บทที่ 132 การรวมตัวของเหล่าวายร้าย 1
“ตัวอันตรายอีกคนโผล่ออกมาแล้วสินะ ข้าว่าต้องเป็นมันแน่นอนที่ได้คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ไปครอง”
“ก็ไม่แน่นักหรอก บุคคลที่ผ่านไปก่อนหน้ามันคือเจ้าเมืองไห่หนาน ผู้นำของสามเมืองใหญ่เชียวน่ะ”
“เห๊อะ ข้าละอิจฉามันจริงๆ เจ้าดูสิมันมีสตรีที่งดงามขนาดนั้นอยู่เคียงข้างแล้วแท้ๆยังต้องการมาร่วมงานประลองเลือกคู่อีก เจ้าหนุ่มตระกูลซือหม่าผู้นี้คิดจะเก็บดอกฟ้าให้หมดเลยหรือไง”
เมื่อหนิงเทียนปรากฎตัวเสียงของผู้คนมากมายต่างลือเลื่องทั้งดีและไม่ดีผสมปนเปกันไปหมด
เมื่อทหารทั้งสองรู้ถึงตัวตนของผู้มาเยือน มันรีบทำความเคารพพร้อมกับทำการเชื้อเชิญ “ผู้นำตระกูลซือหม่าโปรดตามพวกเรามา”
ตระกูลมู่แม้จะเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองฉางผิง แต่ถึงอย่างไรด้วยอำนาจของพวกมันแล้ว ไม่มีทางที่จะจัดงานใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาได้แน่
ถ้าไม่มีด้วยกันสองเหตุผล หนึ่งคือความงดงามของมู่เสวี่ยที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในดินแดนรอบนอก
สองคือการที่ มู่ซวนเฟิงนั้นใช้ทุกวิธีที่จะรวบรวมผู้ฝึกตนทุกๆจากทั่วทุกสารทิศมันทำแม้กระทั่งวาดภาพเสมือนของมู่เสวี่ยติดประกาศออกไปทั่ว หยกบันทึกภาพนับพันๆก้อนถูกแจกจ่ายไปยังหัวเมือง นิกายและสำนักต่างๆ
เพื่อให้ทุกๆคนได้เห็นความงดงามในตัวของมู่เสวี่ยด้วยเหตุนี้เองภายในตระกูลมู่วันนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนระดับสูงมากมายที่มาเข้าร่วมงานครั้งนี้
หนิงเทียนนั้นรู้อยู่แล้วว่าการประลองครั้งนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลแต่ครั้งนี้สำหรับมันนับว่าเป็นการช่วยเหลือครั้งสุดท้ายที่มันจะแสดงออกให้แก่ตระกูลมู่
เมื่อหนิงเทียนมาถึงยังลานประลอง บริเวณพื้นที่อันเคยเป็นสนามประลองอสูรบัดนี้ถูกยกสูงและเปลี่ยนแปลงเป็นสนามประลองที่กว้างใหญ่ และพื้นที่โดยรอบก็ถูกจัดเป็นที่นั่งของผู้ชม
เพียงแค่ปลายตามองก็รับรู้ได้เลยว่าฝูงชนเหล่านั้นต่างเป็นพวกที่มีอำนาจหน้าตาสูงศักดิ์ในพื้นที่ดินแดนรอบนอกแห่งนี้
ในส่วนกำแพงที่เคยล้อมรอบมันถูกทุบออกให้ผู้คนภายนอกสามารถใช้สายตามองเข้ามาชมการประลองได้อย่างถนัดตา
พวกมันทุกสายตาล้วนแต่จะต้องเป็นพยานในการประลองครั้งสำคัญว่าใครจะเป็นผู้ที่เอาชัยเหนือทุกคนและได้แต่งงานกับสตรีที่งดงามอันดับหนึ่งในสามเมือง
บริเวณที่นั่งอันใหญ่โตด้านล่างถูกจัดไว้ให้เป็นที่นั่งอันหรูหรา มันถูกประดับด้วยป้ายคำว่ามีเกียรติอยู่ด้านบน มันแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆและพวกที่นั่งอยู่นั้นต่างแต่งกายในลักษณะที่แปลกประหลาดแสดงให้เห็นว่าพวกมันนั้นล้วนมาจากทุกสารทิศ
หนิงเทียนพบว่าบริเวณด้านหน้าสุดนั้นถูกแบ่งที่นั่งอันแตกต่างไปจากที่นั่งอื่นมันมีสัญลักษณ์ของนิกายและสำนักต่างๆถูกประดับไว้เป็นเจ้าของ และบริเวณที่นั่งหลักตรงกลางย่อมเป็นของตระกูลมู่ผู้จัดงาน
หนิงเทียนกวาดสายตาไปโดยรอบอีกครั้งมันกลับพบว่าที่นั่งนั้นถูกจับจองไปหมดจนไม่เหลือที่นั่งให้แก่ตัวมันแล้ว โดยที่หนิงเทียนไม่ต้องขยับปากพูดให้เสียแรง
เป็นจินเหล่าต้าที่โวยวายออกกับทหารที่นำทางพวกมันมาซึ่งเสียงของจินเหล่าต้านั้นสามารถเรียกสายตาทุกคู่ได้เป็นอย่างดี “เหตุใดเจ้ายังไม่หาที่นั่งให้พวกเราอีก?”
“ที่นั่ง!!”ได้ยินเสียงตวาดของจินเหล่าต้าทหารที่นำมาหน้าถอดสี ตัวมันเป็นเพียงทหารเฝ้าประตูเหตุใดถึงจะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินที่นั่งให้ใครได้
ทันใดนั้นเสียงของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งได้ดังขึ้นมา “ถามหาที่นั่ง?? ท่านคงจะเป็นเสเพลอันดับ1แห่งเมืองฉางผิง จินเหล่าต้าสินะ
ตระกูลมู่ของพวกเรานั้นต้อนรับทุกคนอย่างเท่าเทียม ท่านที่ไม่เคารพเวลาเดินทางมาถึงหลังสุดจะถามหาที่นั่งได้อย่างไร เมื่อพวกมันเต็มไปแล้ว?”
หนิงเทียนยกยิ้มออกมา มันยืนมือออกไปปรามจินเหล่าต้าพร้อมกล่าวออก “ที่นั่งนั้นไม่สำคัญกับพวกเรา การจะมีหรือไม่มีมัน ไม่ใช่ปัญหา พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะนั่งลงและชมมันด้วยตา
แต่พวกเรามาเพราะต้องการสังหารผู้คนที่ขวางหน้าให้ส่าแก่ใจ”ด้วยคำกล่าวที่เย็นเยือกเสียดไปที่ถึงขั้วหัวใจนั้น มันทำให้ผู้คนที่เคยเห็นวีรกรรมของหนิงเทียนบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
แปะแปะแปะ!!! เสียงปรบมือดังออกมาจากบุรุษผู้หนิงที่กำลังถือผัดจีบหยกมันนั่งอยู่ภายในที่นั่งของแขกผู้มีเกีรยติ จากนั้นมันหัวเราะและกล่าวออก
“ฮ่าๆ กล่าวได้ดีจริงๆดูเหมือนว่างานประลองเพื่อการวิวาจะเป็นการละเล่นด้วยเลือดของผู้ที่กระหายมัน”
“นายท่าน สัญลักษณ์นั้น ชายผู้นี้น่าจะเป็นคนของหมู่ตึกลมดำ ท่านโปรดระวังพวกมันไว้ให้ดีเบื้องหลังของพวกมันนั้นลือกันว่ามีหมู่ตึกจรัสแสงหนึ่งใน77บริวาณของนิกายมารทมิฬจ้าวเหนือหัวผู้ปกครองพื้นที่แดนใต้ให้ท้ายอยู่”จั่วจิงหนานกล่าวเตือนข้างหู
ตอนแรกหนิงเทียนหาได้สนใจชื่อของหมู่ตึกลมดำแม้แต่น้อย ถ้าไม่เพราะชื่อนิกายมารทมิฬที่จิงหนานกล่าวออกมา คงไม่ทำให้หนิงเทียนปลายตาไปมองพวกมันได้
เหมือนว่าผู้ถูกมองจะรับรู้ถึงสายตาคู่นั้น บุรุษผู้ถือพัดหยกสะบัดพัดเก็บลงพร้อมกล่าวแนะนำตัว “ข้าได้ยินชื่อเสียงของเด็กหนุ่มซือหม่ามานานแล้ว หวังว่าวันนี้พวกเราผู้เยาว์จะได้แลกเปลี่ยนฝีมือกันบนลานประลอง”
“เจ้ารู้จักข้า แต่ข้าไม่รู้จักเจ้า” หนิงเทียนกล่าวออกอย่างไม่สนใจ
คำกล่าวของหนิงเทียนนั้นส่งให้มุมปากของบุรุษผู้นั้นกระตุกขึ้น มันรีบยิ้มกลบเกลือนพร้อมกล่าวออกด้วยถ้อยคำแนะนำตัวที่แสนเย็นชา
“ข้าชื่อมี่เฉิง โปรดจำชื่อข้าให้ดีมันอาจจะเป็นชื่อสุดท้ายของชีวิตที่เจ้าได้เรียกหามันก็ได้”
“พรวด!!!ฮ่าๆๆ ฮาๆ” ได้ยินบุรุษผู้นั้นแนะนำตัวจินเหล่าต้าหัวเราะโพ่งออกมาอย่างไม่ไว้หน้า “*มี่เฉิง ข้าว่ามาดาของเจ้าคงต้องคลอดเจ้าบนรถม้าแน่ๆเลยถึงตั้งชื่อนี้ขึ้นมาให้”
มี่เฉิง รถม้า
“จะ...เจ้า” มี่เฉิงรุกขึ้นยืนจากที่นั่งด้วยโทสะ มันชี้พัดจีบหยกไปที่หน้าจินเหล่าต้าด้วยความโมโห
“คนหนุ่มนั้นเลือดร้อนเสียจริง ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะสู้กัน ลานประลองอยู่ตรงหน้าแล้ว เพียงแต่เวลานี้เจ้าควรจะแสดงกิริยาให้เกีรยติแขกบ้านมากกว่านี้หน่อย”
สิ้นเสียงนั้นแรงกดดันในแดนวีรชนแผ่ออกมาใส่จินเหล่าต้าและมี่เฉิง จนพวกมันไม่สามารถที่จะขยับตัวได้
“ประมุขฮุย คนของหมู่ตึกลมดำ มีข้าคนเดียวที่สามารถสั่งสอนมันได้”สิ้นคำกล่าวจิตสังหารที่ถูกบีบจนเล็กเท่ารูเข็มพุ่งเป็นเส้นตรงสลายแรงกดดันอันมหาศาลนั้นทิ้ง
“ฮ่าๆ ฮาๆ นักพรตเต๋า ก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว นับถือนับถือ”ผู้ที่กำลังกล่าวออกอยู่นี้คือบุรุษที่สวมชุดคลุมสีขาวและมันผู้นี้เองที่เป็นบิดาของฮุยฟาง และเป็นประมุขของนิกายกระบี่เทวดา นามว่าฮุยเหยียนฟาง
“ขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียดนั้น เสียงอันนิ่งสงบดังออกมาจากตำแหน่งที่นั่งผู้มีเกีรยติ คุณชายหนิง ถ้าไม่รังเกียจตาแก่ผู้นี้ ขอเชิญท่านและพวกพ้องมานั่งเป็นเพื่อนคุยกับตาแก่ผู้นี้หน่อยเป็นอย่างไร?”
หนิงเทียนมองไปยังผู้กล่าวออกมันคือหลวนคุณแห่งสมาคมการค้าจ้าวสมุทรนั้นเอง ไม่แปลกอันใดที่งานใหญ่เช่นนี้มันจะมาด้วยตัวเอง เพราะเมื่อมีการประลองย่อมควบคู่มากับการเดิมพันเสมอ
พร้อมๆกันนั้นน้ำเสียงอันใสกระจ่างของหยูหยูและหยูหยินดังออกมาจากด้านหลังของหลวนคุณ“คุณชายหนิง พวกเราไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะเจ้าค่ะ”
หนิงเทียนพยักหน้าตอบรับคำกล่าวของทั้งสอง ไม่มีเหตุผลใดที่ตัวมันจะต้องปฎิเสธความหวังดีเช่นนี้ เมื่อมันตอบรับคำของหลวนคุนมันจึงพาคนติดตามทั้งสามไปนั่งยังที่นั่งของสมาคมการค้าจ้าวสมุทร
ด้วยเส้นทางเดินและปลายทางของพวกหนิงเทียนนั้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนอื่นๆไม่น้อย มีไม่บ่อยครั้งนักที่สมาคมการค้าจ้าวสมุทรจะสุงสิงกับคนอื่นเป็นการส่วนตัวเช่นนี้
หนิงเทียนหยุดและนั่งลงในตำแหน่งด้านข้างของหลวนคุน จากตำแหน่งที่นั่งนั้นแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ถูกเชื้อเชิญเพราะเป็นมารยาทแต่เป็นเพราะความจริงใจของหลวนคุนเองต่างหาก
“เจ้าเด็กตระกูลซือหม่านั้นเป็นใครกันแน่!!??” เสียงซุบซิบเริ่มที่จะดังออกมาจากที่นั่งของกลุ่มต่างๆ
หลวนคุนยิ้มออกให้แก่หนิงเทียนพร้อมกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง “คุณชายหนิงท่านให้เกีรยติสาขาเล็กๆอย่างพวกเราแล้ว”
“ผู้อาวุโสหลวนอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลย ท่านที่เสนอหน้าออกมาเพื่อไม่ให้ข้าต้องถูกหัวเราะเยาะจากผู้อื่นนับว่าได้ช่วยเหลือข้ามากแล้ว” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายยิ่งท่านกล่าวออกด้วยถ้อยคำสุภาพเช่นนี้ มันทำให้ตาแก่คนนี้บังเกิดความหวาดกลัวจริงๆ ตาแก่กลัวว่าวันนี้ชะตากรรมของตระกูลมู่คงจะเลวร้ายกว่านิกายเคลื่อนเมฆามากนัก”หลวนคุนกล่าวออกพร้อมรอยยิ้ม
ได้ยินดังนั้นดวงตาของหนิงเทียนหรี่แคบลง “ไม่มีเรื่องใด สามารถรอดพ้นจากสายตาของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรไปได้เลยหรืออย่างไรกัน?”
“โฮ๊ะๆ คุณชายท่านก็กล่าวเกินไป พวกเราไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดนั้นหรอก ชื่อของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรไหนเลยจะเทียบเท่าได้กับราชันย์พิษที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้” หลวนคุณกล่าวหยอกล้อออกมาอย่างติดตลก
ทันใดนั้นเองเสียงลมหายใจของผู้คนนับหมื่นต่างหยุดลงพร้อมกับสายตาทุกคู่ที่แข็งค้างไปพร้อมกัน พวกมันแทบจะกล่าวออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “นะ...นั้นมันคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ มู่เสวี่ยนี่นา นางมาถึงแล้ว!!!???”
โดยแทบจะทันทีที่มู่เสวี่ยปรากฏตัวความเงียบย่างก้าวเข้ามาปกคุลมไปทั่วทุกหนแห่ง เสียงของลมหายใจนับหมื่นชีวิตที่เคยดังก้องหูบัดนี้มันถูกสะกดให้ดับเสียงลงแม้แต่เสียงของเข็มตกยังไม่มีดังออกมาให้ได้ยิน
ทุกสายตาจับจ้องไปยังที่นั่งตรงกลางอันเป็นของตระกูลผู้จัดงาน พวกมันแหงน มองไปยังสตรีที่ถูกเล่าขานกันว่างดงามที่สุดในสามเมืองกำลังเดินออกมาด้วยชุดคลุมสีครามสว่าง
ใบหน้าอันขาวบริสุทธิ์ มุมปากสีชาด บนศีรษะถูกตกแต่งไปด้วย อัญมณีเลอค่านับสิบๆเม็ด ด้วยการแต่งกายที่สง่างามกอปรกับใบหน้าที่งดงามเหนือสรรพสิ่ง
พวกมันทั้งหลายจ้องมองราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ความรู้สึกพลุกพลานของความเป็นชายเด่นชัดออกมา พวกมันทุกคนกล้าพูดได้เลยว่า คำกล่าวที่บอกว่างดงามที่สุดในสามเมืองไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงไปเลย
แม้แต่หนิงเทียนที่ใกล้ชิดกับตัวของมู่เสวี่ยเองมาตลอดสิบกว่าวัน ยังถูกใบหน้าที่ปะทินโฉมจากเครื่องแป้งสะกดสายตาไม่ให้หันไปมองทางใดราวกับว่านี้คือมนต์สะกดของสตรี
มู่ซวนเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นมันคล้ายกับเป็นตัวประกอบงานเสียมากกว่า มู่หยูและมู่เฉียนไม่ต้องกล่าวถึง พวกนางมองไปยังสายตาคนนับหมื่นด้วยความหงุดหงิด
ที่ด้านหลังของพวกนางนั้นเป็นเหล่าผู้อาวุโสคนสำคัญของตระกูลมู่ที่เดินตามกันมาอย่างพร้อมเพียง
“ไม่แปลกใจที่ตระกูลมู่จะสามารถจัดงานและรวบรวมผู้คนได้มากมายเพียงนี้แม้แต่ตัวหยูหยูที่เป็นสตรีด้วยกันยังอดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปยังคุณหนูใหญ่”หยูหยินกล่าวออกมา
จากนั้นเสียงของผู้คนรอบนอกเขตสนามประลองก็เริ่มดังตัดพ้อออกมา
“เห้อ....สตรีที่งดงามเช่นนี้ควรคู่แก่วีรบุรุษจริงๆ ข้าไม่เสียดายที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมแต่ข้าเสียดายเหตุใดข้าถึงต้อยต่ำไม่แม้แต่จะสามารถเข้าไปดูใกล้ๆได้”
“น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ”
“ใช่!!ตัวข้าช่างน่าสงสารที่ไม่มีแม้แต่โอกาสเข้าไปใกล้”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า ข้าหมายถึงคุณหนูใหญ่ต่างหาก นับจากนี้อีกไม่กี่ชั่วยาม นางฟ้าเช่นนั้นกำลังจะถูกย่ำยีด้วยใครบางคนในที่นี้
ถ้าเป็นผู้เยาว์รูปงามก็นับว่าเป็นกิ่งทองใบหยกแต่ถ้าเป็นตาแก่หัวงูละก็ ข้าไม่อยากจะคิดถึงมันเลยเฮ้อออออ....”เสียงของผู้คนยังคงกล่าวสนทนากันอย่างไม่หยุดย่อน
แววตาของมู่ซวนเฟิงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจมันกวาดไปมองฝูงชนนับหมื่นรวมถึงตัวตนระดับสูงมากมาบด้วยความพอใจ แผนการขั้นแรกมันสำเร็จไปด้วยดี แม้แต่ตัวมันก็คิดไม่ถึงว่าผู้คนจะสนใจเข้าร่วมงานประลองจะมากมายถึงเพียงนี้
“เอาล่ะ ทุกท่านโปรดเงียบก่อน วันนี้พวกเรามีแขกคนสำคัญจากอาณาจักรฟ้าสวรรค์มาร่วมงานด้วย ข้าขออภัยทุกๆท่านด้วย แม้เวลานี้จะเป็นเวลาที่งานประลองควรจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ข้าขอให้พวกท่านกรุณารออีกสักครู่หนึ่ง”
“ผู้นำมู่ ไม่ต้องรอหรอก พวกเรามาถึงแล้ว” เสียงแหลม อันเสียดแทงแก้วหูดังออกมาจากภายนอก แม้ว่าเสียงของมันจะดังฟังชัดแต่ตัวตนของมันกลับไม่สามารถมองเห็นได้
“สามารถได้ยินและพูดคุยได้ไกลถึงขนาดนี้ เสียงมาแต่ตัวไม่อยู่ ตัวไม่อยู่แต่ได้ยินทุกสรรพสิ่ง หรือว่าผู้ที่มาจะเป็น หูทิพย์ ถงจื่อโหยวแห่งนิกายหอกโลหิต”จั่วจิงหนานกล่าวออกด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“หืมม์ ฉายาฟังดูไม่เลวนิแล้วถงจื่อโหยวผู้นี้คือใครกันเหตุใดถึงทำให้เจ้ากังวลได้ขนาดนี้”หนิงเทียนกล่าวถาม
หยูหยินยิ้มออกพร้อมกล่าวขึ้นมา“คุณชายหนิง ถงจื่อโหยวนั้นเป็นผู้อาวุโสในนิกายหอกโลหิต นิกายในระดับอีเทียนโหลว (บันไดสวรรค์ขั้นที่1)และถงจื่อโหยวผู้นี้ยังเป็นอาจารย์ของมู่ผวนบุตรบุญธรรมของมู่ซวนเฟิง
ฉะนั้นแล้วตัวปัญหาที่กำลังมาเห็นทีจะเป็นมู่ผวนเสียมากกว่า”
“อี...อีเทียนโหลว” จินเหล่าต้าทวนคำพูดอย่าตกตะลึง ไม่น่าแปลกใจอะไร ถึงจินเหล่าต้าจะกล้าหาญเทียมฟ้ามากเพียงใดแต่ตัวตนระดับอีเทียนโหลวนั้นยังไกลเกินขอบเขตของพวกมันไปมาก
“ตัวข้านั้นสงสัยมานานแล้ว เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องเกรงกลัวพวกนิกายอีเทียนโหลวหรือเอ้อเทียนโหลวอะไรนั้นด้วย
เห็นได้ชัดว่าพวกมันนั้นเป็นแค่ระดับบันไดสวรรค์ขั้นที่1และ2 เมื่ออยู่ในจุดเริ่มต้นก็แสดงว่ามันเป็นฐานของวัฎจักรในห่วงโซ่อาหาร ตัวตนของพวกมันในอาณาจักรฟ้าสวรรค์ก็ต้องต่ำต่อยติดดินไม่ใช่หรือไง??”