บทที่ 136 กิ่งทองใบหยก
บรรยากาศโดยรอบๆตัวของเสี่ยวซวงนั้นไม่ได้มีความดุร้าย โหดเหี้ยมหรือจิตสังหารเลยแม้แต่น้อย นางทำไปเหมือนกันว่าศีรษะที่ได้ตัดออกนั้นไม่ใช่ศีรษะของมนุษย์
ทั้งสีหน้าท่าทางและแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา ราวกับว่านางนั้นไร้หัวใจ จะมีเพียงแต่หนิงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางนั้นไม่ได้ไร้หัวใจ แต่หัวใจของนางได้ตายไปนานแล้วต่างหาก
ฮันซินสลับมองร่างที่ไร้ศีรษะของจ้าวหลี่หงกับใบหน้าอันขาวผ่องของเสี่ยวซวงด้วยความหวาดกลัว ขนในกายของมันรุกชันขึ้นมา น้ำเสียงที่กล่าวออกถึงผู้ชนะยังไม่สามารถเปล่งออกจากคอได้
ตัวมันนั้นรู้ถึงคมดาบนี้ได้ดีกว่าใครทั้งหมด มันที่ยืนอยู่ตรงกลางยังไม่สามารถมองเห็นใบดาบได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ และถ้าเป้าหมายนั้นหาใช่จ้าวหลี่หงแต่เป็นตัวของมันเอง สภาพของมันก็คงจะไม่แตกต่างจากจ้าวหลี่หงในเวลานี้
ผู้ชมโดยรอบพยามที่จะขยี้ตาตัวของตัวเอง แน่นอนพวกมันไม่มีทางเชื่อกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้าเพียงการมองแค่ครั้งเดียวเด็ดขาด มันพยามมองซ้ำครั้งที่สองและสาม
สุดท้ายร่างของจ้าวหลี่หงผู้นำตระกูลจ้าวอันเกรียงไกรบัดนี้ได้ไร้ซึ่งศีรษะแล้ว
นี้นับว่าเป็นการล่มสลายของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ เช่นตระกูลจ้าว มันสูญเสียทั้งผู้นำและว่าที่ผู้นำ สองคนภายในวันเดียวกัน เห็นทีว่านับจากนี้ไปจนรุ่นลูกรุ่นหลานตระกูลจ้าวคงไม่มีทางได้กลับมาเชิดหน้าชูคอได้เช่นเดิมอีกแล้ว
“เฮ้!! เจ้าจะไม่ประกาศให้พวกเราชนะหรืออย่างไรกัน??”หนิงเทียนกล่าวเตือนฮันซินที่กำลังยืนตัวแข็งอยู่บนเวที
ฮันซินสะดุ้งพร้อมกล่าวออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก “อะ..เอ่อ การประลองในรอบแรกตระกูลซือหม่าเป็นผู้ชนะ”
ด้วยคำกล่าวของหนิงเทียนที่โพ่งออกมาท่ามกลางความเงียบสงัด มันปลุกผู้คนอื่นๆให้ตื่นจากภวังค์ ทันใดนั้นเสียงร่ำลือดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ
“นางจะต้องเป็นอาวุโสอายุหลายร้อยปีปลอมตัวมาแน่ แน่นอนต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
“จ้าวหลี่หงตายแล้ว มันตายแล้วจริงหรือ สมดุลทั้งสามตระกูลใหญ่กำลังพังทลายลง พรุ่งนี้เมืองฉางผิงของเราจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน” เสียงของผู้ชมกล่าวสนทนากันยกใหญ่
ภายในที่นั่งของนิกายหอกโลหิต“ศิษย์พี่ ท่านมองเห็นมันชัดเจนหรือไม่?”
“ไม่เลย ข้าเพียงแต่ได้ยินถึงการเคลื่อนที่ของข้อมือเท่านั้น เมื่อรู้สึกตัวอีกทีประกายดาบก็ได้ตัดศีรษะมันผู้นั้นไปแล้ว เด็กคนนี้จะต้องใช้ดาบได้ถึงขั้นหลอมรวมอย่างแน่นอน”ถงจื่อโหล่วกล่าวตอบศิษย์น้องของมัน
“อาจารย์ ตระกูลซือหม่าจะเป็นปัญหาให้แก่พวกเราหรือไม่”มู่ผวนกล่าวด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วงแม้นางจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็เป็นได้เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างดินแดนทรราชกับแดนแห่งวีรชนนั้นแม้จะห่างกันเพียงหนึ่งระดับ
แต่ความหนาแน่นของลมปราณนั้นห่างไกลกันราวกับทะเลสาปและแอ่งน้ำ ไม่มีทางใดที่แอ่งน้ำจะกลืนกินทะเลสาบได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” ถงจื่อโหล่วกล่าวออกกับศิษย์ของนางด้วยรอยยิ้ม
ฮันซินใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการเรียกสติของมันคืนมา จากนั้นมันกล่าวออกตามหน้าที่
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา การประลองในรอบที่2 จะเริ่มขึ้นโดยทันที ในรอบที่2นี้ ขอเชิญตระกูลฉาง เจ้าผู้ครองเมืองฉางผิงขึ้นมาบนเวทีด้วย และคู่ต่อสู้ของตระกูลฉางนั้นคือ ตระกูลซือหม่า”มันกล่าวออกด้วยเสียงดัง
“ข้าได้ยินอะไรผิดไปหรือไม่ เมื่อครู่มันกล่าวว่าตระกูลซือหม่า?? ไม่ใช่ว่าตระกูลซือหม่าพึ่งจะต่อสู้ไปหรอกหรือ”
“นั้นนะสิ โทรโข่งหมื่นลี้คงจะทำหน้าที่ของมันผิดพลาดอย่างแน่นอน” ผู้ชมกลุ่มหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความสงสัย
เมื่อคำพูดนั้นได้ยินถึงหูฮันซิน มันจึงรีบกล่าวออกมาอีกครั้ง “ข้าไม่ได้กล่าวผิด เชิญตระกูลซือหม่าประลองในรอบที่สองต่อได้เลย”
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน ตระกูลมู่ใช้แผนสกปรกกับพวกเรา ช่างชั่วช้าจริงๆ”จินเหล่าต้าสบถออกเสียงดัง
ดวงตาของหนิงเทียนหรี่เล็กลง “เป็นอย่างที่ข้าคิดไม่ผิด ดูเหมือนว่ามู่ซวนเฟิงมันจะเลือกบุตรเขยไว้ในใจแล้ว”
“พี่ชายหนิงท่านหมายความว่าอย่างไร?” จินเหล่าต้ารีบหันมากล่าวถามทันที
“ตระกูลที่ได้ประลองรอบแรกนั้นคือกลุ่มคนที่มู่ซวนเฟิงเห็นเป็นเพียงไม้ประดับฉาก มันต้องการให้ไม้ดับฉากต่อสู้ตัดกำลังกันไปเอง
แม้ว่าพวกเราจะเอาชนะในรอบที่สองได้อีกครั้ง พวกเราก็จะไม่ได้หยุดพักอยู่ดี ถ้าพูดให้ฟังง่ายละก็ พวกเราเป็นเพียงขั้นบันไดให้บุตรเขยที่มันต้องการเหยียบขึ้นไป
ดูเหมือนว่ามันจะต้องการบุตรเขยจากนิกายหอกโลหิตหรือไม่ก็จากราชวงศ์ไห่ของเมืองไห่หนานเป็นแน่”หนิงเทียนกล่าวออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“พี่ชายหนิงถ้าเป็นเช่นที่ท่านกล่าวมา ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่อยู่หรอกหรือ”
จินเหล่าต้ากล่าวออกพร้อมกวาดสายตาไปมอง มันยังเหลือขุมกำลังที่ใหญ่กว่าตระกูลจ้าวอีกหกหรือเจ็ดกลุ่ม “แย่แน่ๆ พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อดี??”
“จะเป็นเรื่องยากเย็นอันใด เจ้าก็ทำอย่างที่เสี่ยวซวงทำ คือการฆ่าอย่างไร้ความปราณี ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันเห็นเสือแล้วจะไม่เกรงกลัว”
หนิงเทียนนั้นคาดเดาถึงแผนการของมู่ซวนเฟิงได้ก่อนแล้วมันจึงได้สั่งให้เสี่ยวซวงสังหารอย่างโหดเหี้ยมเพื่อให้คนอื่นๆบังเกิดความหวาดกลัว อย่างน้อยพวกปลาซิวปลาสร้อยจะได้ไม่มีความกล้าขึ้นมาประลองให้พวกของมันต้องเปลืองแรง
แผนการของมู่ซวนเฟิงนั้นมีหรือที่ฉางเหล่ยจะไม่รู้ มันกล่าวออกแก่ผู้พิทักษ์ฟ้าทั้งสาม “ดูเหมือนว่าการขัดขวางแผนการของมู่ซวนเฟิงจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว ถ้ามันใช้วิธีนี้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องหมดแรงและแพ้ไปอยู่ดี”
“นายท่านถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร”อี้เหวินตงกล่าวถามออกมา
ฉางเหล่ยหาได้ตอบคำถามนั้นไม่มันเพียงแต่กล่าวถามกลับไป “เหวินตง เจ้ากับจ้าวหลี่หง ถ้าเกิดสู้กันจริงๆใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
อี้เหวินตงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “ทั้งมันและข้าน้อย อยู่ขั้นที่6ในแดนแห่งวีรชนเหมือนกัน ถ้าจะต้องสู้กันจริงๆแล้วละก็มันควรจะกินเวลากว่า1000กระบวนท่าถึงจะรู้ถึงผลแพ้ชนะ”
“อืม ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้พิทักษ์ฟ้าก็คงจะไม่สามารถเป็นคู่มือของแม่หนูคนนั้นได้
แต่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความรู้สึกบางอย่างมันกำลังบอกข้าว่า คนที่อันตรายที่สุดคือเด็กหนุ่มที่ยังไม่แม้แต่จะขยับตัวมากกว่า”ฉางเหล่ยกล่าวออกโดยสายตาของมันไม่ได้ละไปจากตัวของหนิงเทียนเลยแม้แต่น้อย
ฉางเหล่ยจับจ้องไปยังหนิงเทียนอย่างไม่วางสายตาจากนั้นมันกล่าวออกกับคนของมัน “สิ่งที่พวกเจ้าควรเชื่อไม่ใช่สายตา แต่มันควรจะเป็นความรู้สึกนึกคิดเสียมากกว่าและความรู้สึกของข้ากำลังกรีดร้องบอกให้ข้าถอยห่างจากเด็กหนุ่มคนนั้น”
กล่าวจบมันเปิดปากเรียกบุตรชายของมันที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกล่าวออก
“อวี้เอ๋อ พ่อขอถามเจ้าหนึ่งข้อ เจ้าจะเลือกสิ่งใดระหว่างศักดิ์ศรีกับอำนาจ??”
“ท่านพ่อแน่นอน คนเราทุกคนต้องมีศักดิ์ศรี แต่ทว่าศักดิ์ศรีนั้นหาใช้มันแลกซื้อข้าวสารได้ หาใช้มันแลกซื้อเสื้อผ้าได้ ฉะนั้นแน่นอนว่าลูกต้องเลือกอำนาจอยู่แล้ว”ฉางอวี้กล่าวตอบด้วยความมั่นใจ
“ดี ถ้าเช่นนั้นก็จงทำตามที่พ่อบอก” เมื่อฉางเหล่ยกำชับบางอย่างกับฉางอวี้เสร็จสิ้นแล้ว มันย่างเท้าก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง
จากนั้นมันยกยิ้มออกมาและกล่าวออกเสียงดังให้ทุกคนได้ยินว่า “แม้ตัวข้าจะมีธุระมากมายทำให้ไม่ได้อยู่ในเมืองฉางผิงตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่ชื่อเสียงและวีรกรรมของคุณชายหนิงนั้น ข้าได้ยินมาเป็นอย่างดี
และข้าก็เลื่อมใสในตัวท่านที่เป็นคนหนุ่มมากความสามารถ และคนเช่นนี้มีหรือที่จะไม่เหมาะกับสาวงามอันดับหนึ่ง กิ่งทองคู่กับใบหยกเสมอ นั้นคือคำกล่าวที่สืบมาของบรรพบุรุษ
แม้ว่าบุตรชายของข้าฉางอวี้จะมีความสามารถแต่ถ้าเทียบมันกับคุณชายหนิงแล้วละก็ ยังนับว่าห่างไกลยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้แล้ว ข้าฉางเหล่ยในฐานะเจ้าผู้ครองเมืองจะทำตัวเป็นวายร้ายแยกกิ่งทองและใบหยกออกจากกันได้อย่างไร การประลองในรอบที่สองนั้น ข้าจึงขอสละสิทธิ์”
เมื่อมันกล่าวกับฝูงชนจบ มันหันไปมองยังหนิงเทียนพร้อมกล่าวออก
“คุณชายหนิง สุรามงคลของพวกท่านคงจะมีรสชาติดีเยี่ยมอย่างแน่นอน ข้าขออวยพรให้ท่านเอาชนะการประลองครั้งนี้และถ้ามันผู้ใดคิดตุกติกเอาเปรียบท่านละก็ อย่าได้เกรงใจที่จะบอกให้ข้าฉางเหล่ยช่วยเหลือ”
ด้วยคำกล่าวของฉางเหล่ยนั้นผ่านการคัดกรองมาเป็นอย่างดี ตัวมันนั้นต้องการเพียงขัดขวางการเดินทางเข้าสู่อำนาจของตระกูลมู่
จากสัญชาตญาณของมัน ฉางเหล่ยรับรู้ได้เลยว่าเด็กหนุ่มแซ่ซือหม่าผู้นี้ก็มีเป้าหมายเดียวกับมัน เมื่อพวกมันมีเป้าหมายเดียวกันการที่จะเข้าห้ำหั่นซึ่งกันและกันนับว่าเป็นเรื่องของคนโง่เท่านั้น
ทันใดนั้นเองพร้อมๆกับพูดของฉางเหล่ย บุตรชายของมันฉางอวี้ได้เดินตรงไปยังที่นั่งของหนิงเทียน มันก้มศีรษะลงจนเกือบจะถึงเอว
“น้องชายหนิง น้องชายจินในอดีตเรื่องผิดใจของพวกเรา ขอให้มันผ่านไปกับสุราจอกนี้ด้วยเถอะ” สิ้นคำกล่าวฉางอวี้ยิ้มออกพร้อมยกสุราให้แก่ทั้งสองคน
การกระทำของฉางอวี้แม้จะอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนนับหมื่น แต่มันก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย มันกระทำโดยไม่หวั่นเกรงถึงศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อแสดงความจริงใจออกมาให้หนิงเทียนได้เห็น
จินเหล่าต้ามองไปยังหนิงเทียนราวกับว่ากำลังรอการตัดสินใจของหนิงเทียน
มุมปากของหนิงเทียนยิ้มออกมา“ดื่มสิทำไมจะไม่ดื่มมันล่ะ ว่าที่เจ้าเมืองคนต่อไปยอมยกสุราขอโทษทั้งที” สิ้นคำกล่าวหนิงเทียนและจินเหล่าต้ารับจอกสุราจากฉางอวี้และยกมันดื่มทันที
“เอาล่ะ เรื่องของเด็กๆก็สะสางปัญหากันเรียบร้อยแล้ว ในส่วนเรื่องของการประลองก็เป็นอย่างที่ข้าได้กล่าวไป ไม่จำเป็นต้องเสียเลือดพวกเราขอยอมแพ้” กล่าวจบฉางเหล่ยเดินลงจากเวทีกลับไปนั่งที่เดิม
“ในเมื่อตระกูลฉางเจ้าผู้ครองเมืองประกาศขอยอมแพ้ การต่อสู้ในรอบที่สองนี้ตระกูลซือหม่าเป็นฝ่ายชนะ”
“เหล่าต้า เจ้ารู้หรือไม่ว่า สุนัขกับสุนัขจิ้งจอกนั้นแตกต่างกันอย่างไร?”หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมมองตรงไปยังฉางเหล่ย
“พี่ชายหนิง ข้าไม่เข้าใจ??”จินเหล่าต้าถามกลับด้วยความสงสัย
“เจ้าจงจำไว้ สุนัขมันจะกัดไม่เลือกหน้า แต่สำหรับสุนัขจิ้งจอกพวกมันจะเลือกเหยื่อที่ไม่เป็นอันตรายต่อมันเท่านั้น ในอนาคตเมื่อเจ้าได้พบเจอสุนัขจิ้งจอกจงอย่าได้ไว้ใจและระวังมันให้มากกว่าผู้อื่น”
จินเหล่าต้าพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้วพี่ชายหนิง"
ฮันซินไม่รอให้เสียเวลา เมื่อการประลองรอบที่สองนั้นหาได้สร้างความตื่นเต้น มันจึงรีบกล่าวเริ่มการประลองครั้งต่อไปทันที“การประลองในรอบที่3 ตระกูลซือหม่าพบกับตระกูลซาง”
ภายในที่นั่งของตระกูลซาง
“ซางฉู่เจ้ากล่าวอะไรออกมา เจ้าจะให้พวกเราทำเรื่องเสียเกรียติเช่นนั้นหรือ?”
“ผู้อาวุโสที่หนึ่ง ท่านไม่เห็นโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลจ้าวหรืออย่างไร”ซางฉู่กล่าวออกมา
“มันเกิดขึ้นกับตระกูลจ้าวก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดกับตระกูลซางของเรา”คนที่กล่าวออกเป็นผู้อาวุโสลำดับที่สาม
“หืมม์ ผู้อาวุโสที่สาม ท่านสามารถบอกข้าได้เต็มปากหรือไม่ว่าท่านเอาชนะจ้าวหลี่หงได้”ซางฉู่ถามกลับ
“นั้นมัน.....ถึงเราจะไม่ชนะแต่ตระกูลซางของเราจะไม่ถอยหนีอย่างคนขี้ขลาดแน่นอน”
“ดี ถ้าเช่นนั้นท่านขึ้นไปเป็นคนแรก ถ้าท่านรอดชีวิตกลับมา ข้าซางฉูจะยอมก้าวขึ้นไปเป็นคนที่สองเลย”
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกมันจะมานั่งถกเถียงกันเช่นนี้ สามตระกูลใหญ่แห่งเมืองฉางผิง พวกมันทั้งสามตระกูลล้วนมีพลังและอำนาจที่เทียบเคียงกัน
ถ้าตระกูลจ้าวล่มสลายได้แล้วทำไมตระกูลซางจะเป็นไม่ได้ละ ด้วยความคิดเช่นนี้มันจึงทำให้ตระกูลซางแบ่งฝ่ายและถกเถียงกันออก
ผู้นำตระกูลยกมือพร้อมกล่าวออกหยุดการโต้เถียง“เอาล่ะพวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้ว คำพูดที่ผู้อาวุโสฉู่กล่าวมานั้นไม่สามารถที่จะมองข้ามได้ จ้าวหลี่หงเองก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเราได้เห็น
และที่สำคัญกว่านั้นคือเด็กหนุ่มผู้คอยสั่งการทุกอย่างยังไม่แม้แต่จะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ พวกเราจะไม่ยอมทำเรื่องที่เสี่ยงต่อการล่มสลายของตระกูลเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งอย่างแน่นอน”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ซางฉู่ก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมประกาศออก
“เดิมที่ตระกูลซางของเรามาร่วมงานประลองครั้งนี้เพียงเพราะนึกสนุกอยากจะปะมือกับสหายท่านอื่นๆเท่านั้น แต่เมื่อพวกเราได้เห็นน้องชายหนิงแล้ว
กิ่งทองก็สมควรคู่กับใบหยก พวกเราจะไม่เอาตัวเองไปขัดขวาง วีรบุรุษที่กำลังตามหาสาวงามเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ตระกูลซางของพวกเราจึงขอยอมแพ้”
ในรอบที่แล้วคำกล่าวของฉางเหล่ยนั้นสร้างความซาบซึ้งอันเข้าใจได้ให้แก่ผู้ชม แต่ในรอบนี้ตระกูลซางได้ใช้คำกล่าวเดิมกล่าวมันขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
มันจึงสร้างความไม่พอใจเล็กๆให้แก่ผู้ชมที่ต้องการ ชมการประลองของเหล่าตัวตนในแดนวีรชน
“เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองฉางผิง มีแต่พวกขี้ขลาดทั้งหมด”ฮุนเหยียนฟางกล่าวออกเสียงดัง
“มันจะไม่เกิดขึ้นแน่ ถ้าเป็นตระกูลระดับสูงในเมืองไห่หนานของเรา” ไห่เทียนตี้กล่าวออกกับบิดาของมัน
ฮันซินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวไปว่า“ในรอบที่สามตระกูลซือหม่าเป็นฝ่ายชนะ ข้าหวังว่าในรอบที่สี่คงจะมีการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นให้ได้ชมกันและเพื่อไม่ให้เป็นการเสียงเวลา
การประลองในรอบที่สี่จะเริ่มขึ้นเดียวนี้ ตระกูลซือหม่าพบกับสำนักดาบศิลา ข้าจะให้เวลา20ลมหายใจในการคิดว่าจะส่งผู้ใดออกมาประลอง”