต้องการ
บนเวทีประลองหนิงเทียนมองไปยังสองที่นั่งที่ยังเหลือ ก็คือราชวงศ์ไห่ เจ้าผู้ครองเมืองไห่หนานและนิกายหอกโลหิต นิกายระดับบันไดสวรรค์ขั้นที่1(อีเทียนโหลว)
ใบหน้าของหนิงเทียนแม้จะถูกฉาบด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา แต่ภายในของมันนั้นรู้ดีว่าพลังปราณในทะเลลมปราณเหลือไม่ถึง3ใน10ส่วนด้วยซ้ำไป
แม้มันจะใช้โอสถสวรรค์ฟื้นพลังเข้าช่วยแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าลมปราณของมันจะฟื้นคืนมาในทันทีที่กินลงไป มันยังคงต้องการเวลาครู่หนึ่งในการฟื้นฟูพลัง
แต่ความต้องการเวลาพักฟื้นของมันเห็นทีว่าจะไม่เป็นผล เมื่อฮันซินกล่าวประกาศออกมา “เริ่มการประลองในรอบที่7 เชิญราชวงศ์ไห่ขึ้นมา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาของบุรุษชุดทองหรี่แคบพร้อมมองไปยังมู่ซวนเฟิง “ดูเหมือนว่า มันจะตีค่าราชวงศ์ไห่ของเราน้อยกว่านิกายหอกโลหิต”
“ท่านอ๋อง ให้ข้าขึ้นไปเอง เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นปีศาจร้ายมันสังหารคนเป็นผักปลา ข้าเกรงว่าท่านจะมีอันตราย” นักรบในชุดเกราะกล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ลืมมันไป ตู้หลง เจ้าเองก็อยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่แดนทรราช เหมือนเช่นเหอตงหลิวและฮุยเหยียนฟาง คงไม่มีประโยชน์อันใดที่เจ้าจะขึ้นไปเสี่ยงชีวิต” บุรุษในชุดทองผู้เป็นเจ้าครองเมืองไห่หนานกล่าวออกมา
“พระบิดา ลูกเองก็ไม่ต้องการให้ท่านไปเสี่ยงอันตราย สตรีนั้นมีอยู่ทั่วไป แม้นางจะเป็นสตรีในดวงใจของลูก แต่นางนั้นก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าความปลอดภัยของพระบิดา”ไห่เทียนตี้กล่าวออก
“เทียนตี้เจ้าไม่ต้องห่วง บิดาได้บอกไปแล้วว่าบิดามีวิธีรับมือกับถงจือโหย่ว แล้วเหตุใดบิดาจะไม่สามารถรับมือกับเด็กหนุ่มผู้นั้นได้ละ” ในสายตาของเจ้าเมืองไห่หนาน คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมันก็ยังคงเป็น หูทิพย์ ถงจื่อโหลวเช่นเดิม