บทที่ 139 หายนะสีดำ 1
เมื่อได้ยินคำสั่งของหนิงเทียนอย่างชัดแจ้งแล้ว มุมปากของจินเหล่าต้ายกยิ้มขึ้นมาภายในใจของมันร้องออก
‘ท่านพ่อ ท่านปู่ การที่ข้าติดตามผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ความคิดที่ผิดไปเลยจริงๆ’
ทันใดนั้น พลังในแดนปราชญ์ของมันถูกเร่งจนถึงขีดสุด จินเหล่าต้าพุ่งกายขึ้นไปบนเวทีประลองอย่างรวดเร็ว
“เด็กน้อย ข้าได้เตือนเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าห้ามไม่ให้คนนอกขึ้นมาบนเวทีขณะประลองเด็ดขาด”ฮันซินกล่าวออกด้วยเสียงเย็น ตัวมันที่เป็นถึงกรรมการถ้าปล่อยให้ผู้อื่นสอดมือเข้ามายุ่งได้ละก็ มันจะเอาใบหน้าของมันไปไว้ที่ใด
“ข้าไม่จำเป็นต้องฟังเจ้า หลบไป!!” จินเหล่าต้าตวาดออกเสียงดัง ความเกรงกลัวต่อตัวตนแดนวีรชนไม่มีอยู่ในหัวของมันเลยแม้แต่น้อย แม้มันจะมีอายุเพียงแค่15ปีแต่พลังใจของมันนั้นใหญ่โตเกินอายุไปมาก
“ปากกล้านักนะ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเด็กน้อยอย่างเจ้าแทนปู่ของเจ้าเอง”ฮันซินกล่าวออกอย่างดุร้ายถึงอย่างไร มันก็มีศักดิ์ศรีของผู้ฝึกตนในแดนวีรชนขั้นที่9 การจะยอมให้เด็กเมื่อวานซืนกล่าวเล่นหัวย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ฮันซินโคจรพลังปราณไปยังฝ่ามือ และเตรียมซัดออกด้วยฝ่ามือห้ามาตรา ทักษะประจำตัวของมันเอง แต่ขณะที่มันกำลังจะโจมตีไปยังจินเหล่าต้านั้น ดวงตาของมันต้องเบิกกว้าง มุมปากกระตุกถี่ขึ้นมา
ภาพที่ทำให้มันเกิดอาการเช่นนี้ก็คือ การที่เห็นร่างของจินเหล่าต้าถูกประดับไปด้วยลูกแก้วสวรรค์คำรามนับสิบๆลูก ไม่สิ มันอาจจะนับรวมได้เกิน20ลูกเสียอีก
แค่เพียงแรงระเบิดของลูกแก้วสวรรค์คำรามลูกเดียวก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนในแดนวีรชนขั้นแรกได้แล้ว สภาพศพของจ้าวเทียนไห่เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ดี
ฮันซินแม้จะกล่าวออกอย่างดุร้ายแต่มันก็ไม่ได้ลงมือซัดฝ่ามือออกไป ถ้าลูกแก้วสวรรค์คำรามที่ติดอยู่รอบตัวจินเหล่าต้าเกิดระเบิดขึ้นมาพร้อมกันละก็
ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ แม้มันจะใช้ปราณทั้งหมดเข้าปกป้องร่างก็ไม่มีทางที่มันจะรอดพ้นจากความตายไปได้เลย ด้วยเหตุนี้ร่างของฮันซินจึงแข็งค้างกลายเป็นหินไปชั่วคราว
จากนั้นมันกล่าวออกด้วยเสียงเย็น “เจ้าเด็กเสียสติ ถ้ามันเกิดระเบิดขึ้นมาเจ้าเองก็หนีไม่พ้นความตายเช่นกัน เจ้ายังอายุยังน้อยนัก ทำเช่นนี้มันคุ้มค่าหรืออย่างไรกัน”
มุมปากของจินเหล่าต้ายกยิ้มขึ้นมา“หึ...เจ้าสนใจแต่เรื่องของตัวเองเถอะ ไม่ต้องมาห่วงข้า ถ้าเจ้าไม่เตรียมใจที่จะตายแล้วก็อย่าได้ขวางทางข้าอีก หลบไป” พร้อมๆกันเสียงกล่าว ร่างของมันพุ่งร่างผ่านฮันซินไปโดยไร้ซึ่งการขัดขวางใดๆ
เวลานี้ตัวของฮันซินเองได้แต่ภวนาว่า เหอตงหลิวจะไม่ได้บ้าคลั่งและโจมตีใส่เด็กน้อยแซ่จินคนนี้ไม่เช่นนั้นพวกมันทั้งสี่จะต้องตกตายบนเวทีกันหมดแน่
ตูม!! ตูม!!! เสียงของลูกแก้วฟ้าคำรามสองลูกระเบิดออก มันส่งให้เหอตงหลิวถอยหลังออกไปยืนนอกเวทีด้วยความตกตะลึง ถ้าเป็นในยามปกติแล้วการที่มันจะกระชากคอเด็กน้อยแซ่จินให้มาคุกเข่าตรงหน้ามันนั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
แต่ในเวลานี้ตัวของมันเองก็เป็นเช่นเดียวกับฮันซิน มันถูกความน่าสะพรึงของลูกแก้วสวรรค์คำรามหยุดการโจมตีไว้อย่างสิ้นเชิง
สิ้นเสียงระเบิด จินเหล่าต้าหยุดยืนอยู่ด้านข้างของเสี่ยวซวงพร้อมกล่าวออก
“พี่สาวเสี่ยวซวงไปเร็ว” กล่าวจบ ร่างของทั้งสองพุ่งลงจากเวทีประลองไปหยุดยืนอยู่ขนาบข้างของหนิงเทียนโดยทันที
เหอตงหลิวคำรามออกด้วยความโกรธที่มากเหนือพรรณนา“เจ้าเด็กบัดซบ!!!”
ถ้ากลุ่มของหนิงเทียนไม่ได้นั่งอยู่ในที่ของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรแล้วละก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหอตงหลิวจะทำเช่นใดต่อ แน่นอนมันจะต้องพุ่งตัวตามเข้าไปสังหารเยื่อของมัน ด้วยคำว่าไม่ตายไม่เลิกรา
“เจ้านั้นกำลังทำลายกฎการประลอง” ไห่เทียนตี้กล่าวออกมา
“ฮันซินเจ้าเป็นกรรมการแต่กลับปล่อยให้เด็กนั้นเข้าไปยุ่งย่ามการต่อสู้ของคนอื่นได้อย่างไร??”ฮุยเหยียนฟางตะโกนออกเสียงดัง
“เด็กหนอเด็ก ช่างหุนหันพลันแล่นเสียจริง ข้าอยากรู้ว่าเจ้าของงานประลองจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรกัน”นักพรตเต๋ากล่าวถามออกมาพร้อมมองไปยังมู่ซวนเฟิง
แม้ฮันซินจะเป็นกรรมการ แต่ถึงอย่างไรมันก็ถูกว่าจ้างมาเท่าไม่ใช่เป็นเจ้าของงานเสียเอง ด้วยเหตุนี้มันจึงมองไปยังมู่ซวนเฟิงราวกับว่ากำลังรอการตัดสินใจของมัน
มู่ซวนเฟิงเห็นเช่นนี้มันจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวออก“เรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากตระกูลซือหม่าทำผิดกฎการประลอง ขึ้นเวทีโดยพละการอีกทั้งยังสอดมือเข้าไปยุ่งในการประลองของผู้อื่น
ข้าจึงขอตัดสินว่า สมควรให้ตระกูลซือหม่า เป็นฝ่ายแพ้ในรอบนี้ไป”
จากนั้นมันปลายตามองไปยังหนิงเทียนและกล่าวออกด้วยความสุภาพ “คุณชายหนิงความหวังดีที่ท่านมีให้บุตรสาวข้าคงต้องขอรับด้วยใจเท่านั้น เชิญ!!...” ภายใต้การจัดงานของตระกูลมู่ คำกล่าวของมู่ซวนเฟิงถือเป็นประกาศิต
เมื่อฮันซินได้ยินดังนั้นมันจึงรีบกล่าวออกโดยทันที “เนื่องจากตระกูลซือหม่าทำผิดกฎ ข้าขอตัดสินให้การประลองรอบที่4 สำนักดาบภูผาเป็นฝ่ายชนะ”
คำประกาศของฮันซินได้ยินไปจนทั่ว เสียงของผู้ชมดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ้างก็กล่าวสมน้ำหน้าตระกูลซือหม่า บ้างก็กล่าวเห็นใจสตรีตัวน้อยๆและบางส่วนก็กล่าวเสียดายที่ไม่ได้เห็นความสามารถของเด็กหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าตระกูล
ทว่าทันใดนั้นเองใบหน้าของหลวนคุนฉายแววตกตะลึงขึ้นมา มันมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาที่เบิกกว้าง ตัวมันที่อยู่ใกล้สุดเห็นทุกปฎิกิริยาที่เกิดกับเด็กหนุ่มผู้นี้
ทันทีที่หนิงเทียนได้ยินคำประกาศของฮันซิน มุมปากของมันยกออกและหัวเราะอย่างแผ่วเบา สีหน้าของมันเปลี่ยนไป ทันใดนั้นกลุ่มหมอกสีดำปรากฎขึ้นที่ด้านหลังของหนิงเทียนมันกระเพื่อมไปมาจนกลายเป็นรูปร่างของอสูรร้าย
“จะ...จิตสังหารก่อรูปขึ้นได้อย่างไรกัน!!!!” หลวนคุนกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อในสายตา ตัวมันนั้นพบเจอคนมามากมายจากทั่วทุกพื้นที่ของแดนสวรรค์
แต่มันกลับไม่เคยพบใครแม้แต่คนเดียวที่สามารถก่อร่างอวตารขึ้นมาจากจิตสังหารของตัวเองได้ คนที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่เคยเหยียบย่ำบนกองซากศพนับสิบๆล้านชีวิต
แม้กระทั่งจินเหล่าต้าและเสี่ยวซวงยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการสั่นที่เกิดขึ้นบนขาทั้งสองข้างได้เลย ทั้งคู่มองไปยังหนิงเทียนที่แผ่กระจายคลื่นพิฆาตอันแรงกล้าออกมา ซึ่งมันได้กลายเป็นรังสีสังหารอันเหี้ยมโหด
ทันใดนั้นเองกลุ่มหมอกสีดำที่ถูกสร้างเป็นอวตารของอสูรร้ายได้เปิดปากกรีดร้องโหยหวนออกมาเสียงของมันคล้ายกับเหล่าวิญญาณจากขุมนรกโลกันต์ก็ไม่ปาน
ในความเป็นจริงต้นตอของเสียงกรีดร้องพวกนั้นก็คือเสียงเสียดแทงของลมปราณที่ผันผวนแหวกอากาศอยู่รอบๆตัวของหนิงเทียนนั้นเอง
ด้วยพลัง ความโกรธเกรี้ยวและความกระหายเลือดของหนิงเทียนสร้างความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจของผู้คนโดยรอบ
เพียงแค่จิตสังหารในยามโกรธที่แผ่ออกมาจากร่างเด็กหนุ่มผู้นี้ หลวนคุนก็สามารถมองเห็นอนาคตของทุกชีวิตในที่แห่งนี้ได้เลยว่า พวกมันกำลังจะพบกับหายนะครั้งใหญ่
ถึงตัวหลวนคุนเองจะไม่ได้สนใจหรือมีความสัมพันธ์กับเหล่าสำนัก นิกายหรือตระกูลที่มาร่วมประลองแต่กระนั้นพวกมันส่วนใหญ่ก็ยังอาศัยอยู่ในเมืองฉางผิง
ถ้าเหล่าตัวตนมีอำนาจเช่นนั้นต้องตกตายกันไปหมดแล้วเช่นนั้นสมาคมการค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองฉางผิงยังจะมีลูกค้าที่ใดได้อีก ไม่ใช่ว่ารายได้ของพวกมันจะต้องหล่นวูบลงหรอกหรือ
เมื่อหลวนคุนคิดได้เช่นนั้น มันจึงเปิดปากออกมาเพื่อหยุดยังหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ผู้นำมู่ ตาแก่ผู้นี้ขอพูดอะไรสักอย่างได้หรือไม่? ส่วนท่านคิดเห็นอย่างไรสุดแล้วแต่ตัวท่านที่จะเลือกทางเดิน”
คำกล่าวของหลวนคุนนั้นสร้างความงุนงงให้แก่มู่ซวนเฟิงเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างไร ตัวตนของหลวนคุนนั้นเหนือล้ำเกินกว่าจินตนาการของมันไปมากนัก มันจึงกล่าวรับฟังแต่โดยดี “ผู้อาวุโสหลวนมีอะไรชี้แนะผู้เยาว์โปรดกล่าวมาได้เลย”
“ตาแก่ผู้นี้ก็ได้เฝ้าดูการประลองอย่างไม่วางตา และได้เห็นว่าการที่ท่านจะตัดสิทธิ์ในการประลองของตระกูลซือหม่าออก เกรงว่ามันจะรุนแรงเกินไปหน่อย แน่นอนว่าเป็นคุณชายจินที่ทำผิดกฎและกติกา ถ้าท่านจะลงโทษละก็การตัดสิทธิ์คุณชายจินและคุณหนูเสี่ยวซวงออกจากการแข่งขันก็เห็นว่าสมควรแล้ว
แต่สำหรับคุณชายหนิงนั้นตาแก่เพียงคิดว่าตัวเขายังคงมีสิทธิ์ที่จะก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีประลองอยู่ นี้เป็นเพียงความคิดเห็นของตาแก่ผู้นี้เท่านั้น ผู้นำมู่คิดเห็นและต้องการกระทำสิ่งใดต่อก็สุดแล้วแต่ตัวท่านเองจะตัดสินใจ”
คำกล่าวของหลวนคุนนั้นเป็นเพียงแค่การสร้างทางเดินสายใหม่ให้มู่ซวนเฟิงได้เลือกเท่านั้น จะเลือกผิดหรือถูกก็สุดแล้วแต่โชคชะตาของเมืองฉางผิง
“ความหมายของผู้อาวุโสคือต้องการให้ข้ามอบโอกาสในการขึ้นเวทีอีกครั้งให้คุณชายหนิงเทียน เดิมทีแล้วข้าต้องการให้ทุกคนเคารพในกฎโดยเท่าเทียมกันแต่ถ้ามันเป็นคำขอของผู้อาวุโสละก็
ข้าก็จะยอมให้คุณชายหนิงได้ประลองต่อ แต่ว่าต่อให้ตระกูลซือหม่าเอาชนะสำนักดาบภูผาได้ คุณชายจินและแม่นางเสี่ยวซวงจะไม่ได้สิทธิ์ในการเข้าประลองในรอบต่อๆไปเด็ดขาด”
มู่ซวนเฟิงกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม ตระกูลซือหม่าจะอยู่หรือไปมันล้วนไม่สนใจ แต่การไว้ไมตรีต่อสมาคมการค้าจ้าวสมุทรนั้นสำคัญกว่ามากนัก
ถ้าการประลองครั้งนี้มันได้ทั้งบุตรเขยที่ทรงอำนาจและความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมการค้าจ้าวสมุทรละก็ไม่เท่ากับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรอกหรือ?
จากนั้นหลวนคุนหันไปกล่าวออกกับหนิงเทียน“คุณชายหนิงท่านโปรดวางโทสะลงก่อน สิ่งที่ท่านกำลังคิดทำมันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไปก็ได้และท่านต้องไม่ลืมว่าเมืองฉางผิงนั้นอยู่ภายใต้กฎของอาณาจักรฟ้าสวรรค์”
คำกล่าวของหลวนคุนนั้นคล้ายน้ำเย็นที่ช่วยดับไฟโทสะของหนิงเทียนให้คลายลง เดิมตัวของหนิงเทียนเองก็ไม่ได้ต้องการจะใช้วิธีสังหารหมู่แต่อย่างใด วิธีที่เอิกเกริกวุ่นวายเช่นนั้นมันถูกวางไว้เป็นวิธีสุดท้ายที่จะเลือกใช้
เมื่อเป็นเช่นนั้นหนิงเทียนจึงพยักหน้าตอบกลับไปยังหลวนคุน “ผู้อาวุโสหลวน ขอบคุณที่ช่วยพูดแทนข้า”
“โฮะๆ เล็กน้อยเท่านั้นถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณชายคิดจะทำ”หลวนคุนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“พี่ชายหนิงท่านต้องคิดมันให้ดี ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนั้นมันต้องการให้พี่ชายต่อสู้คนเดียวเพียงลำพัง และกว่าที่ท่านจะบรรลุถึงเป้าหมายท่านจะต้องต่อสู้ไม่ต่ำกว่า10รอบ” จินเหล่าต้ากล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วง
“อย่าโวยวายไป นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”หนิงเทียนกล่าวตอบอย่างไม่แยแส
จากนั้นมันกล่าวเรียกจั่วจิงหนานและจินเหล่าต้าขึ้นมา
“เหล่าต้า จิงหนาน พวกเจ้าทั้งสองจงดูการต่อสู้ของคนที่พวกเจ้ายอมรับเป็นผู้นำให้ดี ถ้าเกิดมันทำให้พวกเจ้าทั้งคู่ผิดหวังละก็ พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฝากชีวิตไว้กับข้า”
สิ้นการสนทนากับจินเหล่าต้าและหลวนคุนหนิงเทียนลุกยืนแล้วก้าวขึ้นเวทีอย่างเชื่องช้า ผู้ชมล้วนแต่มองไปยังร่างของหนิงเทียนที่ยืนเด่นสง่าอยู่บนเวทีประลอง
“เด็กหนุ่มผู้นี้นะหรือ คือผู้นำตระกูลซือหม่า??”
“ข้าเคยแต่ได้ยินแต่ชื่อเสียงของมัน เวลานี้ข้าจะเห็นฝีมือของมันเต็มๆตาแล้ว”
“ข้ากลัวว่า มันจะทำให้พวกเราผิดหวังมากกว่านะสิ ถ้ามันเก่งจริงอย่างที่เขาร่ำลือกัน เหตุใดจึงไม่มีใครเคยเห็นมันต่อสู้เลยสักครั้ง”
บนที่นั่งของตระกูลมู่ มู่เสวี่ยมองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังก้าวขึ้นเวทีด้วยดวงตาแห่งความสับสน “เขาช่างดูคุ้นเคยจริงๆ พวกเราต้องเคยพบเจอกันที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน แต่เหตุใดข้าถึงคิดไม่ออกนะ!!??”
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มู่เสวี่ยจะจำหนิงเทียนไม่ได้ เพราะตลอดระยะเวลาเกือบสามปีรูปลักษณ์ของหนิงเทียนได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นหนิงเทียนก้าวเท้าขึ้นมา เหอตงหลิวยกยิ้มออกอย่างเปี่ยมความสุข ในคร่าแรกมันกังวลว่าตระกูลซือหม่าจะถูกตัดสิทธิ์ไปจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วตัวมันจะไปทวงถามความแค้นจากผู้ใดได้อีก
“ในเมื่อเจ้าต้องการตาย ข้าก็จะช่วยสงเคราะห์” เหอตงหลิวถีบร่างขึ้นไปยืนบนเวทีประลองทันที
เมื่อฮันซินเห็นเช่นนั้นมันกล่าวประกาศเริ่มการประลองทันที การประลองในรอบที่4 หนิงเทียนจากตระกูลซือหม่า พบกับ เหอตงหลิวแห่งสำนักดาบศิลา…
สิ้นเสียงประกาศของฮันซิน มู่เสวี่ยพึมพำออกมาด้วยความตกตะลึง "ขะ..เขาชื่อหนิงเทียน หนิงเทียนข้าไม่ได้ยินผิดไปใช่หรือไม่??"
ป.ล. ถ้าไม่ชอบด่าได้ ถ้าชอบช่วยรีวิวด้วยน่ะครับ เห็นรีวิวเยอะกันเยอะ วันนี้อาจจะเบิ้ลหรือทริปเปิ้ลลลล