บทที่ 133 การรวมตัวของเหล่าวายร้าย2
“สำหรับในเรื่องนี้ตาแก่ผู้นี้จะอธิบายให้คุณชายหนิงฟังเองอาณาจักรฟ้าสวรรค์ที่ปกครองโดยเจ้าผู้ครองทวีปแดนเหนือ จอมมารฟ้าเย่ชิงอวิ้นนั้น แบ่งการปกครองเป็นจัตุรัสเขตแดนและให้การประครองในแต่ละเขตแดนเป็นเอกเทศของตัวมันเอง
โดยแบ่งเป็นวงแหวนล้อมรอบราชวงศ์ตระกูลเย่อยู่ถึง3ชั้น โดยวงแหวนรอบนอกสุดที่ติดกับดินแดนที่พวกเรากำลังยืนอยู่นี้จะถูกปกครองโดยนิกายระดับอี เอ้อและซานเทียนโหลว(บันไดสวรรค์ขั้นที่1 2 และ3)
ส่วนวงแหวนรอบกลางจะเป็นที่อยู่ของสำนักระดับซื่อ อู๋และลิ่วเทียนโหลว (ขั้นที่4 5และ6)และส่วนวงแหวนชั้นในนั้นจะเป็นชั้นที่ถูกปกครองโดยตรงจากราชวงศ์เย่ พื้นที่วงแหวนชั้นในนั้นแข็งแกร่งที่สุด มีแต่นิกาย สำนักหรือตระกูลชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในส่วนนี้
จากที่ข้าได้กล่าวมาข้างต้นด้วยเหตุนี้เองดินแดนรอบนอกที่พวกเรายืนอยู่นั้นจึงมีความใกล้ชิดกับวงแหวนชั้นนอกของอาณาจักรฟ้าสวรรค์มากกว่า
อิทธิพลของนิกายระดับ อี เอ้อและซานจึงแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วดินแดนรอบนอกนี้” หลวนคุนอธิบายออกมาให้หนิงเทียนฟังอย่างละเอียด
“จัตุรัสเขตแดนหรือ? ราชวงศ์เย่คงจะเตรียมการมาเพื่อสงครามโดยเฉพาะเลยสิน่ะวงแหวนทั้งสามชั้นเปรียบเสมือนปราการป้องกันทั้งสามขั้น คงยากที่ทัพใดจะเข้าทะลวงจนแตกพ่ายได้
ดูเหมือนผู้ที่วางผังเมืองจะมีความรู้ในด้านการทหารและสงครามอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว”
ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยของหลวนคุนถึงกับต้องหรี่เล็กลงเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นออกมาแต่มันก็รีบเปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มและไม่ได้กล่าวคำใดออกมาอีก
หยูหยูที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังเปิดปากออกมาด้วยรอยยิ้ม“คุณชายหนิงดูเหมือนว่าครั้งนี้ท่านจะคาดการณ์ผิดไปแล้ว สงครามไม่มีทางเกินขึ้นแน่นอนเพราะพวกเราทั้งสี่ทวีปอยู่ภายใต้สัญญาสงบศึกของจักรพรรดิ”
หนิงเทียนตอบรับด้วยรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก“นั้นสิน่ะ ข้าเองก็เพียงคิดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
“นั้น พวกมันมาถึงแล้ว” จินเหล่าต้าร้องเตือนพร้อมชี้ไปยังผู้มาเยือนที่ไม่รักษาเวลายิ่งกว่ากลุ่มของพวกมันเสียอีก
สิ้นเสียงนั้นร่างของสตรีในชุดแดงเดินนำกลุ่มของมันมาอย่างไม่รีบร้อน พวกมันไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากำหนดการเวลาจะเป็นเช่นใด ด้วยความที่เป็นนิกายระดับอีเทียนโหลมันจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใครที่ไหนในดินแดนรอบนอกแห่งนี้
ผู้คนทั่วไปนั้นคิดว่านิกายหอกโลหิตถูกเชื้อเชิญเพื่อมาเป็นสักขี่พยานในการประลองครั้งนี้แต่เมื่อคำกล่าวดังออกมาจากปากของบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดสีแดงโลหิต คิ้วของมันชี้เฉียงดุจกระบี่ ว่า
“ท่านพ่อบุญธรรม โปรดเตรียมที่นั่งสำหรับผู้สมัครให้แก่พวกเรานิกายหอกโลหิตด้วย”
ด้วยคำกล่าวของบุรุษผู้นี้สร้างบรรยากาศอันอึมครึมให้แก่เหล่าผู้สมัครคนอื่นๆเป็นอย่างมาก
“นิกายหอกโลหิตจะเข้าร่วมงานประลอง???”
“เดียวก่อน!!! บุรุษผู้นั้นเรียกมู่ซวนเฟิงว่าพ่อบุญธรรม หรือว่ามันคือมู่ผวนบุตรบุญธรรมของมู่ซวนเฟิง” จินเหล่าต้ากล่าวออกมา
หยูหยูหันไปยิ้มให้ก่อนจะกล่าวออกมา “นายน้อยจินหูตากว้างไกลจริงๆ ใช่แล้วบุรุษผู้นี้คือ มู่ผวน บุตรบุญธรรมของมู่ซวนเฟิงอีกทั้งยังเป็นศิษย์ของถงจื่อโหยวที่สวมชุดสีแดงกำลังเดินนำหน้าอยู่อีกด้วย”
มู่ซวนเฟิงได้ยินดังนั้นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมันอย่างไม่สามารถหุบลงได้ จากนั้นมันกล่าวออกเสียงดัง
“ข้าขอประกาศให้ทุกท่านได้ทราบ มู่ผวนแม้จะเรียกข้าว่าพ่อบุญธรรมด้วยความเคารพ แต่ทว่าตัวมันและข้าไม่ได้มีความเกี่ยวพันธ์ทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย
ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือตัวของมู่ผวนและบุตรสาวของข้ามู่เสวี่ยหาได้มีความเกี่ยวพันธ์ทางสายเลือดกันเลย ฉะนั้นมู่ผวนจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองโดยมิได้ผิดจรรยาใดๆ”
ด้วยคำกล่าวของมู่ซวนเฟิงนั้น ทำให้ใบหน้าของมู่เสวี่ยแสดงสีหน้าด้วยอาการดูถูก คำพูดของมันนั้นหมายความว่า มู่ผวนแห่งนิกายหอกโลหิตเองก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นว่าที่สามีของตัวนาง
จากนั้นมู่ซวนเฟิงหันไปกล่าวออกแก่ทหารรับใช้ “เร็วเข้ารีบนำทางแขกผู้มีเกรียติไปยังที่นั่ง”
สิ้นคำกล่าว ถงจื่อโหยวและคนของมันได้เดินตามทหารรับใช้ไปนั่งยังเก้าอี้ของแขกผู้มีเกรียติ
เห็นภาพเช่นนั้นจินเหล่าต้าคำรามออกด้วยความโมโห “บัดซบ!! กับพวกเราเจ้าพ่อบ้านหน้าเหม็นนั้นบอกว่าให้โทษที่ตัวเองมาช้า แต่ดูนั้นเห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้มาช้ากว่าพวกเรามากนักแต่มันกลับมีที่นั่งรับรองอย่างสะดวกสบาย”
“เหล่าต้าไม่ว่าจะที่แห่งไหนผู้แข็งแกร่งย่อมเสียดังกว่าเสมอ ถ้าเจ้าต้องการโวยวายให้คนอื่นฟังเสียงของเจ้าละก็มีเพียงแต่การขึ้นเวทีไปแล้วเหยียบหัวมันผู้นั้นให้ติดกับพื้นเท่านั้นที่เสียงของเจ้าจะดังจนผู้อื่นหันมามอง”หนิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเป็นปกติ
พร้อมกันนั้นเสียงของมู่ซวนเฟิงได้ประกาศดังออกมา “ในเมื่อแขกผู้มีเกรียติมากันพร้อมหน้าแล้วและเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ ข้าในฐานะผู้นำตระกูลจะขออธิบายกติกาสำหรับการประลองครั้งนี้
โดยกติกาของมันจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยคือ ตัวข้านั้นเห็นว่า ผู้ที่สมควรจะมาเป็นสามีของมู่เสวี่ยได้จะต้องเหมาะสมในทุกๆด้านๆ
สตรีนั้นสามารถออกเรือนได้เพียงครั้งเดียวและคนผู้นั้นจะต้องเหมาะสมอย่างที่สุด ข้าจึงกำหนดคุณสมบัติต่างๆให้สูงขึ้นเพื่อที่จะสนองความสุขของบุตรสาว
อันดับแรกข้าจะให้ผู้สมัครสามารถหาผู้ช่วยของตัวเองได้อีกสองคน โดยที่การประลองจะเป็นการประลองแบบกลุ่ม3คน ถ้าฝ่ายใดแพ้ทั้งหมดสามคน ผู้สมัครท่านนั้นจะหมดสิทธิ์และตกรอบในทันที
ที่ข้าต้องทำเช่นนี้ก็เพราะข้าต้องการให้บุตรสาวของข้าอยู่ในตระกูล นิกายหรือสำนักที่แข็งแกร่งจริงๆเท่านั้น”
จินเหล่าต้าได้ยินดังนั้นมันยิ้มออกมาอย่างดูถูกพร้อมกล่าวออก“พี่ชายหนิงดูมันสิ กางเกงของมันแทบจะปกปิดหางของจิ้งจอกได้ไม่มิดแล้ว
การประลองแบบกลุ่มหรอ มันจะเป็นการวัดพรสวรรค์เชิงยุทธ์ของคนผู้นั้นได้อย่างไรกัน ไม่สนว่าคนผู้นั้นจะเป็นขอทานยาจกหรือมหาโจรขอแค่เพียงมีผู้ติดตามหรือเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง ตระกูลมู่ก็ยินดีอ้าแขนรับมันเป็นลูกเขยนะหรือ ช่างน่าขัน”
มู่ซวนเฟิงยังคงกล่าวต่อไป “ข้อที่สองพวกเราจะไม่จำกัดอายุใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ ประมุขหรือผู้นำนิกาย ท่านสามารถที่จะครอบครองและดูแลบุตรสาวข้าได้
เพราะตัวข้านั้นเชื่อมาตลอดว่า การมีพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่งเรื่องของอายุนั้นจะไม่ใช่ปัญหาใดๆ พวกเราที่เป็นผู้บ่มเพาะนั้นรู้อยู่แก่ใจดี
ยิ่งพวกเราทะลวงขึ้นไปดินแดนที่สูงมากเท่าใดอายุขัยของพวกเราก็ยิ่งยืดยาวตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้ตัดสินใจแล้วว่าอายุนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ข้อที่สาม ผลแพ้ชนะนั้นสามารถทำได้ 3วิธี หนึ่งคือการตกออกนอกเวทีประลอง สองคือการเอ่ยปากออกขอยอมแพ้และวิธีสุดท้ายคือการสิ้นชีวิตลง
โดยผู้ที่ตกตายบนเวทีประลอง ทางตระกูลมู่จะไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ และถ้ามันจะเป็นฉนวนความแค้นระหว่างผู้เข้าประลองละก็ ตระกูลมู่จะไม่มีส่วนยุ่งเกี่ยวใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าฝ่ายก็ตาม
ด้วยสามข้อที่มู่ซวนเฟิงกล่าวออกมานั้นแม้จะถูกใช้ด้วยถ้อยคำที่ดูดี แต่ลึกๆภายในแล้วแทบจะไม่ต่างอะไรกับการประลองเพื่อแย่งชิงสมบัติเลย
มันไม่สนใจในสิ่งที่คนหนุ่มสาวต้องการ มันเพียงแต่กำหนดแค่ว่า แม่น้ำที่เรือลำน้อยๆจะไปพึ่งพิงจะต้องกว้างขวางกว่าแม่น้ำสายไหน แล้วเรือลำน้อยที่ชื่อว่าตระกูลมู่จะต้องพุ่งไปไกลเหนือกว่าผู้ใดในสามเมืองใหญ่
หนิงเทียนมองไปยังมู่ซวนเฟิง การกระทำของมันไม่ใช่สิ่งผิด ความคิดที่จะนำพาตระกูลไปสู่ความยิ่งใหญ่นั้นเป็นสิ่งที่ผู้นำทุกคนควรจะมี
แต่สิ่งเดียวที่มู่ซวนเฟิงก้าวผิดก็คือตระกูลมู่นั้นดันมีบรรพบุรุษที่อาศัยอยู่ในแดนภูตเร้นลับเท่านั้นเอง ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตระกูลอื่นๆ มันคงเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และตัวมันคงจะได้รับการจารึกชื่อต่อแก่คนรุ่นหลังไปแล้ว
สำหรับหนิงเทียนตัวของมู่ซวนเฟิงนั้นจบสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่มันสามารถจับตัวหรงเจาจื่อผู้เป็นบิดาได้แล้ว เวลานี้สิ่งที่อันตรายและเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถกำหนดได้ก็คือเหล่าผู้คนที่มาเข้าร่วมงานประลองมากกว่าตัวของมู่ซวนเฟิงเสียอีก
.....
ณ.บริเวณที่นั่งชั้นบนของผู้ชม ภายใต้มุมมืดที่ไม่สะดุดตาผู้คนมุมหนึ่ง ชายชราใบหน้าอ่อนโยนสวมเสื้อสามัญของชาวบ้านกำลังนั่งมองด้วยแววตาสนุกสนาน
สองมืออันเหี่ยวย่นของมันท้าวไปที่คางพร้อมกับรอยยิ้มจางๆที่ปรากฎออกมา “คนหนุ่มสมัยนี้ช่างเลือดร้อนจริงๆนะ เห็นแล้วอยากกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้งบ้างจัง”
ทันใดนั้นเอง จู่ๆร่างเงาของบุรุษห้าคนได้ก้าวเดินเข้ามา บุรุษที่เดินนำหน้าอยู่นั้นมันมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับฉางอวี้ยิ่งนัก เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อฉางอวี้มีอายุมากขึ้นแล้วใบหน้าของมันจะต้องคล้ายกับบุรุษผู้นี้แน่นอน
ที่ด้านหลังของมันปรากฏใบหน้าที่คุ้นเคยทั้งสี่เดินเรียงตามมาเป็นลำดับเริ่มจากอี้เหวินตง ซางไห่ เกาซุนและฉางอวี้
หนิงเทียนดูจากบริวารที่เดินตามและลักษณะโครงหน้าของมันแล้ว มันคาดคะเนได้เลยว่าบุรุษผู้นี้คือเจ้าเมืองฉางผิงนั้นเอง
บุรุษผู้เป็นเจ้าเมืองฉางผิงนั้นมีนามว่าฉางเหล่ย นามนี้ไม่มีใครภายในเมืองฉางผิงจะไม่รู้จักมัน จากนั้นมันปลายตามองไปยังมู่ซวนเฟิและกล่าวออก
“ใจร้ายจริงๆนะ ท่านผู้นำมู่ จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตเช่นนี้ แต่กลับไม่ชวนเจ้าของบ้าน อย่าลืมสิว่าตระกูลมู่ของท่านก็ยังอยู่ในอาณาเขตเมืองฉางผิงของเราผู้นี้”
ตัวของฉางเหล่ยนั้นเป็นคนหนึ่งที่ไม่ต้องการให้งานประลองครั้งนี้สำเร็จไปด้วยดี มันเกรงว่าตระกูลมู่จะใช้โอกาสนี้สั่นคลอนตำแหน่งเจ้าเมืองของมัน
“เป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน!!! เทียบเชิญของท่านเจ้าเมือง ข้ามู่ซวนเฟิงเป็นผู้เขียนมันด้วยมือ มันจะต้องมีเรื่องผิดพลาดเกินขึ้นอย่างแน่นอน ขอให้ท่านเจ้าเมืองอภัยให้แก่ข้าด้วย
เช่นนั้นเมื่อท่านมาโดยไม่มีเทียบเชิญแล้วก็แล้วไปเถอะ ทหาร!!! จัดที่นั่งให้ท่านเจ้าเมืองชมการประลองอย่างสมเกียรติ” มู่ซวนเฟิงกล่าวออกด้วยใบหน้าที่ปั่นรอยยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าคำพูดของมันนั้นหาได้มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย
“ท่านผู้นำมู่ กล่าวผิดแล้ว ตัวข้ามาในวันนี้บังเอิญได้ยินเรื่องสนุกๆเช่นการจับกลุ่มประลองแทนการประลองแบบเดี่ยว ข้าจึงเกิดความคิดที่จะเข้าร่วมประลองด้วยได้หรือไม่ละท่านผู้นำ” ฉางเหล่ยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มตอบไป
“ฮ่าฮาๆทำไมจะไม่ได้ละ เด็กๆจัดที่นั่งสำรองให้แก่ท่านเจ้าเมืองโดยเร็ว” แม้มู่ซวนเฟิงจะกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแต่ภายในใจของมันก่นด่าฉางเหล่ยอย่างเดือดดาล “ไอ้สุนัขจิ้งจอกเอ้ยคิดหรือว่าแค่ผู้พิทักษ์ฟ้าทั้งสามจะหยุดยั้งงานแต่งของมู่เสวี่ยได้”
เมื่อทหารพาฉางเหล่ยไปนั่งยังตำแหน่งพิเศษแล้ว มู่ซวนเฟิงได้กล่าวออก
“ขอให้ผู้สมัครทุกคนส่งรายชื่อผู้ติดตามทั้งสองคนที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับตัวท่านมา อีก1ชั่วยามนับจากนี้การประลองแบบกลุ่มจะเริ่มต้นขึ้น ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม”
“นายท่านการประลองครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างตระกูล สำนักและนิกายต่างๆมากกว่าการประลองส่วนบุคคล ท่านมีความเห็นเป็นเช่นไร?” จั่วจิงหนานกล่าวแย้มความเห็นของนายมันออกมา
“ไม่ต้องคิดอะไรให้มากนัก พวกเราก็แค่เล่นไปตามเกมส์ของพวกมันเท่านั้น จิงหนานเรื่องนี้เจ้าเพียงแต่เป็นผู้ชมเท่านั้น ข้า เหล่าต้าและเสี่ยวซวง จะเข้าร่วมประลองเอง” หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมองไปยังจินเหล่าต้าและเสี่ยวซวง
“ดีเลยพี่ชายหนิง ตลอดสิบวันมานี่ ข้าเอาแต่ปรุงโอสถจนแบบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ได้ยืดเส้นยืดสายบ้างก็ดีเหมือนกัน
พี่ชายหนิงถ้าได้เจอกับหมู่ตึกลมดำยกไอ้หน้ารถม้านั้นให้แก่ข้าที ยิ่งมองทีไรยิ่งขัดลูกตาจริงๆ”จินเหล่าต้ากล่าวออกพร้อมปลายตามองไปยังที่นั่งของผู้คนในหมู่ตึกลมดำ
“ไม่ต้องห่วง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆข้าจะไม่ลุกขึ้นจากเก้าอี้เด็ดขาด การต่อสู้ทั้งหมดให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าทั้งสองคนไปแล้วกัน” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลวนคุนที่นั่งอยู่ใกล้ๆเปิดปากกล่าวออกแก่คนของมัน “หยูหยู หยูหยิน พวกเจ้าทั้งคู่ไปทำหน้าที่รับเดิมพันเถอะ”จากนั้นมันหันไปกล่าวกับหนิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าคุณชายหนิงจะยั้งมือให้สมาคมการค้าจ้าวสมุทรของเราได้เก็บหนี้จากคนเป็นด้วยเถอะ...”
--------------------
เมื่อเวลาผ่านไปชั่วกาน้ำเดือด บุรุษร่างอ้วนเตี้ยพุ่งตัวขึ้นมาหยุดยืนกลางเวทีประลอง จากนั้นมันกล่าวออกเสียงดังว่า
“ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง งานประลองเลือกคู่ตระกูลมู่จะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้” เหล่าตัวตนระดับสูงล้วนรู้จักบุรุษร่างอ้วนผู้นี้เป็นอย่างดี มันไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน มันคือเจ้าของฉายา โทรโข่งเหมือนลี้ ฮันซินนั้นเอง
“เอาล่ะ รายชื่อของผู้สมัครทุกคนอยู่ในมือข้าแล้ว ต่อไปนี้ถ้าข้ากล่าวขานชื่อผู้ใดออกมา ให้มันผู้นั้นนำผู้ติดตามขึ้นมาบนเวทีประลอง”ฮันซินประกาศออกเสียงดัง
“ไอ้อ้วนเจ้าผายลมอันใดออกมา พวกเราไม่มีสิทธิ์รู้เลยหรืออย่างไรว่าพวกเราจะต้องเจอคู่ต่อสู้จากที่ใดบ้าง” ซางฉู่แห่งตระกูลซาง 1ใน3ตระกูลใหญ่แห่งเมืองฉางผิงกล่าวถามออกมา
“ไม่มี ทุกๆอย่างผู้นำมู่ล้วนกำหนดขึ้นด้วยตัวเอง ว่าใครสมควรจะต่อสู้กับใคร” ฮันซินกล่าวออกเสียงแข็ง
“เห๊อ ถ้าเช่นนี้จะไม่เป็นการเอาเปรียบหรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไงกัน??” น้ำเสียงนักพรตเต๋าจากหมู่ตึกลมดำกล่าวออกมา
“เอาเปรียบ? เข้าข้าง? นักพรตหน้าดำเจ้ากำลังเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ การประลองครั้งนี้เป็นการเลือกคู่ให้แก่บุตรสาว ตัวของบิดาย่อมมีสิทธิในการตั้งด่านทดสอบให้แก่บุตรเขย
เรื่องเช่นนี้เจ้าตอบข้ามาว่ามันเป็นเรื่องผิดแปลกอันใดหรือไม่??”ด้วยคำกล่าวของฮันซินนั้นแทบจะเป็นจริงทุกประการ มันจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวแย้งออกมา
จากนั้นฮันซินกล่าวต่อ“เอาล่ะเสียเวลาไปกับตาแก่หน้าโง่ของตระกูลซางและนักพรตตัวเหม็นมากพอแล้ว”กล่าวถึงตรงนี้ฮันซินยิ้มออกและสะบัดกระดาษหนังสัตว์พร้อมกล่าวขึ้น
“คู่แรก ตระกูลจ้าว เชิญขึ้นมาบนเวที และคู่ต่อสู้ในรอบนี้ของพวกมันก็คือ ตระกูลซือหม่า เชิญตระกูลซือหม่าขึ้นมาด้วย ข้าขอย้ำอีกครั้งผลแพ้ชนะจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายไม่เหลือผู้ใดที่จะสู้ต่อไหวแล้ว”