ตอนที่แล้วบทที่ 136 กิ่งทองใบหยก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 138 จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ 2

บทที่ 137 จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ


กำลังโหลดไฟล์

“ในที่สุด เวลาที่ข้าจะได้สะสางความแค้นก็มาถึง” เหอสุ่ยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นมือซ้ายของมันจับกุมไปยังต้นแขนข้างที่ถูกเสี่ยวซวงตัดขาด

เวลานี้ดูเหมือนว่าความแค้นจะทำให้เหอสุ่ยไม่รู้สึกเกรงกลัวในตัวของเสี่ยวซวงเลยแม้แต่น้อย

“สุ่ยเอ๋อ เจ้าจงรอดูให้ดี พ่อจะฆ่าพวกมันและเหลือนางแพศยานั้นไว้ให้เจ้าลงโทษด้วยตัวเอง”กล่าวจบเหอตงหลิวปลายตามองไปยังชายชราสองคนที่นั่งอยู่ขนาบข้างพร้อมกล่าวออก

“ไปกันเถอะ”

ชายชราทั้งสองได้ยินดังนั้น มันเพียงแต่ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้อย่างเฉื่องช้าและเดินตามเหอตงหลิวขึ้นไปบนเวทีประลอง

พลังปราณในแดนวีรชนขั้นปลายแผ่กระจายออกมาจากร่างของทั้งสองอย่างน่าเกรงขามชายชราทั้งสองคนนี้คือผู้พิทักษ์ซ้ายและขวาของสำนักดาบศิลา

ทันทีที่ทั้งสามก้าวขึ้นสู่เวทีประลองเสียงของผู้ชมกล่าวคุยกันให้แซดว่า “นั้นๆๆ สำนักดาบศิลามาแล้วโน้นแล้ว”

“ผู้ที่เดินนำหน้ามานั้นคือเจ้าสำนักดาบศิลาเหอตงหลิวใช่หรือไม่??”

“จะมีใครได้อีกละ ที่ทำให้ผู้พิทักษ์ซ้ายหวินซิวและผู้พิทักษ์ขวาเหอเหยียน เดินตามติดได้เช่นนี้ ไม่ผิดแน่เป็นมันและ ปราชญ์แห่งดาบ เหอตงหลิว”

“การที่จะได้เห็นตัวตนระดับนี้ต่อสู้อย่างใกล้ชิดนับว่าตายก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว”

สำนักดาบศิลานั้นเป็นตัวตนระดับสูงในพื้นที่รอบนอก พวกมันมีทั้งบุคลากรและทรัพยากรที่เทียบเคียงได้กับนิกายเคลื่อนเมฆาเลยก็ว่าได้

“พี่ชายหนิงการต่อสู้ในรอบนี้คงไม่ง่ายเหมือนในสองรอบที่ผ่านมา เหอตงหลิวมันเอาพวกเราแน่”จินเหล่าต้ากล่าวออกพร้อมกับจ้องมองไปยังเหอสุ่ยที่ไม่ได้เข้าร่วมประลอง

“ในตอนนั้นข้าได้กล่าวกับมันไปอย่างชัดเจนแล้วว่า อย่าได้เสนอหน้าออกมาให้เห็นอีก ดูเหมือนคำเตือนของข้าคงจะไม่มีความหมายอะไรเลยสินะ น่าเศร้าใจจริงๆ” น้ำเสียงขอหนิงเทียนเย็นเยือกราวน้ำแข็ง

“ข้าเคยได้ยินมาว่า เหอตงหลิวนั้นอยู่ในขั้นที่9ของแดนแห่งวีรชน ส่วนผู้พิทักษ์ซ้ายขวานั้นพวกมันทั้งสองอยู่ในดินแดนวีรชนขั้นที่8 ด้วยระดับพลังที่ต่างกันถึง4ขั้นใหญ่

ข้าเกรงว่าพี่สาวเสี่ยวซวงจะสู้พวกมันไม่ไหว” จินเหล่าต้ากล่าวออกมาอย่างเป็นห่วง

หนิงเทียนไม่ได้ตอบคำถามของจินเหล่าต้า มันเพียงแต่จ้องมองไปยังบนเวทีประลองอย่างไม่ละสายตาเท่านั้น

...

จากนั้นฮันซินได้ประกาศเริ่มการต่อสู้ “การประลองรอบที่4 คู่ที่1 ระหว่าง เสี่ยวซวงจากตระกูลซือหม่าพบกับหวินซิวแห่งสำนักดาบศิลา”

คู่ต่อสู้คนแรกของเสี่ยวซวง มันคือหวินซิวด้วยรูปร่างที่แก่ชราจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมันชวนให้ผู้ที่มองไปบังเกิดความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

หวินซิวยืนนิ่งในลักษณะที่ใช้สองมือไขว้ไปด้านหลัง แม้มันจะได้เห็นประกายดาบที่ตัดศีรษะของจ้าวหลี่หงกับตาตัวเอง แต่มันก็ไม่ได้แสดงท่าจะระวังตัวมากขึ้นแต่อย่างใดดูคล้ายว่ามันไม่ได้มีความหวั่นเกรงเด็กสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

การต่อสู้ในรอบแรกของเสี่ยวซวงนั้นดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้มากก็จริง แต่ในครั้งนี้เมื่อทุกคนมองไปยังหวินซิว มันทุกคนล้วนคิดตรงกันว่า “คราวนี้สตรีตัวน้อยๆจะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่”

นางอาจจะจัดการจ้าวหลี่หงที่อยู่ในขั้นที่หกของแดนวีรชนได้แต่ไม่ว่าอย่างไรตัวนางย่อมต้องมีขีดจำกัด และคู่ต่อสู้เวลานี้ คือ ผู้พิทักษ์ซ้ายอันเกรงไกร หวินซิว ระดับพลังของมันอยู่ในขั้นที่แปด

“เสี่ยวซวง นี้คือบททดสอบใหญ่ของเจ้า ถ้าแค่นี้เจ้าไม่สามารถเอาชนะได้ ก็เลิกคิดจะติดตามข้าบุกเหนือลงใต้ได้เลย ข้าไม่ต้องการผู้ติดตามที่อ่อนแอ” คำกล่าวของหนิงเทียนนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา

ผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำพูดเหล่านั้นบังเกิดความรู้สึกรังเกียจอยู่ไม่น้อย “บุรุษที่ไหนกันหลบอยู่ด้านหลังสตรี ซ้ำยังส่งสตรีไปเสี่ยงอันตรายเพื่อความปรารถนาของตัวเองอีกด้วย เด็กหนุ่มตระกูลซือหม่าผู้นี้สมควรไปใส่กระโปรงได้แล้ว”

เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของมันเป็นเพียงสตรี หวินซิวก็ยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเย็น “สำหรับข้าแล้วการโจมตีที่ใช้สังหารจ้าวหลี่หงนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆคิด

มันเพียงแค่เกิดจากการประมาทของตัวจ้าวหลี่หงเองจึงทำให้ถูกสตรีตัวเล็กๆอย่างเจ้าตัดศีรษะได้”

เสี่ยวซวงไม่ได้สนใจแม้แต่จะฟังคำกล่าวของมัน โดยไม่พูดพร่ำอันใด ดาบตัดภูผาถูกเหวี่ยงออก ก่อให้เกิดลมมกรรโชกที่รุนแรงกระแทกใส่หน้าอกของหวินซิว

การโจมตีครั้งนี้แม้จะนอกเหนือความคาดหมายของหวินซิวไปมากแต่มันก็ไม่ได้เหนือไปกว่าพลังฝึกตนของตัวมันแต่อย่างใด

มันแกว่งมือเรียกดาบใหญ่ที่ตัวดาบถูกสลักด้วยลวดลายของพญาราชสีห์ ที่ด้ามมันถูกตกแต่งด้วยเกร็ดงู ดาบฆ่าสิงโตอาวุธปราณในแดนวีรชนถูกหยิบออกมา

ดาบฆ่าสิงโตนั้นถ้ามองด้วยตาเปล่ามีน้ำหนักราวๆห้าร้อยกิโลกรัม แต่ทว่าชายชราร่างกายเหี่ยวแห้งกลับโบกสะบัดมันได้ราวกับกำลังกวัดแกว่งขนนกก็ไม่ปาน

หวินซิวใช้ดาบฆ่าสิงโตฟาดฟันตัดอากาศไปยังร่างของเสี่ยวซวงจนบังเกิดเสียงคำรามของราชสีห์ดังออกมา

“ฟริ้วววว โคร่งงงง” ดาบฆ่าสิงโตถูกฟาดออกไปอย่างรุนแรงแต่มันกลับถูกปัดป้องไว้ด้วยดาบตัดภูผาของเสี่ยวซวง การปะทะกันระหว่างสองอาวุธในแดนวีรชนบังเกิดเสียงสนั่นหวันไหวไปทั่วทั้งบริเวณ

ผู้ฝึกตนที่มีระดับพลังต่ำกว่าแดนปราชญ์โดยรอบถูกแรงกดดันของการปะทะทำให้พวกมันกระอักเลือดและรีบถอยห่างให้ไกลจากสนามประลอง

เป็นดังสุภาษิตที่ว่าสิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น แต่สำหรับหวินซิวแล้วนั้นคงจะต้องบอกว่า สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งมือทำเสียมากกว่า

ดาบฆ่าสิงโตที่ถูกฟาดด้วยลมปราณเทพศิลาดำกลับถูกปัดป้องด้วยสตีตัวเล็กๆอย่างง่ายดาย ‘การโจมตีของข้าจะถูกปัดป้องได้อย่างไรกัน?? ระดับพลังของของข้าและนางต่างกันถึง4ขั้น’ คิดเช่นนี้สีหน้าของหวินซิวถูกเคลือบคลุมด้วยความตกตะลึง

“บัดซบ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถป้องกันการโจมตีครั้งต่อไปได้แน่” กล่าวจบหวินซิวชูดาบฆ่าราชสีห์ขึ้นเหนือหัว พลังปราณสีดำปกคุลมไปทั่วทั้งตัวมันและใบดาบ

“แด่เทพศิลาดำ ข้าหวินซิวสาวกแห่งเทพ ขอบูชาด้วยโลหิตแดงขอให้ท่านโปรดประทานวารีสีเลือดจากสวรรค์ลงมาด้วยเถอะ” สิ้นคำกล่าวหวินซิวฟาดฟันดาบของมันไปบนท้องฟ้า

ทันใดนั้นเองราวกับท้องฟ้ากำลังตอบรับคำกล่าว ฝนสีเลือดหยดลงจากท้องฟ้า พุ่งเข้าใส่เสี่ยวซวงอย่างดุร้าย

“บัดซบนั้นมันทักษะอะไรกันถึงได้ควบคุมปรากฎการณ์ธรรมชาติเช่นนี้ได้”

“ข้าเคยได้ยินมาว่า เทพศิลาดำคือเทพที่สำนักดาบศิลาบูชา เมื่อครู่ข้าเห็นมันร้องขอแก่สวรรค์ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงการโจมตีนี้คงจะมาจากเทพศิลาดำบนท้องฟ้าอย่างแน่อน”

“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง.. ...!!!” แค่เพียงสิบลมหายใจฝนโลหิตกระหน่ำซัดลงไปไม่ต่ำกว่าร้อยสาย เสี่ยวซวงได้แต่ถอยร่นหลบออก

แม้นางจะล่าถอยแต่กระนั้นก็ยังไม่มีแม้แต่คราเดียวที่ฝนสีเลือดจะตกมากระทบชุดสีขาวของนางได้เลย การโจมตีของหวินซิวถูกสยบด้วยการก้าวเท้าที่แปลกประหลาดของเสี่ยวซวง

ดวงตาของหนิงเทียนที่มองไปยังลานประลองเบิกกว้างและก็เป็นอีกครั้งที่ท่าเท้าของเสี่ยวซวงทำให้หนิงเทียนตกใจ มันบอกได้เลยว่าท่าเท้าประหลาดนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับเก้าวิญญาณท่องนภาของตัวมันอย่างแน่นอน

จากนั้นมันรีบส่งเสียงกล่าวถามอยู่ภายใน “อู๋ชาง เจ้ารู้หรือไม่ นั้นคือทักษะท่าร่างอันใด??”

สุ้มเสียงของราชาภูตดังตอบอยู่ภายในจิต “นั้นคือ ท่าเท้าจันทราหวน ทักษะประจำตัวของจักรพรรดิมารจันทราไม่น่าเชื่อจริงๆว่ามันจะหลงเหลือมาถึงยุคนี้

ราชาคิดว่าบรรพบุรุษของนางจะต้องมีสิ่งที่ได้รับตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างแน่นอน”

จินเหล่าต้าที่เห็นหนิงเทียนนิ่งไป มันคิดว่าหนิงเทียนนั้นคงจะตกตะลึงกับทักษะที่น่าอัศจรรย์ของหวินซิวมันจึงกล่าวออกมา

“พี่ชายหนิง ทักษะที่ฝืนกฎธรรมชาติและสามารถเรียกฝนสีเลือดได้เช่นนี้จะต้องเป็นทักษะระดับเทพสงครามในตำนานอย่างแน่นอน”

หนิงเทียนส่ายหน้า “ปาหี่เท่านั้น การโจมตีปาหี่เช่นนี้ไม่มีทางเอาชนะเสี่ยวซวงได้หรอก”

“ปะ...ปาหี่!!! ท่านหมายความว่าอย่างไร???”จินเหล่าต้ารีบกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย

“เจ้าจงรอดูต่อไป อีกไม่นานเสี่ยวซวงจะกระชากหน้ากากของมันออกมาให้พวกเราได้เห็นกัน”หนิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม ด้วยท่าเท้าจันทราหวนของเสี่ยวซวง หนิงเทียนนั้นหาได้เป็นกังวลในความปลอดภัยของนางเลยแม้แต่น้อย

ในเวลาต่อมาเพียงไม่นาน ฝนโลหิตของหวินซิวก็มาถึงจุดจบเมื่อเสี่ยวซวงกวัดแกว่งดาบตัดภูผาเข้าปะทะ แกร๊งง!!! เพล้งงง!!! เมื่อดาบตัดภูผาเข้าปะทะกับฝนโลหิต มันบังเกิดเสียงดังคล้ายกับโลหะกระทบกัน

ทันใดนั้นเองฝนโลหิตไม่สามารถต้านทานพลังของดาบตัดภูผาได้ มันแตกกระจายไปในทิศทางของดาบและเผยให้เห็นเข็มสีแดงนับร้อยๆที่ตกอยู่เกลือนพื้น

จินเหล่าต้ามองไปยังเข็มสีแดงด้วยความตกตะลึง“นะ....นั้นมัน!!!”

“แท้จริงแล้วฝนโลหิตที่ตกมาจากท้องฟ้าก็คืออาวุธซัดของมัน และตอนที่ทุกคนกำลังตั้งใจฟังที่มันกล่าวคำพูดร้องขอสวรรค์ มันคงจะใช้เวลานั้นในการซัดอาวุธลับขึ้นไปบนฟ้า” หนิงเทียนกล่าวอธิบายราวกับว่ากำลังแฉกลโกงของหวินซิวออกมา

“คุณชายหนิง สายตาของท่านราวกับพญาอินทรีจริงๆ ตาแก่คนนี้ขอชื่นชมจากใจ”หลวนคุนที่นั่งอยู่เงียบๆ กล่าวชมออกมาด้วยความเลื่อมใส

ขณะเดียวกันเสี่ยวซวงที่ปัดป้องอาวุธซัดของหวินซิวได้แล้ว นางถีบพื้นไปปรากฏตัวที่ด้านหน้า บรรยากาศโดยรอบของเสี่ยวซวงแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นอีกครั้ง

เสียงดังก้องของอสนีบาตดังออกมาเสียดหู พลังธาตุสายฟ้าอัดแน่นไปยังดาบตัดศิลา พลังสายฟ้าอันเข้มข้นถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของนาง พร้อมกับเข้าโจมเหวินซิวจากด้านหน้า

ด้วยพลังแห่งธาตุสายฟ้าที่เสี่ยวซวงได้หลอมรวมเข้าสู่ร่างนั้น ส่งเสริมให้ท่าเท้าจันทราหวนยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกหลายเท่า

ร่างของเสี่ยวซวงหายไปจากมโนสายตาของหวินซิว พร้อมกันนั้นร่างของมันเกิดความรู้สึกชาไปทั่วร่าง หวินซิวรู้สึกได้ถึงว่าตัวมันนั้นมีขนาดเล็กลง

มันปลายตามองไปที่พื้นสนามประลองกลับพบว่าเวลานี้มันมีความสูงห่างจากเวทีประลองเพียงแค่สองช่วงแขนเท่านั้น

“เอ๋ เกิดอะไรขึ้นทำไมตัวข้าถึงเล็กลงได้???” พร้อมๆกับคำกล่าวนั้นโลหิตหลั่งไหลราวกับเขือนแตกออกมาจากปากของหวินซิว ดวงตาของมันปิดลงโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดตัวของมันถึงเล็กลง

ด้วยความรู้สึกสุดท้ายที่เหมือนกับว่าตัวของมันได้หดสั่นลงเป็นเพียงความคิดเท่านั้นแต่ความจริงแล้วสิ่งที่ปรากฎแก่สายตาผู้ชมนับหมื่นคู่ มันคือร่างของหวินซิวที่ถูกตัดครึ่งออกจากกันจนเหลือเพียงร่างกายส่วนบนเท่านั้น

ฮันซินที่ทำใจพร้อมรับความตกตะลึงอยู่ก่อนแล้วคราวนี้มันกล่าวออกอย่างทันควัน “การประลองในรอบที่4 คู่แรก ตระกูลซือหม่าเป็นฝ่ายชนะ”

เวลานี้ท่าทีของผู้คนเกือบจะทั้งหมดที่มีต่อหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในคร่าแรกที่นางเอาชนะจ้าวหลี่หงได้ ยังมีบางกลุ่มที่คิดว่านางนั้นลอบโจมตี ส่วนบางกลุ่มก็คิดว่าจ้าวหลี่หงเป็นฝ่ายประมาทเอง

แต่ครั้งนี้เมื่อทุกสายตาล้วนเป็นพยานว่านางนั้นได้ใช้ดาบตัดร่างของผู้พิทักษ์ซ้ายจนขาดครึ่งตัว ท่าทีที่พวกมันมองเสี่ยวซวงจึงเปลี่ยนไป

ความตื่นตระหนกผสมความประหลาดใจถูกจับยัดใส่หัวของพวกมัน ความหวาดกลัวและความมึนงงถูกสลักเข้าไปภายในจิตใจของทุกคนเรียบร้อยแล้ว

“แข็งแกร่งและเย็นชาในเวลาเดียวกันต่อไปนี้ข้าจะเลิกเรียกนางว่าแม่หนูแล้ว นางคือจักรพรรดินีน้ำแข็งผู้แสนเย็นชา”

“จักรพรรดินีน้ำแข็งอะไร นางคือเทพแห่งความตายมากกว่าใครที่ยืนอยู่ต่อหน้านางศพไม่สวยสักคน”

“บัดซบพวกเจ้ากล้าตั้งฉายาที่น่ากลัวแบบนี้ให้สตรีที่งดงามปานนางฟ้าได้อย่างไร ต้องเรียกว่าสวยสังหารสิถึงจะเหมาะ” ผู้คนมากมายต่างล่ำลือและเชิดชูเสี่ยวซวงอย่างเนื่องแน่น

กลับกันในมุมที่นั่งของศิษย์สำนักดาบศิลาต่างจ้องมองด้วยสีหน้าหดหูและเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียผู้พิทักษ์ของตัวเองไปตลาดกาล

“ทะ...ท่านประมุข หวินซิวตายแล้ว” เหอเหยียนกล่าวออกด้วยความตกตะลึง

“นางแพศยานั้น ถ้าข้าไม่ได้ฉีกนางเป็นชิ้นๆข้าจะไม่มีวันหายแค้น ในรอบต่อไปข้าจะออกไปสังหารนางเอง”เหอตงหลิวกล่าวออกมาด้วยโทสะ แต่ถึงแม้มันจะมีโทสะมันก็ไม่ได้ขาดสติจนส่งเหอเหยียนออกไปประลองเป็นคู่ที่สอง

เหอเหยียนและหวินซิวนั้นอยู่ในขั้นที่8เหมือนกัน ถ้าหวินซิวยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง การส่งเหอเหยียนออกไปก็เท่ากับว่าส่งมันไปตาย

ด้วยเหตุนี้เองเหอตงหลิวจึงใช้การเปลี่ยลำดับขั้นประลองเปลี่ยนให้ตัวมันขึ้นไปต่อสู้ มากกว่าที่จะกล่าวออกให้คนของมันเสียขวัญกำลังใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด