บทที่ 141 หายนะสีดำ 3
ฮุยเหยียนฟางได้ยินเช่นนั้น มันหัวเราะเยาะออกมาพร้อมกล่าวตอบไป “ดีมาก ซือหม่า หนิงเทียน เมื่อข้าได้สัมผัสกับตัวเองแล้วเจ้านั้นช่างยโสโอหังและหยิ่งผยองยิ่งกว่าที่ได้เห็นจากไกลๆเสียอีก”
“อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระอยู่เลย เจ้าเพียงแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าเท่านั้น”คำกล่าวขอหนิงเทียนนั้นเห็นได้ชัดว่ามันไม่แม้แต่จะใส่ใจต่อนิกายกระบี่เทวดาและถ้าพูดกันตามตรงละก็ นิกายกระบี่เทวดาไม่ได้อยู่ในสายตาของมันเลยแม้แต่น้อย
ถ้อยคำของหนิงเทียนนั้นสร้างความตะลึงให้แก่ปุยเฉียนและปุยเฉาเป็นอย่างยิ่ง มันกล่าวออกมาพร้อมกัน “เจ้าเด็กนี้เอาจริงหรอกหรือ!!”
เมื่อหนิงเทียนไม่ได้ยินคำใดออกจากปากของฮุยเหยียนฟาง เงาร่างของมันพลันวูบหายไป เก้าวิญญาณท่องนภาถูกใช้ออกอย่างเต็มกำลัง ความเร็วของมันราวกับว่ากำลังลิงโลดอยู่บนก้อนเมฆ
ทันใดนั้นเองหนิงเทียนเปิดปากออกมาด้วยเสียงเย็น “ข้าจะเริ่มละน่ะ” สิ้นเสียงนั้นเงาร่างของหนิงเทียนอยู่ด้านหน้าของปุยเฉียน
แม้การเคลื่อนไหวนั้นจะรวดเร็วแต่มันก็หาได้ไวกว่าสายตาของกระบี่ซ้าย ปุยเฉียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสามเมืองใหญ่
“เด็กน้อยช่างไม่เจียมตัว จงตายไปพร้อมกับความหยิ่งผยองของตัวเองเถอะ!!” กล่าวจบปุยเฉียนง้างกระบี่ขาวของมันฟาดไปยังเงาร่างของหนิงเทียน
แต่ทว่ามันกลับได้ยินเพียงแต่เสียงของกระบี่ที่ตัดอากาศเท่านั้น ร่างของหนิงเทียนที่ปรากฎต่อหน้ามันกลายเป็นภาพติดตาเสมือนจริง
จากนั้นเงาร่างของหนิงเทียนวูบหายไปอยู่ด้านหลังของปุยเฉียนราวกับภูตผี
“ระวัง!!!!!” ฮุยเหยียนฟางร้องเตือนพร้อมสะบัดกระบี่เข้าช่วยเหลือปุยเฉียนทันที ร่างของหนิงเทียนถูกรังสีกระบี่ตัดขาดเป็นสองท่อน
“นั้นก็ภาพติดตา!! พวกเราระวังตัวเจ้าเด็กนี้มีท่าเท้าที่รวดเร็วยิ่งนัก” ฮุยเหยียนฟางกล่าวเตื่อนสหายของมันอีกสองคน ตัวมันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่มันต้องยอมลดเกรียติศักดิ์ศรีและรวมหัวกันเพื่อลุมเด็กหนุ่มอายุเพียง 16-17ปี
กระบี่ขวา ปุยเฉาเองก็เช่นกัน ความรู้สึกขบขันกับคำพูดของหนิงเทียนในคร่าแรกหายไปอย่างสิ้นเชิง เวลานี้มันรู้ถึงพิษสงและไม่กล้าที่จะประมาทหนิงเทียนอีกต่อไป...
ภายในที่นั่งของหมูตึกลมดำ มี่เฉิงหันไปถามนักพรตเต๋าด้วยใบหน้าฉีดขาว
“อะ...อาจารย์แล้วถ้าเจ้าเด็กซือหม่านั้นเกิดเอาชนะนิกายกระบี่เทวดาขึ้นมาได้จริงๆ พวกเราจะทำอย่างไรกัน!!??”
นักพรตเต๋าส่ายหน้าพร้อมกล่าวตอบอย่างติดๆขัดๆ “ระ...เรื่องนี้”ตัวมันเองก็ไม่รู้จะหาคำใดมากล่าวตอบแก่มี่เฉิงได้ ตัวตนของพวกมันนั้นอยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด
ถ้านิกายกระบี่เทวดาใช้ผู้ฝึกตนในแดนแห่งวีรชนขั้น9 สามคนยังไม่สามารถเอาชนะได้ ตัวมันเองก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน แต่ครั้นจะกล่าวตอบความจริงแก่ลูกศิษย์ไปนั้นออกจะเป็นเรื่องที่กระดากปากตัวเองอยู่ไม่น้อย
ขณะที่นักพรตเต๋ากำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บุรุษที่นั่งด้วยท่าทีสบายๆกล่าววาจาออกมาว่า
“เต๋าคง ดูเหมือนว่าการที่ข้าได้ตามเจ้ามายังที่แห่งนี้ จะไม่เสียเวลาเปล่าสินะ เด็กหนุ่มผู้นั้นปล่อยให้ข้าจัดการเอง มันเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของนักเชิดวิญญาณ หวูหนาน”
“พี่หวู หมายความว่าถ้าเจ้าหนุ่มนั้นเกิดชนะขึ้นมาจริงๆ ท่านจะเป็นคนขึ้นไปสู้กับมันหรือ???”นักพรตเต๋ากล่าวออกมาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
เดิมทีมันได้ชวนหวูหนานผู้นี้มาเพียงเพื่อต้องการสานสัมพันธ์พี่น้องเท่านั้น แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์เช่นนี้มันจะกล่าวเสนอตัวลงประลองในชื่อของหมู่ตึกลมดำ
ไม่ว่าจะร้ายหรือดี แพ้หรือชนะอย่างน้อยหมู่ตึกลมดำของมันก็ไม่ต้องทนเสียหน้ารับคำปรามาสจากผู้คนแล้ว
ปัง!!! ขณะที่พวกมันกำลังกล่าวสนทนากันอยู่นั้น ร่างของปุยเฉียนถูกเจาะทะลวงจนเกิดเป็นรูโหว่ตรงกลางท้อง พร้อมกระเด็นออกมานอนหายใจแผ่วเบาอยู่เบื้อล่างเวทีประลอง
ความรู้สึกของปุยเฉียนผสมปนเปกันไปหมด มันไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่ยังมีชีวิตรอดหรือเสียใจที่ได้พ่ายแพ้เด็กหนุ่มผู้นี้ดี
ทันใดนั้นเอง ก้อนน้ำแข็งขนาดเท่าปลายนิ้ว พุ่งออกมาจากบนเวทีมันวิ่งผ่านเป็นเส้นตรงทะลวงผ่านลำคอของปุยเฉียน
ซวบ!!! พร้อมกันนั้นประกายแสงในดวงตาของปุยเฉียนดับวูบลง ร่างของมันกระตุกอยู่สามถึงสี่ครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป
ฮุยเหยียนฟางกล่าวออกด้วยโทสะที่ได้เห็นสหายของมันตกตายไปต่อหน้า “ตัวบัดซบ!! ปุยเฉียนกระเด็นตกออกนอกเวทีประลองไปแล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่หยุดมืออีก”
“ข้าจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องถามเจ้า”หนิงเทียนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา จากนั้นมันพุ่งตัวเข้าประชิดกับปุยเฉา การเผาไหม้ของลมปราณกำลังขยายตัวร่างของหนิงเทียนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัตว์ป่า
กำปั้นของมันมีไฟสีแดงพวยพุ่งอยู่ระหว่างนิ้วมือทั้งห้า “ถ้าเจ้ารับหมัดของข้าได้และยังมีชีวิตรอดอยู่อีก ข้าสัญญาว่าจะปล่อยให้เจ้าได้มีชีวิตต่อไป”
ที่หนิงเทียนใช้การโจมตีอย่างโหดเหี้ยม และสังหารปุยเฉียนอย่างไม่ลังเลเป็นเพราะมันต้องการสร้างความหวาดกลัวให้สละลึกไปยังจิตใจของหมู่ตึกลมดำและราชวงศ์ไห่
โดยหวังว่าพวกมันจะเกรงกลัวและเลือกที่จะไม่เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเหมือนเช่นตระกูลฉางและตระกูลซางที่ยอมสละสิทธิ์ไป
เมื่อสิ้นคำกล่าวของหนิงเทียน ปุยเฉารู้สึกเหมือนว่ามันกำลังถูกจ้องมองโดยสัตว์ร้าย และอีกเพียงไม่กี่ลมหายใจข้างหน้าตัวมันจะตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายที่มีนามว่าซือหม่า หนิงเทียน
สัญชาตญาณของปุยเฉาบอกให้ตัวมันเองถอยหนี แต่นั้นก็สายไปเสียแล้ว บัดนี้ร่างของหนิงเทียนคล้ายภูตพรายปรากฎอยู่เบื้องหน้าของมัน หมัดอสูรพิโรธของหนิงเทียนถูกใช้ออก มันชกไปยังหน้าอกของปุยเฉาอย่างเต็มกำลัง
เมื่อเทียบกับท่าเหยียบสามวิญญาณแล้ว หมัดอสูรพิโรธนั้นจะสิ้นเปลืองพลังลมปราณน้อยกว่าแต่กลับมีพลังทำลายที่มากกว่า
ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะหมัดอสูรพิโรธนั้นเหนือกว่าท่าเหยียบสามวิญญาณแต่อย่างใด แต่มันเป็นเพราะว่าร่างกายของหนิงเทียนนั้นหลอมรวมธาตุแห่งแสงเข้าสู่ร่าง มันจึงเกื้อหนุนส่งเสริมหมัดอสูรพิโรธที่เป็นพลังงานธาตุหยาง
ทันทีที่หมัดอสูรพิโรธกระทบกับร่างของปุยเฉา พลังงานความร้อนเผาผลาญร่างของปุยเฉา จนกลายเป็นเถ้าถ่านและสลายหายไปพร้อมกับแรงลม...
เมื่อฮุยเหยียนฟางเห็นภาพดังกล่าว แทนที่มันจะโกรธแค้นและพุ่งร่างเข้าหาหนิงเทียน แต่กลับถอยห่างด้วยความกลัว ปุยเฉานั้นแข็งแกร่งเพียงใด ตัวมันรู้ดีที่สุด
"หมัดที่ใช้สังหารปุยเฉานั้นคืออะไรกัน??" ภายในใจของฮุยเหยียนฟางกู่ร้องออกมาด้วยความตกตะลึงปนกับความหวาดผวา
"พลังปราณในแดนวีรชนขั้น9ไม่แม้แต่จะสามารถคุ้มครองร่างให้กลายเป็นศพในสภาพสมบูรณ์ได้เลยหรือไง?? มันน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว"
แน่นอนความแค้นครั้งนี้จะต้องสะสางแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่ตอนนี้เด็ดขาด ฮุยเหยียนฟางไม่สนใจในศักดิ์ศรีของปราชญ์กระบี่
มันเพียงแต่ต้องการลงจากเวทีประลองพร้อมออกจากเมืองฉางผิงไปให้เร็วที่สุด มีแต่คนเป็นเท่านั้นที่สามารถดื่มด่ำกับอำนาจได้
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว พลังปราณที่เคยใช้ออกเพื่อโจมตีหนิงเทียนกลับถูกดึงกลับ มันโคจรปราณทั้งหมดไปที่เท้าทั้งสองข้าง แม้ฮุยเหยียนฟางจะไม่ได้เด่นในเรื่องท่าเท้า แต่ด้วยการระเบิดพลังในเวลาสั่นๆน่าจะเพียงพอให้มันหนีลงไปจากเวทีประลองได้
“เฮอะ!!” เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังจะหนีออกจากเวทีประลอง หนิงเทียนสะบัดมือไปบนอากาศ แท่งน้ำแข็งอันแหลมคมนับสิบตกลงมาปิดกั้นเส้นทางหนีของฮุยเหยียนฟาง
ปัง ปัง ปัง!!!! หยาดน้ำแข็งอันแหลมคมที่ถูกสร้างจากลมปราณปรากฎออกมาอย่างรวดเร็ว มันเพียงแต่เห็นเป็นประกายแสงวาบผ่านเท่านั้น กระบี่ฟ้าอาวุธในแดนวีรชนของฮุยเหยียนฟาง ถูกใช้ออก
จากนั้นมันฟาดฟันด้วยทักษะต่อสู้ระดับปราชญ์ขั้นสูง เพลงกระบี่ร่อนสวรรค์ กระบวนท่าล่าสังหาร หมายที่จะเข้าสกัดกั้นแท่งน้ำแข็งเหล่านั้น ลมปราณสีน้ำเงินปรากฎขึ้นเป็นริ้วของตาข่ายปกป้องร่างของฮุยเหยียนฟางจากหยาดน้ำแข็ง
“เจ้าเด็กนี่เป็นใครกันแน่ มันสามารถแช่แข็งอากาศให้กลายเป็นดาบที่แหลมคมได้อย่างไรกัน”ฮุยเหยียนฟางตกใจมาก กระบวนท่าล่าสังหารที่เคยใช้ตัดศีรษะเหล่าตัวตนระดับสูงมามากมายกลับทำได้เพียงแต่ปัดป้องตัวเองจากความตายเท่านั้น
เวลานี้มันไม่สามารถที่จะก้าวเท้าหนีลงไปได้อีกแล้ว เมื่อไร้ซึ่งทางถอยหนี ฮุยเหยียนฟางเปิดปากออกอย่างไม่กลัวสิ่งใดอีก
“ข้ายอมแพ้ ข้ายอมแพ้ ฮันซินเจ้าไม่ได้ยินหรือ!!!! ข้าบอกว่ายอมแพ้ รีบหยุดเจ้าเด็กเสียสตินี้โดยเร็ว”
ฮันซินที่ยืนตัวแข็งอยู่ได้สติจากเสียงร้องขอให้ช่วยเหลือ ความคิดที่ว่าหนิงเทียนนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่กอปรด้วยโชคดีอันมากมายไม่มีเหลือในหัวมันอีก ฮันซินรีบกล่าวออกด้วยความสุภาพ
“คุณชายหนิงโปรดยั้งมือการประลองจบลงแล้ว แน่นอนว่าท่านเป็นผู้ชนะ”
หนิงเทียนพยักหน้าพร้อมหยุดยืนอยู่กับที่มันไม่ได้พุ่งตัวไล่ล่าเพื่อเอาชีวิตฮุยเหยียนฟางต่อแต่อย่างใด มันเพียงแต่ก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างช้าๆทีละก้าวเท่านั้น
แต่เพียงแค่ก้าวแรกฮุยเหยียนฟางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวมันถูกเหล่าวิญญาณร้ายนับพันๆตัวกำลังสิงสู่และจู่โจม ใบหน้าของมันซีดขาวด้วยความกลัว
เวลานี้ตัวมันรับรู้ได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าเหอตงหลิวไม่ได้ตายเพราะธาตุไฟเข้าแทรกแต่อย่างใด มันตกตายเพราะทักษะที่คล้ายกับการก้าวเดินของเทพเจ้า
'เหอตงหลิวร่างกายแหลกเหลวในก้าวที่สาม นี้ข้ามีเวลาเหลืออีกแค่สองก้าวเท่านั้น!!!'
ความรู้สึกผิดประดังเข้ามาภายในใจ มันรู้สึกว่าการกระทำของตัวมันครั้งที่โง่เง่าที่สุดตั้งแต่เกิดมา สิ่งที่มันเสียใจที่สุดคือการที่ได้กล่าวคำหลบหลู่เด็กหนุ่มผู้นี้และที่สำคัญมันไม่น่าสนใจการประลองเลือกคู่ของตระกูลมู่เลย
ส่วนความแค้นของกระบี่ซ้ายและกระบี่ขวานะหรือต่อให้มันมีความกล้ามากกว่านี้อีกสักสิบเท่ามันก็ไม่กล้าคิดที่จะเอาผิดเด็กหนุ่มคนนี้อีกแล้ว
ด้วยความหวาดกลัวในตัวของหนิงเทียนกอปรกับความเกรงกลัวต่อความตาย ทำให้ฮุยเหยียนฟางโขกศีรษะของมันลงกับพื้น
มันที่เคยก่นด่าดูถูก ตระกูลผู้ครองเมืองฉางผิงและหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ ตระกูลซางว่าเป็นพวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าสู้แม้แต่เด็กหนุ่มตัวน้อยๆ กลับต้องมามีสภาพเช่นนี้
ภายในใจของมันร้องโอดครวญถึงการกระทำของฉางเหล่ยและซางฉู่ว่าเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดอย่างที่สุด
แค่เพียงก้าวแรกก็สลักความหวาดกลัวเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจฮุยเหยียนฟางได้แล้ว “เพียงเท่านี้คงจะพอที่ทำให้มันรู้ถึงสถานะของตัวเอง การจะใช้ก้าวที่สองและสามนั้นข้าเกรงว่าจะสิ้นเปลืองพลังปราณโดยไม่จำเป็น”
คิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนจึงคลายจิตสังหารลง พร้อมกับกล่าวไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าและจงจำไว้ให้ดีถ้าข้าเดินทางไปใต้เจ้าต้องอยู่เหนือและถ้าข้าไปเหนือเจ้าต้องอยู่ใต้ วันใดที่เจ้าเจอข้าอีกครั้งวันนั้นจะเป็นวันที่เจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
คำกล่าวของหนิงเทียนเรียกสติให้ผู้ชมฟื้นคืนจากอาการงงงันโดยสมบูรณ์
“น....น....นี่....นี่มันเป็นไปได้อย่างไร...เกิดอะไรขึ้น??” ผู้ชมทุกคนล้วนจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง พวกมันไม่อาจเชื่อในสายตาตัวเองได้
“เด็กนั้นอายุไม่น่าที่จะเกิน20ปีด้วยซ้ำ แถมระดับพลังของมันยังเป็นเพียงดินแดนนักรบ อีกทั้งมันเพียงคนเดียว...กลับสามารถสังหารกระบี่ซ้ายและกระบี่ขวาที่อยู่ในแดนวีรชนขั้นที่9
และยังสยบประมุขนิกายกระบี่เทวดาฮุยเหยียนฟางให้อยู่แทบเท้าได้” เสียงของผู้ชมกล่าวออกด้วยอาการสั่นเครือ สายตาที่มันมองไปยังหนิงเทียนราวกับว่ามันกำลังจ้องมองเทพบนฟ้าหรือปีศาจจากขุมนรกก็ไม่ปาน
“ชะ...โชคดี ใช่ความโชคดีหรือไม่??.....” พวกมันพยามที่จะหลอกตัวเองอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้มันแตกต่างจากตอนที่เหอตงหลิวตายไป
ฮุยฟางมองบิดาที่กำลังโขกศีรษะอยู่กับพื้นด้วยแววตาเฉยเมย มันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของมันพังทลายลง เกรียติและศักดิ์ศรีที่มันเคยทะนงตนแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
หลวนคุนเปิดปากออกมาก “ช่างทรงอำนาจ และน่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้”
“ผู้อาวุโสหลวนคุน ท่านรู้หรือไม่ ทักษะหมัดใดกันที่พี่ชายหนิงใช้ออกเหตุใดมันถึงมีพลังทำลายที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้” จินเหล่าต้ากล่าวถามด้วยสายตาที่เบิกค้างเมื่อมองไปยังฮุยเหยียนฟางที่ก้มหัวแนบพื้น
หลวนคุนส่ายหน้า“เรื่องนี้ตาแก่เองก็ไม่สามารถเข้าใจถึงมันได้” หลวนคุนกล่าวออกมาตามจริงแม้มันจะเคยได้ยินชื่อของฑูตมรณะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะรู้จักกับปีศาจร้ายอีกตัวที่คนเรียกขานกันว่าอสูรคลั่ง
“หมัดอสูรพิโรธ ทักษะในคัมภีร์กายาเทพอสูร ดูเหมือนว่าตัวตนของเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ผู้สืบทอดของภูตปีศาจทั้งห้า!!” ชายชราที่นั่งอยู่ในมุมมืดของกลุ่มผู้ชมเปิดปากออกด้วยเสียงแผ่วเบา