ตอนที่แล้วบทที่ 128 ภาพตะวันแปดดารา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 130 พวกเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันต่อ

บทที่ 129 รับเพียงกระบี่เดียว


กำลังโหลดไฟล์

หลังจากที่ปาฎิหาริย์บังเกิดขึ้นบนท้องฟ้า มันกินเวลาอยู่ราวๆ100ลมหายใจก่อนจะคืนสภาพท้องฟ้าที่สาดแสงของตะวันดั่งเช่นปกติกลับคืนมา

ฟู่วว.... เสียงของน้ำเดือดบังเกิดขึ้นเป็นจังหวะๆ พลังงานอันแข็งแกร่งถ่ายเทออกมาเป็นระลอก ลมปราณที่เคยถูกดวงตะวันดูดเข้าไปในภายในบัดนี้มันได้ปลดปล่อยออกมาจากร่างและปกคลุมอากาศไปทั่วห้องโอสถ

โอสถบางชนิดที่มีความเป็นหยินมันถูกทำให้เสียคุณภาพด้วยพลังงานที่หนิงเทียนปล่อยออกมา ตรงกันข้ามวัตถุดิบที่มีความเป็นหยางมันตอบรับพลังปราณและเริ่มเปลี่ยนแปลงความบริสุทธิ์

ล่วงเวลาผ่านไปราชาภูตจับจ้องหนิงเทียนด้วยสายตาแห่งความหวังพร้อมกับเปล่งเสียงออกภายใน“เฒ่าซาน ราชาผู้นี้เหมือนจะเห็นแสงสว่างจางๆที่ปลายอุโมงค์ของพวกเราแล้ว

มนุษย์ผู้นี้อาจจะสามารถสานต่อเจตนารมณ์ที่ท่านหวงตี้ทำมันไม่สำเร็จก็ได้”

“เฒ่าอู๋อย่าพึ่งฝันกลางวันไปหน่อยเลย นี้มันยังพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น ตัวเจ้าอาจจะยังไม่รู้แต่ในช่วงเวลาที่เจ้าหลับไหลอยู่นั้น ตัวข้าได้เฝ้ามองดูการกระทำของเขาอยู่ทุกฝีก้าว

ถ้าเขาไม่นำพาตัวเองไปสู่ความตายเสียก่อนเช่นนั้นพวกเราก็ยังพอมีความหวัง” น้ำเสียงของกิเลนสวรรค์ดังออกมา

ได้ยินเช่นนั้นคิ้วที่ประดับอยู่บนใบหน้าอันเรียวเล็กย่นเข้าหากันทันที “เฒ่าซาน เจ้าหมายความว่าอะไร!!??”

“หึ!! เรื่องที่เกิดในหุบเขาหมื่นอสูรยังคงค้างคาใจเขาอยู่ ข้าเกรงว่าเมื่อพลังเขากลับคืนมาโดยสมบูรณ์ สิ่งแรกที่เขาจะทำคือการกลับไปแก้แค้นอสรพิษฟ้าครามทันที” ซานซันกล่าวออกด้วยเสียงอ่อน

ได้ยินเช่นนั้น ราชาภูตคำรามออกมาอย่างเดือดดาล“บัดซบ!!! เผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนไร้สมองสิ้นดี”

“เจ้ากำลังว่าใครอยู่กัน??” น้ำเสียงของหนิงเทียนดังออกมาในขณะที่ตาทั้งสองข้างยังคงปิดอยู่

เมื่อเห็นหนิงเทียนเข้าร่วมการสนทนา ราชาภูตรีบกล่าวถามอย่างเร่งร้อน“คุณชายท่านต้องการแก้แค้นนังงูตัวเมียนั้นจริงๆ?”

“ข้าได้สาบานไว้แล้ว จะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับมันอีก ถ้ามันไม่ตายข้าก็มวย”น้ำเสียงของหนิงเทียนเมื่อกล่าวถึงเรื่องในหุบเขาหมื่นอสูรมันฟังดูชวนหัวลุกอยู่ไม่น้อย

ได้ยินดังนั้น ราชาภูตได้แต่ระบายลมหายใจออก“เห้อ....เอาเถอะถ้านั้นเป็นความต้องการของคุณชาย พวกเราทั้งสองจะคอยสนับสนุนเองท่านเอง

แต่ว่าราชาผู้นี้ขอท่านสักเรื่องได้หรือไม่? คุณชายตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถตัดเข้าสู่ดินแดนทรราชได้ ท่านอย่าได้คิดถึงเรื่องที่กลับไปเหยียบหุบเขาหมื่นอสูรเด็ดขาด”

“พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ถึงข้าจะมีความแค้นแต่ข้าก็ไม่ยอมให้มันมาบังตาจนทำเรื่องโง่ๆอย่างที่พวกเจ้าเป็นห่วงกันอยู่แน่ ข้าจะกลับไปที่นั้นเมื่อข้ามีความมั่นใจเต็ม10ส่วน” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยเสียงราบเรียบ

“เมื่อนายท่านคิดได้เช่นนั้น ข้าเองก็สบายใจ ตัวของท่านนั้นเป็นความหวังเดียวของพวกเรา โปรดอย่าได้นำตัวเองเข้าไปสู่สถานการณ์เสี่ยงตายอีกเลย” ซานซันกล่าวออกด้วยความเป็นห่วง

ราชาภูตพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นมันสะบัดมือส่งขวดแก้วขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยให้แก่หนิงเทียน“คุณชายนั้นคือน้ำตาภูต มันจะช่วยปรับสมดุลลมปราณในตัวท่านให้กลับมาเป็นปกติได้รวดเร็วขึ้น”

เมื่อส่งหยดน้ำตาภูตให้แก่หนิงเทียนแล้วราชาภูตได้หายร่างกลับคืนสู่มิติของมันเช่นเดิม

หนิงเทียนที่กำลังจะกล่าวรั้งและถามออกถึงความสงสัยในเรื่องโล่ปราการสวรรค์ของบิดาสาม แต่มันก็ต้องกลืนคำพูดลงไปเพราะเห็นว่าในเวลานี้สิ่งที่สำคัญกับตัวมันคือการควบคุมพลังปราณอันมหาศาลที่กำลังไหลวนอยู่ภายในทะเลลมปราณ

ล่วงเวลาผ่านไปราวๆ8ชั่วยาว ด้วยน้ำตาภูตของอู๋ชางมันช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างของหนิงเทียนปรับตัวและกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง พร้อมกันนั้นหนิงเทียนเปิดตาขึ้น และเร่งพลังปราณเพื่อคายเมล็ดธาตุกลืนลมปราณออกมา

บัดนี้พลังปราณในดินแดนปราชญ์แผ่กระจายอยู่รอบๆตัวของหนิงเทียน

“ขั้น8 ไม่สิขั้น9 มันเป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ ตะวันแต่ละดวงที่คอยกลืนกินพลังปราณของข้าเปรียบเสมือนขั้นบันไดในการขึ้นสู่ดินแดนแห่งวีรชน ม้วนภาพเทพยุทธ์ช่างเป็นทักษะบ่มเพาะที่น่าอัศจรรย์จริงๆ”

นับจากวันที่มันต้องสูญเสียการใช้ออกด้วยลมปราณมานั้นรวมแล้วเป็นเวลาราวๆสองเดือน แค่เพียงสองเดือนท่านั้น จากเดิมที่มันเคยอยู่ในแดนปราชญ์ขั้นแรกกลับเลื่อนขึ้นมาอยู่ในแดนปราชญ์ขั้น9

และด้วยจุดชีพจรที่เปิดครบทั้งห้าสิบสี่จุดกอปรกับความสามารถในการสรรสร้างโอสถทำให้ตัวของมันไร้ซึ่งปัญหาคอขวดสำหรับการทะลวงเข้าสู่ดินแดนวีรชน ซึ่งการจะเข้าสู่แดนวีรชนเมื่อไรเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

การใช้เวลาสองเดือนในการตัดจากดินแดนแห่งปราชญ์เข้าสู่ดินแดนวีรชน ความเร็วเช่นนี้มันน่าเหลือเชื่อจนเกินความจริงไปแล้ว

หลังจากนั้นหนิงเทียนสำรวจแล้วว่ามันยังพอมีเวลาเหลืออีกเกือบหนึ่งวันและการที่จะกลับไปยังเมืองฉางผิงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ประโยชน์อันใด มันจึงเลือกที่จะนำทักษะบ่มเพาะเคลื่อนเมฆาออกมา

ไม่สิต้องเรียกว่าบทแรกของทักษะอัสนีเก้าชั้นฟ้าถึงจะถูกต้อง มันค่อยๆเปิดอ่านและเริ่มฝึกทีละหน้า ทีละหน้าจนเวลาในวันที่สองล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

....

........

“กร๊อก ก๊อก...กร๊อกๆ อาจารย์ข้าสามารถเข้าไปได้หรือไม่?”เสียงเคาะประตูดังออกมาดึงให้หนิงเทียนตื่นขึ้นจากสมาธิ มันเปิดตาพร้อมกล่าวออก “เข้ามาได้”

เมื่อได้รับอนุญาตจากหนิงเทียนแล้ว มู่เสวี่ยได้ดันประตูเข้ามาภายในแต่ก่อนที่นางจะได้เปิดปากกล่าวคำใดออกไป ดวงตาของนางต้องเบิกกว้างใหญ่โตจนเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้าตาเลยทีเดียว

เพราะภาพที่ทำให้นางต้องแสดงอาการเช่นนี้คือการที่ห้องโอสถอันเคยสวยงามและถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบกลับถูกทำลายจนยับเยินด้วยร่องรอยของสายฟ้า ที่บนกำแพงและพื้นปรากฏ หลุม บ่อและรอยเผาไหม้นับสิบจุด

“เจ้ามีอะไร?”หนิงเทียนกล่าวถามด้วยเสียงเรียบ

ด้วยเสียงของหนิงเทียนที่ดังเข้ากระทบสองหูของนาง มู่เสวี่ยจึงค่อยๆควบคุมความตกตะลึงและพยามกล่าวออกอย่างเป็นปกติว่า

“งานประลองเลือกคู่ของข้าจะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ อาจารย์ข้ากลัวว่าถ้าพวกเราไม่กลับไปเสียตอนนี้ มันจะทำให้มู่ซวนเฟิงเกิดโมโหและคิดทำอันตรายกับตัวประกัน”

“อืม.... ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ” สิ้นเสียงหนิงเทียนสะบัดแขนเสื้อปรากฎขวดแก้วที่ภายในมีปลวกสิ้นนิรันดร์กำลังบินวนอยู่ จากนั้นหนิงเทียนกล่าวออกแก่มู่เสวี่ย

“เมื่อกลับไปแล้ว ข้าคงต้องขอตัวลา ข้ามีสิ่งที่ต้องกลับไปจัดการ แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ในวันพรุ่งนี้จะมีคนไปช่วยเหลือเจ้าที่งานประลองอย่างแน่นอน และจงจำเอาไว้เรื่องประวัติของมู่ซวนเฟิงอย่าได้เปิดปากออกไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นตัวเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย”

“อาจารย์ท่านจะไปแล้ว”มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยเสียงแผ่วเบา ภายในใจบังเกิดความโศรกขึ้นมาทันที

“สิ่งที่ข้าถูกไหว้วานมาใกล้จะบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว การที่จะอยู่ตระกูลมู่ต่อไปนั้นก็เห็นว่าไม่มีประโยชน์ใดขึ้นมาและข้าตัดสินใจไปแล้วเจ้าอย่าได้พูดอะไรอีกเลย” เมื่อกล่าวจบหนิงเทียนได้สั่งการให้มู่เสวี่ยไปตามตัวอวิ้นป๋ามาพบมัน

“อาจารย์ ท่านรอข้าที่นี้สักครู่ ข้าจะไปตามประมุขอวิ้นและกล่าวลาท่านลุงเกาสักครู่”มู่เสวี่ยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มพร้อมเดินจากไป แม้นั้นจะเป็นรอยยิ้มแต่หนิงเทียนรับรู้ได้ว่ามันเป็นเพียงการฝืนแสดงเท่านั้น

เวลาผ่านไปครู่หนึ่งมู่เสวี่ยได้กลับมาพร้อมกับอวิ้นป๋า เมื่ออวิ้นป๋าพบกับหนิงเทียน มันรีบยืนแหวนมิติให้ทันที “คุณชายนี้คือแหวนมิติที่ท่านสั่งให้ข้าไปนำมาจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทร”

หนิงเทียนรับมันมาโดยทันที ภายในแหวนมิตินี้มันคือหยกนิลจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนที่หนิงเทียนได้สั่งให้ผู้จัดการสาขาเมืองจี้หลินเหว่ยฝูนำมันออกมาจากป้ายเหล็กนิลกาล

“สำหรับโอสถถอนพิษอัคคีเดินดินของพวกเจ้าทั้งสาม ข้าจะมอบมันให้แก่อวี้กุ้ยเมื่อเสร็จสิ้นงานที่เมืองฉางผิง”

เมื่อมู่เสวี่ยกล่าวคำลาพวกของอวิ้นป๋าเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ได้ใช้ปลวกสิ้นนิรันดร์ในการเดินทาง

แค่เพียงไม่นานความวิเศษของอสูรโบราณธาตุมิติได้ส่งร่างของพวกมันมาปรากฎอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งในเมืองฉางผิงอย่างน่าอัศจรรย์โดยใช้เวลาไม่ถึง10ลมหายใจ

เมื่อพวกมันมาถึงที่หมายแล้ว มู่เสวี่ยจ้องมองไปยังปลวกสิ้นนิรันดร์ทั้งสี่ตัวที่กำลังกลายเป็นก้อนหินด้วยแววตาเศร้าโศก

“ได้พบแล้วเป็นอย่างไร สุดท้ายก็ต้องแยกจากกันชั่วนิรันดร์ ช่างเป็นความสุขที่วางอยู่บนความทุกข์เสียจริง”เสียงของหนิงเทียยนดังออกมาปลุกมู่เสวี่ยที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ก่อนที่หนิงเทียนจะโบกมือและกล่าวคำลาพร้อมเดินจากไป

เมื่อเห็นหนิงเทียนกำลังจากไปนั้นมู่เสวี่ยได้เปิดปากออมา “อาจารย์ก่อนจะไปข้ามีเรื่องที่อยากจะถามท่านสักข้อหนึ่งได้หรือไม่?”

“เจ้ามีอะไรจงพูดมาอย่าได้อ้อมค้อม” หนิงเทียนหยุดยืนพร้อมหันไปกล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องในครั้งนั้น ข้าอยากรู้ว่าท่านอาจารย์ต้องการสังหารเด็กสาวคนนั้นจริงๆหรือ” มู่เสวี่ยกล่าวถามเรื่องราวที่ค้างคาใจตัวเองมาตลอดสองวันที่ผ่านมา

“ข้าได้ลั่นวาจาไปแล้ว ว่าทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับคำตอบที่ข้าได้ยิน เจ้าคงไม่ใช่จะกล่าวถามข้าแค่เรื่องนี้สินะ ภายในใจเจ้ากำลังกล่าวถามข้าอยู่ว่าเหตุใดถึงสั่งฆ่ามารดาของหรงหยางที่ไร้ซึ่งความผิด”

“ปะ..เปล่าน่ะอาจารย์ท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อข้า ท่านทำอะไรยอมมีสาเหตุของตัวเองแน่นอน ข้าเพียง เพียง…เพียงแค่ไม่เข้าใจเท่านั้น”

“เรื่องที่เสียใจที่สุดของมารดาคือการเห็นบุตรของตัวเองต้องตายไปก่อน นี้คือความเมตตาเดียวที่ข้าจะมอบให้แก่นางได้” เมื่อสิ้นเสียงประโยค ร่างของหนิงเทียนกลายเป็นหมอกดำหายไปจากสายตาของมู่เสวี่ยราวกับภูตผี

แม้แต่ตัวของหนิงเทียนเองยังอดที่จะตกใจไม่ได้ เก้าวิญญาณท่องนภาที่ถูกเสริมส่งด้วยลมปราณในแดนปราชญ์ มันรวดเร็วกว่าทุกครั้งที่หนิงเทียนเคยใช้ออก

“ด้วยความเร็วระดับนี้ แม้แต่ผู้ที่อยู่ในแดนวีรชนขั้นปลายก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเห็นแผ่นหลังของข้า” คิดได้เช่นนั้นรอยยิ้มจางๆจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า

...

......

ภายในบริเวณคฤหาสน์ซือหม่า หนิงเทียนหยุดยืนอยู่ต้นทางข้ามสะพาน*ซาจี่(คนโง่)

มันมองไปยังรอบๆด้วยสายตาที่หรี่เล็กลง คิ้วของมันเริ่มที่จะขมวดเข้าหากันเพราะภาพที่มันได้เห็นนั้นคือร่องรอยของการต่อสู้และมันยังไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดาอีกด้วย

มันเป็นการต่อสู้เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นภายในนิกายท่องนภา มันคือการต่อสู้ของกลุ่มคนที่ใกล้จะทะลวงเข้าสู่ดินแดนทรราช

เมื่อเท้าของหนิงเทียนก้าวเหยียบสะพานซาจี่ ทันใดนั้นเอง เสียงอันเกรี้ยวกราดดังขึ้นมา “เหอตงหลิว เจ้าต้องการที่จะสู้กับข้าอีกรอบหรือไง?” สิ้นเสียงนั้นร่างอันอัปลักษณ์ของตี้หูปรากฎขึ้นต่อหน้าของหนิงเทียน

เมื่อตี้หูเห็นว่าผู้มาเยือนไม่ใช่ เหอตงหลิวคนที่มันกล่าวแต่เป็นเจ้านายของมันเอง มันรีบก้มหัว พร้อมกล่าวออก “นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว ขออภัยข้าน้อยเข้าใจผิดคิดว่ามีคนมาก่อกวน”

“คนมาก่อกวน!! เหอตงหลิวที่เจ้ากล่าวถึงคือใครกัน?” หนิงเทียนกล่าวถามออก

“เหอตงหลิวนะหรอ มันก็แค่ตาแก่แบกดาบผู้หนึ่งเท่านั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน จู่มันได้พาคนมาที่หน้าสะพานซาจี่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายว่าจะแก้แค้นที่คุณหนูเสี่ยวซวงไปตัดแขนบุตรชายของมันและพยามที่จะข้ามสะพานนี้ไปให้ได้ จึงได้ปะทะกันกับข้าเล็กน้อย”

หนิงเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา“หืมม์ ถ้าเช่นนั้นตาแก่แบกดาบที่เจ้าว่าก็คือเจ้าสำนักดาบภูผาสินะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะตั้งใจทำหน้าที่เป็นอย่างดีทีเดียว”

ด้วยคำตอบของตี้หู ทำให้หนิงเทียนปะติปะต่อเรื่องราวได้ในทันทีว่าร่องรอยการต่อสู้ที่มันได้เห็นนี้เกิดขึ้นด้วยฝีมือของใคร และเหอตงหลิวนั้นคือผู้ใดกัน

“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นนายท่าน” จากนั้นเมื่อตี้หูจับจ้องไปยังหนิงเทียนอย่างชัดเจน มันถึงกับต้องหรี่ตาลงพร้อมมองไปด้วยแววตาสงสัย มันกล่าวออกมาด้วยนิสัยโพงพาง

“เอ๋!! ดูเหมือนนายท่านเปลี่ยนไปเล็กน้อยน่ะ พลังปราณที่แผ่ออกมารอบๆตัวท่านนี่มัน!!” กล่าวถึงตรงนี้มันหยุดคำพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาประสานกัน "ยินดีด้วยดูเหมือนนายท่านจะเข้าสู่ดินแดนนักรบขั้นที่9แล้ว”

ในตอนที่มันได้พบกันครั้งแรกนั้นหนิงเทียนเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่แม้จะลึกลับและแข็งแกร่งแต่มันก็เป็นเพียงผู้พิการทางลมปราณเท่านั้น

แต่เวลาเพียงแค่สิบกว่าวันเท่านั้นเหตุใด เขาถึงได้ขึ้นมาอยู่ในดินแดนนักรบขั้นที่9ได้ สิ่งนี้สร้างความแปลกใจและสงสัยให้แก่ตี้หูไม่น้อยเลย

ได้ยินคำกล่าวของตี้หู หนิงเทียนได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ ‘เป็นเพราะความวิเศษของเมล็ดธาตุกลืนลมปราณของบิดาสี่จึงทำให้ตี้หูสัมผัสพลังของข้าได้เพียงแค่ดินแดนนักรบเท่านั้น

ข้าอยากรู้จริงๆว่าของวิเศษชิ้นนี้มันสามารถหลอกลวงตัวตนระดับราชันได้หรือไม่? คำตอบของคำถามนี้คงจะมีเพียงแต่การเข้าไปภายในอาณาจักรฟ้าสวรรค์เท่านั้นถึงจะล่วงรู้มันได้’

เมื่อคิดออกเช่นนั้นหนิงเทียนสะบัดมือออกมา มันปรากฏกล่องโอสถสี่เหลียมในมือ “ตี้หูในมือของข้าคือโอสถระดับปฐพี โอสถวิญญาณทรราช”

โอสถวิญญาณทรราชนั้นเป็นโอสถที่ใช้ในการทะลวงคอขวดจากดินแดนแห่งวีรชนเข้าสู่ดินแดนแห่งทรราชที่ทุกคนในพื้นที่รอบนอกฝันถึง

โดยโอสถวิญญาณทรราชนั้นหนิงเทียนได้ใช้วัตถุดิบมากกว่าสิบชนิดของนิกายเคลื่อนเมฆาเพื่อทีจะปรุงมันออกมาและวัตถุดิบทั้งหมดของนิกายเคลื่อนเมฆาก็ปรุงมันออกมาได้เพียงสองเม็ดเท่านั้น

เมื่อตี้หูได้ยินถึงคำเรียกโอสถวิญญาณทรราช ภายในใจบังเกิดความรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก จากนั้นความตกตะลึงนั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นอย่างบ้างคลั่ง ดวงตาของมันจับจ้องไปยังกล่องโอสถในมือของหนิงเทียนด้วยแววตาปรารถนา

ในดินแดนรอบนอกนั้นมีเพียงจ้าวโอสถปฐพีเพียงคนเดียวคือซีหมิ่นและตัวของซีหมิ่นเองก็ยังไม่ได้มีความสามารถถึงขั้นจะปรุงมันออกมาได้

ด้วยเหตุนี้เองในพื้นที่รอบนอกโอสถวิญญาณทรราชจึงเป็นโอสถที่มีเพียงชื่อแต่ไร้โอกาสที่จะได้เห็น บัดนี้มันกลับมาปรากฎอยู่ในมือของหนิงเทียนแล้ว

จากนั้นหนิงเทียนวาดมือเรียกกระบี่พิรุณโปรยออกมากระชับในมือพร้อมกล่าวออก “ตี้หูเห็นแก่ที่เจ้าตั้งใจทำหน้าที่ ข้าจะให้โอกาสเจ้า ถ้าเจ้าสามารถรับกระบี่ของข้าได้เพียงกระบี่เดียว เจ้าก็คู่ควรที่จะเป็นเจ้าของโอสถเม็ดนี้”….

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด