บทที่ 140 หายนะสีดำ 2
เหอตงหลิวโบกมือเรียกดาบเทพศิลาดำออกมากระชับไว้ในมือโดยเร็ว จากนั้นมันกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้าเด็กต่ำช้า ข้าจะให้โอกาสเจ้านำอาวุธออกมาเพียง3ลมหายใจเท่านั้น ถ้าเจ้ายังชักช้าอยู่อย่าได้หาว่าข้าเอาเปรียบเด็กน้อยเช่นเจ้าก็แล้วกัน”
หนิงเทียนพูดออกพรางหัวเราะหึ “ปราชญ์แห่งดาบหรือ? น่าขันการจะเอาชนะเจ้านั้นข้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธด้วยซ้ำ”ถ้อยคำของหนิงเทียนนั้นสร้างความขบขันให้แก่ผู้ชมอยู่ไม่น้อย
ภายในที่นั่งของนิกายหอกโลหิต
บุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างถงจื่อโหยวเปิดปากพร้อมส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนั้นมีระดับพลังเพียงดินแดนนักรบขั้นที่9หรือไงกัน”
“ตามจริงมันควรเป็นเช่นนั้น แต่ข้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่พวกเราเห็นกัน บางทีมันอาจจะบ่มเพาะทักษะที่เกี่ยวกับการอำพรางพลังปราณก็เป็นได้”
ถงจื่อโหยววิเคราะห์ออกมา หูทิพย์ ถงจื่อโหยวนั้นสมควรแก่ฉายาที่คนเรียกขานกันแล้ว เพียงแค่จ้องมองมันกลับวิเคราะห์ได้ถูกถึง 5ใน10ส่วน
“อืม ถ้าเป็นเช่นที่ศิษย์พี่ว่ามา นั้นก็สามารถบอกได้ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างทำตัวยโสโอหังและทะนงตนอย่างเหิมเกริมเช่นนี้”
ขณะเดียวกัน บนเวทีประลอง เหอตงหลิวได้กล่าวนับถึงสามลมหายใจแล้ว “ในเมื่อข้าให้โอกาสแล้วเจ้าไม่รับมันก็จงตายไปพร้อมกับความหยิ่งผยองนั้นเสียเถอะ”
หนิงเทียนหาได้สนใจคำกล่าวของเหอตงหลิวแม้แต่น้อย มันเพียงแต่ก้าวเท้าตรงไปข้างหน้า หนึ่งก้าวที่เท้าของมันสัมผัสถึงพื้น เมฆหมอกสีดำก่อตัวขึ้นและพุ่งตรงไปยังร่างของเหอตงหลิวราวกับว่ามันมีสตินึกคิดเป็นของตนเอง
พลังปราณสีดำมืดแผ่กระจายออกมาจากหนิงเทียน เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้มันเลือกที่จะใช้ออกด้วยเก้าวิญญาณท่องนภาของบิดาสี่ ระลอกคลื่นของลมปราณผกผันเสียดแทงอากาศจนบังเกิดเสียงหวีดร้องของเหล่ากองทัพวิญญาณร้าย
เมื่อหนิงเทียนย่างเท้าก้าวแรกลงสู่พื้นไปนั้น มันได้หวนคิดถึงคำพูดที่บิดาสี่ได้สั่งสอนมันไว้
“เทียนเอ๋อเจ้าอย่าคิดว่าเก้าวิญญาณท่องนภาเป็นเพียงท่าเท้าวิ่งหนีเหมือนที่ ท่านพ่อคนอื่นๆเป่าหูเจ้ามา ถ้ามันนั้นเป็นเพียงท่าเท้าอย่างเดียวละก็มันคงไม่สามารถสร้างชื่อให้บิดาทูตมรณะ จูซงได้แน่
และนี้คือท่าเหยียบสามวิญญาณทักษะนี้เป็นหนึ่งในคัมภีร์บ่มเพาะมารทมิฬของบิดา เจ้าจะสามารถใช้มันได้โดยไม่กระทบต่อจิตใจของตนเองก็ต่อเมื่อพลังของเจ้าเพียงพอหรือเทียบเท่ากับแดนแห่งวีรชน”
ทักษะส่วนใหญ่ที่หนิงเทียนได้เรียนรู้มาตลอดสิบห้าปีนั้น พวกมันล้วนเป็นทักษะระดับสูงทั้งหมดสิ้น แม้ว่าบิดามารดาทั้งห้าคนจะไม่ได้กล่าวถึงระดับของพวกมันให้หนิงเทียนได้ฟังเลยแม้แต่น้อย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนิงเทียนแน่ใจว่าพวกมันคือทักษะระดับสูงที่ยิ่งกว่าคำว่าสูง ก็คือเพียงแค่ทักษะโจมตีกระบวนท่าแรก มันยังสิ้นเปลืองพลังปราณที่ใช้เป็นอย่างมาก
และพวกทักษะเหล่านั้นจำเป็นต้องมีพลังบ่มเพาะที่สูงจึงจะสามารถใช้ออกโดยไม่มีผลกระทบต่อจิตวิญญาณของผู้ใช้อีกด้วย
แค่เพียงเท้าก้าวแรกที่หนิงเทียนย่ำลงสู่พื้น ขาทั้งสองข้างของเหอตงหลิวพลันไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนขึ้น ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวราวกับว่ามันกำลังต่อสู้กับเจตจำนงแห่งการสังหารนับพันนับหมื่น
เมื่อร่างของเหอตงหลิวทรุดลงกับพื้น ทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบเสียงและมองไปที่มันด้วยความสงสัย
ใบหน้าของหนิงเทียนยังคงฉาบด้วยรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง มันก้าวเท้าที่สองย่างกายเข้าไปใกล้เหอตงหลิวอีกครั้ง
เมื่อเท้าของหนิงเทียนสัมผัสกับพื้นเป็นคร่าที่สอง ร่างกายของเหอตงหลิวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ดวงตา ปาก หูและจมูกต่างมีเลือดไหลซึมออกมา
แม้ทุกสายตาของผู้ชมมองการเดินของหนิงเทียนเป็นเพียงการย่างก้าวเข้าหาคู่ต่อสู่อย่างที่คนอื่นๆทำกัน แต่ภายในมุมมองของเหอตงหลิว มันรู้สึกเหมือนกับว่าทุกย่างก้าวนั้นต่างนำพาวิญญาณร้ายจากขุมนรกเข้ามาโจมตีมัน
ในก้าวแรกมันเสมือนกับการถูกภูตผีวิญญาณร้ายเข้าจู่โจมนับพันๆตัว และในก้าวที่สองมันทวีจำนวนขึ้นเป็นหมื่นๆตัว
เวลานี้ฝูงชนนับพันๆคนหายไปจากมโนภาพโดยรอบของเหอตงหลิวโดยสิ้นเชิง มันเห็นแต่ดวงวิญญาณของผู้ตายที่มันได้เคยสังหารมาตลอดช่วงชีวิตกำลังทวงถามหาความเป็นธรรมจากมันอยู่
“ไป!!!....ไปออกไป พวกเจ้าตายไปแล้วออกไป อย่า...อย่าเข้ามา อย่าออกไปอย่าเข้ามาออกไป” เหอตงหลิวพึมพำราวกับคนเสียสติ
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป”เหอสุ่ยลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวด้วยความเป็นห่วง
หนิงเทียนได้ยินเช่นนั้นมันหยุดเท้าก่อนจะหันหน้าไปยังเหอสุ่ย พร้อมกล่าวออกด้วยเสียงเย็นชา
“เหอสุ่ยวันนั้นในเหล่าอาหารชิงเยี่ย ข้าได้กล่าวเตือนเจ้าไปแล้ว แต่เป็นเจ้าเองที่ไม่ฟังคำพูดของข้า และเป็นตัวเจ้าเองที่ทำให้คำว่ากรรมของบุตรส่งถึงบิดา เป็นจริงขึ้นมาในวันนี้” สิ้นคำกล่าวของหนิงเทียน ก้าวที่สามของมันเหยียบลงบนพื้น
ทันใดนั้นเส้นลมปราณของเหอตงหลิวค่อยโปร่งพองขึ้น มันขยายตัวออกจนใหญ่และใหญ่ขึ้นจนในที่สุดเส้นลมปราณของมันก็ไม่สามารถทนทานได้อีก มันระเบิดออกมาจากภายในจนส่งเสียงดัง
“โพล๊ะ!!!!” พร้อมๆกับเสียงนั้นร่างของเหอตงหลิวที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นระเบิดออก มันไม่เหลือแม้แต่ซากศพให้เหอสุ่ยได้นำกลับไปประกอบพิธีกรรมเลยด้วยซ้ำ
ละอองเลือดจางๆผสมเข้ากับสายลมที่พัดผ่าน มันพัดไปยังที่นั่งของผู้ชม กลิ่นคราวเลือด เข้ากระทบกับจมูกและปากของผู้ชมเหล่านั้น ทำให้ฝูงชนบางส่วนอาเจียนออกมาอย่างสะอิดสะเอียน
ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมนับพันๆหรือเหล่าตัวตนระดับสูงที่เข้าร่วมประลองต่างมีจำนวนเพียงสองคนเท่านั้นที่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
คนแรกมันคือหลวนคุน ดวงตาของมันเบิกกว้าง ปากของมันอ้าออก ตัวตนที่เคยเป็นคุณปู่ผู้สง่างามกลับถูกความตะลึงลานเข้าครอบงำจนเสียภาพพจน์ไปชั่วเวลาหนึ่ง
จากนั้นมันพึมพำออกมาด้วยความหวาดกลัว“ระ...หรือว่าจะเป็นทักษะในตำนาน!!!”
ส่วนคนที่สองนั้น คือชายชราที่ไม่มีใครให้ความสนใจ มันนั่งอยู่บนกลุ่มผู้ชมในมุมที่ไม่สะดุดตานัก ดวงตาที่ฉายแววขี้เล่นเมื่อดูชมการต่อสู้ต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นจริงจังเมื่อเห็นภาพเมื่อครู่
มันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็น “เก้าวิญญาณท่องนภาหวนคืนสู่แดนสวรรค์อีกครั้ง การหวนคืนครั้งนี้จะมีอีกกี่ล้านชีวิตที่จะต้องสังเวยให้กับมัน”
จินเหล่าต้าที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักได้ยินสิ่งที่หลวนคุนพึมพำออกมาอย่างลืมตัว จึงกล่าวถามออกไปว่า
“ผู้อาวุโสหลวนคุน การก้าวเท้าของพี่ชายหนิงนั้นคือทักษะต่อสู้หรือ?? ถ้าใช่แล้วมันคือทักษะอะไรกัน เหตุใดตัวข้ารู้สึกว่ามันเป็นเพียงการก้าวเท้าเดินอย่างเช่นคนทั่วไปเท่านั้น”
จั่วจิงหนานที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หันไปมองหลวนคุนราวกับว่ากำลังรอฟังคำตอบของคำถามนั้น ตัวมันท่องไปทั่วพื้นที่ราบภาคกลางแห่งนี้ มานับร้อยๆปีก็ยังไม่เคยเห็นทักษะต่อสู้เช่นนี้มาก่อน
ไม่สิต้องบอกว่าตัวมันเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการก้าวเท้าเดินนั้นคือทักษะต่อสู้ที่นายของมันได้ใช้ออก
เสียงของจินเหล่าต้าเรียกสติของหลวนคุนกลับมา มันกล่าวถามออกท่ามกลางความเงียบ
“ถ้าตาแก่ไม่ได้เข้าใจผิดไป ทักษะที่คุณชายหนิงใช้สมควรจะเป็นทักษะต่อสู้ในคัมภีร์มาร ชื่อของมันคือ ท่าเหยียบสามวิญญาณ จะต้องไม่ผิดแน่ มีเพียงท่าเหยียบสามวิญญาณเท่านั้นที่จะมีอานุภาพเช่นนี้ได้”
“ผู้อาวุโสหลวนคุน ท่านช่วยอธิบาย ท่าเหยียบสามวิญญาณให้พวกเราเข้าใจได้หรือไม่ ท่านกล่าวทิ้งให้ตัวท่านเข้าใจเพียงคนเดียว ความสงสัยมันจะทำให้เด็กน้อยอย่างข้าเป็นบ้าได้แล้ว” จินเหล่าต้าโอดครวญออกมาอย่างน่าสงสาร
หลวนคุนส่ายหน้าพร้อมมองไปยังจินเหล่าต้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นมันจึงกล่าวออก
“ในเรื่องนี้ตัวของตาแก่เองก็ไม่ได้รู้เรื่องมากนัก เพียงแค่ครั้งหนึ่งตาแก่เคยอ่านมันจากบันทึกข่าวสารที่หายไปของสมาคมการค้าสาขาใหญ่เท่านั้นเอง
มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ1000ปีก่อน ในช่วงเวลานั้นมีปีศาจร้ายตนหนึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นใครมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร แต่กระนั้นผู้คนล้วนแต่กล่าวขานเรียกมันเป็น ทูตมรณะ
ในอดีตเมืองใหญ่ของทวีปทั้งสี่ ต่างล่มสลายหายไปกันทีละเมืองสองเมือง จากคำบอกเล่าของผู้ที่รอดชีวิตมาได้ มันกล่าวออกเพียงแค่ว่า
ทูตมรณะคนนั้นกำลังเดินชมวิวของเมืองโดยที่ไม่ได้ลงมืออันใดเลย แต่ในทุกๆสามก้าวที่มันย่ำเดิน ทุกสรรพชีวิตในรัศมีสิบลี้ต่างตกตายโดยไม่เหลือซากศพให้ได้เห็น ชีวิตผู้คนนับล้านล้วนหายไปในค่ำคืนเดียว
เรื่องนี้ร้อนถึงจักรพรรดิเจ้าผู้ปกครองของทวีปทั้งสี่ต้องร่วมมือกันตามล่าปีศาจร้ายตัวนั้น แต่ด้วยท่าเท้าที่รวดเร็วดุจเทพเจ้า
มันสามารถหนีรอดจากการไล่ล่าของสี่จักรพรรดิได้โดยไร้ซึ่งบาดแผล หลังจากที่มันหลุดรอดจากการไล่ล่าของเหล่าตัวตนจักรพรรดิ ปีศาจร้ายตนนั้นก็ได้หายตัวไปราวกับเมฆหมอกมาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว
ในตอนที่ตาแก่ยังเด็กนั้น อาจารย์มักจะชอบบอกว่า ถ้าตาแก่ผู้นี้ไม่ตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะละก็ ทูตมรณะจะมาเอาตัวไป ช่างน่าอายจริงๆ ” หลวนคุนกล่าวออกมาราวกับว่ามันกำลังเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กน้อยแซ่จินได้ฟัง
ด้วยคำบอกเล่าที่เกินกว่าจะเชื่อได้เช่นนี้ จินเหล่าต้ามองบนพร้อมตอบออกไป “นิทานของท่านปู่ไม่เลวเลยจริง เพียงแค่ได้ยินข้าก็รู้สึกหัวลุกขึ้นมา แต่ข้ามิใช่เด็กน้อยแล้วน่ะ!!”
“ฮ่าๆๆ” หลวนคุนหัวเราะพร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ตาแก่ก็นึกว่าเด็กซนเช่นท่านจะชอบฟังนิทานก่อนนอนเสียอีก”
แม้มันจะกล่าวออกแก่จินเหล่าต้าเช่นนี้แต่ภายในใจของมันส่งเสียงโหวกเหวกอย่างไม่สงบ “ท่าเหยียบสามวิญญาณของภูตมรณะกอปรกับป้ายเหล็กนิลกาฬของราชันย์หมื่นพิษ เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่???”
….
“อะไรกัน!! ธาตุเข้าแทรกหรอกหรือ??”
“เจ้ากล่าวไม่ผิดแล้ว ข้านึกว่าจะได้เห็นการต่อสู้ที่ตื่นเต้นกว่านี้เสียอีก แย่จริงๆเจ้าสำนักดาบศิลาผู้เกรียงไกรไม่น่าทำพลาดโง่ๆจนต้องมาจบชีวิตตัวเองเช่นนี้เลย”
ฝูงชนทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เหอตงหลิวนั้นธาตุไฟแตกซ่านจนร่างกายระเบิดไปเอง
“ศิษย์พี่นั้นมันคืออะไรกัน ท่านสัมผัสถึงมันได้หรือไม่?”บุรุษด้านข้างถงจื่อโหยวกล่าวถามด้วยความตระหนก
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ คงจะมีทางเดียวที่จะตอบคำถามของเจ้าได้คือจับเจ้าเด็กนั้นมาเค้นคอถาม ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเหอตงหลิวก็แล้วไป
แต่ถ้ามันเกิดมาจากทักษะต่อสู้บางอย่างละก็ นิกายหอกโลหิตของเรานับว่ามีวาสนาแล้วที่ได้พบกับทักษะระดับที่สูงกว่าแดนปราชญ์ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้” ถงจื่อโหยวจับจ้องไปยังหนิงเทียนด้วยแววตาแห่งความโล�
แม้แต่ฮันซินก็ทอดถอนลมหายใจออกมา เจ้าเด็กนี้ช่างโชคดีจริงๆ จากนั้นมันกล่าวออกมาตามหน้าที่
“การประลองในรอบที่4 ตระกูลซือหม่าเป็นฝ่ายชนะ เพื่อไม่ให้เสียเวลาและดูเหมือนว่าคุณชายหนิงเทียนจะยังไม่ได้ออกแรงอันใดเลยแม้แต่น้อย
แต่กระนั่นโชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ ข้าจะไม่ขอกล่าวถึงมัน เพียงแต่ว่าข้าจะประกาศเริ่มการต่อสู้ในรอบที่5 ทันที ขอเชิญนิกายกระบี่เทวดาขึ้นมาบนเวที”
สิ้นคำกล่าวของฮันซิน ที่นั่งของนิกายกะบี่เทวดาก็เริ่มขยับ ฮุยเหยียนฟางเดินอยู่ด้านหน้านำมือซ้ายและมือขวาของมันอีกสองคนออกมา
“ว้าววนั้นมันกระบี่เทวดา ฮุยเหยียนฟาง ปราชญ์แห่งกระบี่ ด้านหลังมันคือกระบี่ซ้ายปุยเฉียนและกระบี่ขวาปุยเฉา”
“นิกายกระบี่เทวดา มีตัวตนระดับขั้นที่9ในแดนวีรชนถึง3คนช่างแข็งแกร่งจริงๆ”
“ดีแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าเด็กซือหม่า จะไม่ได้มีโชคที่ดีเทียมฟ้าอีกนะ”
หนิงเทียนมองไปยังทั้งสามที่กำลังก้าวขึ้นมา มันครุ่นคิดออกอยู่ภายในใจ
‘ด้วยท่าเหยียบสามวิญญาณของข้าแม้จะมีอานุภาพที่รุนแรงแต่มันก็กินพลังปราณของข้าไปมากกว่าที่คิดนัก โชคดีจริงๆที่ทะเลลมปราณของข้านั้นมากกว่าผู้อื่น
แต่ถ้าจะต้องใช้มันอย่างต่อเนื่องเกรงว่าข้าจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่จนถึงการประลองรอบสุดท้ายได้’
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนไพล่แขนขวาไปด้านหลังพร้อมกับผายมือซ้ายไปทางทั้งสามก่อนจะกล่าวคำพูดที่สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้ชมทั้งหมด
“ตระกูลของข้านั้นเหลือเพียงข้าคนเดียวอีกทั้งข้ายังต้องเก็บแรงไว้ต่อสู้ในรอบต่อๆไปอีกด้วย ก็อย่างที่ข้าได้กล่าวไปเอาอย่างดีหรือไม่ พวกเจ้าทั้งสามเข้ามาพร้อมๆกันเลย มันจะช่วยให้ข้าประหยัดเวลาและพลังปราณไปอีกมากโข”
ฮันซินที่ยืนอยู่ใกล้ๆดวงตาของมันหรี่แคบลงพร้อมสถบออกด่าอยู่ในใจ “ไอเด็กบัดซบนี้จะหยิ่งผยองไปถึงไหนกัน”