บทที่ 128 ภาพตะวันแปดดารา
“เรื่องราวครั้งนั้นมันเกิดขึ้นในวันที่ฝน ตัวข้าได้รู้ความลับเรื่องมู่ซวนเฟิงบุตรชายที่พลัดพรากจากปากของพี่เจาจื่อและก็ได้รับคำไหว้วานให้ช่วยเหลือเขาที่มีศักดิ์เป็นหลานชายแท้ๆของตัวข้าเอง
ข้าจึงคิดวิธีทำให้เขาขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูลมู่ แต่ในเวลานั้นตระกูลมู่มีผู้นำตระกูลอยู่ก่อนแล้วซึ่งมันก็คือมู่หยุนเจี่ย
และถ้าจะทำให้มู่ซวนเฟิงก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งประมุขได้เห็นจะมีเพียงทางเดียวคือการมอบความตายให้แก่มู่หยุนเจี่ยเท่านั้น เมื่อแผนการถูกวางไว้เสร็จสรรพ ข้าก็เริ่มที่จะลงมือ
โดยที่ข้าได้ติดต่อจ้างยอดฝีมือจากหลายๆสำนักให้ปลอมตัวเข้าร่วมกับตระกูลใต้อาณัติของพวกมัน จากนั้นก็ปลุกปั่น ยุแหย่ทั้งภายนอกภายในประสานให้พวกมันนับสิบกว่าตระกูลลุกฮือขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมทั้งยัดเหยียดความกล้าและความคิดที่จะก่อกบฎให้พวกมัน
จากนั้นข้าก็ได้สืบรู้ว่ามู่หยุนเจี่ยเป็นผู้ที่นับถือน้ำใจเป็นที่ตั้ง ข้าจึงได้ออกอุบายใช้ความมีน้ำใจต่อพี่น้องสร้างกับดักล่อมันขึ้นมาโดยการปล่อยข่าวลวงให้มันมาติดกับที่แม่น้ำฉางยี่
จากนั้นตัวข้าและเหล่ายอดฝีมือที่ได้ว่าจ้างมาก็แสดงตัวขึ้น พร้อมร่วมมือกันสังหารมู่หยุนเจี่ยโดยใช้ทักษะวิชาของหลายๆสำนักในการสังหารเพื่อจะกลบเกลื่อนร่องรอยที่แท้จริงและสุดท้ายข้าก็ได้ทิ้งศพมันไว้ที่ริมแม่น้ำฉางยี่”
หรงหยางเล่าเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนออกมาอย่างไม่ขาดตกในใจความสำคัญไปเลยแม้แต่น้อย
หยาดน้ำตาสีใสค่อยๆไหลออกจากดวงตาทั้งสองของมู่เสวี่ย นางนั้นรับฟังทุกคำกล่าวของหรงหยางอย่างตั้งใจโดยไม่มีข้อความใดขาดตกไปเลย เวลานี้ตัวนางได้รับรู้ถึงสาเหตุและฆาตกรที่สังหารบิดาของนางแล้ว
ดวงตาที่เคยมีประกายของมู่เสวี่ยค่อยๆดำมืดลงภายในใจส่งเสียงร่ำร้องออกมา ก่อนจะเปิดปากและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น
“ท่านพ่อ วันนี้ลูกได้รับรู้ความจริงทุกอย่างและตัวการสำคัญที่ทำให้ท่านต้องจบชีวิต บัดนี้มันอยู่ต่อหน้าลูกแล้ว แต่ท่านพ่อลูกควรทำสิ่งใดต่อไปดี เหตุใดภายในใจของลูกถึงว่างเปล่าเช่นนี้” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ล่วงสู่พื้น
การแสดงออกของมู่เสวี่ยนั้นสร้างความหดหู่ใจให้แก่หนิงเทียนอยู่ไม่น้อย เวลานี้ตัวมันทำได้เพียงแค่เพียงยกมือไปแตะที่ไหลของนางพร้อมกล่าวออกด้วยเสียงอ่อนโยน
“บางครั้ง ความจริงมันก็โหดร้าย เรื่องในครั้งนี้มันจะเป็นบทเรียนให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น รีบเช็ดน้ำตาเสียเถอะ เจ้ายังมีหน้าที่ต้องทวงตระกูลมู่ของบิดาเจ้ากลับคืนมาจากคนนอก”
เมื่อกล่าวกับมู่เสวี่ยจบน้ำเสียงของหนิงเทียนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในทันทีมันกวาดตามองไปยังคนอื่นๆของตระกูลหรง จากนั้นสายตาของมันมาหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างของหรงหยางพร้อมกล่าวออกมา
“ครั้งนี้ข้าจะยอมให้บุญคุณความแค้นจบลงด้วยเลือดของตัวเจ้าเพียงคนเดียว”
ด้วยคำกล่าวเช่นนี้มันผิดกับนิสัยเดิมของหนิงเทียนเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นในช่วงชีวิตก่อนของมัน หนิงเทียนจะไม่ยอมให้ต้นอ่อนพวกนี้ได้เติบโตขึ้นด้วยความแค้นต่อตัวมันเด็ดขาด
ใช่แล้วมันจะต้องถูกถอนรากถอนโค่นออกให้สิ้นแต่ครั้งนี้มันอาจจะเป็นเพราะความหดหู่อย่างสุดแสนที่เกิดขึ้นภายในใจของมู่เสวี่ยก็เป็นได้ที่ทำให้หนิงเทียนยอมละเว้นเด็กและคนชราเหล่านี้
จากนั้นหนิงเทียนออกคำสั่งแก่อวี้กุ้ย “จงส่งวิญญาณมันไปขอโทษอดีตผู้นำตระกูลมู่ที่ปรภพ” สิ้นคำสั่งของหนิงเทียน
อวี้กุ้ยซัดฝ่ามือของมันลงไปที่กลางกระหม่อมของหรงหยางอย่างรุนแรง โลหิตกองใหญ่ไหลทะลักออกจากปากพร้อมกับแสงแห่งชีวิตในดวงตาที่ดับมืดลง
เมื่อสิ้นเรื่องของหรงหยางแล้วหนิงเทียนปลายตาไปทางอวิ้นป๋าและกล่าวออกมาอย่างใจเย็น“ประมุขอวิ้นข้าต้องการทำการค้ากับนิกายเคลื่อนเมฆาของท่าน”
ได้ยินเช่นนั้นอวิ้นป๋ากล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ “คุณชายท่านมีสิ่งใดโปรดบอกพวกเราได้เลย”
หนิงเทียนพยักหน้าตอบรับพร้อมกล่าวออก“ข้อแรกข้าจะรักษาโรคร้ายที่นิกายของเจ้ากำลังเป็นกันอยู่
โดยข้อแลกเปลี่ยนของมันก็คือพวกเจ้าจะต้องนำตัวของหรงเจาจื่อไปมอบให้ข้าในงานประลองเลือกคู่ของตระกูลมู่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า จำไว้ห้ามช้าหรือเร็วไปแม้แต่วันเดียว”
“สามวัน จากที่นี่ไปเมืองฉางผิงจะต้องเดินทางราวๆ10วัน มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันคุณชาย” อวิ้นป๋ากล่าวออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“เรื่องนั้นข้าไม่สนใจ จงตอบมาแค่ว่าเจ้าจะยอมรับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้หรือไม่เท่านั้น”
อวี้กุ้ยได้ยินดังนั้นมันรีบกล่าวออกมา“ท่านประมุข เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของตัวข้าเอง แม้ระยะทางมันจะไกล แต่ถ้าข้าเดินทางสามวันสามคืนไม่หยุดพัก ข้ามีความมั่นใจที่จะไปถึงเมืองฉางผิงก่อนที่งานประลองของตระกูลมู่จะเริ่มขึ้นได้”
อวิ้นป๋าพยักหน้าให้แก่อวี้กุ้ยพร้อมกล่าวออกแก่หนิงเทียนว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ตกลง คุณชายพวกเรายอมรับข้อเสนอของท่าน”
หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อไปอย่างเรียบเฉย“ข้อที่สอง ข้าต้องการพักอยู่ที่นี่สองวันและยังต้องการใช้ทรัพยากรภายในห้องโอสถของนิกายท่านเพื่อปรุงโอสถที่สำคัญกับตัวข้าออกมา
โดยสิ่งที่ข้าจะแลกเปลี่ยนกับมันก็คือการถอนพิษอัคคีเดินดินให้พวกท่านทั้งสามคน”
แม้นี้จะเป็นคำขอที่เหมือนจะมากเกินไปแต่มีคำกล่าวหนึ่งได้กล่าวไว้ว่าทรัพย์สินเงินทองไม่ตายก็หาใหม่ได้ ด้วยคำกล่าวเช่นนั้น อวิ้นป๋าจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล
หนิงเทียนพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะปลายตามองไปยังหยุนเกาที่ไร้สติจะมีเพียงแต่ลมหายใจเบาๆที่บ่งบอกว่ามันยังไม่ตายเท่านั้นพร้อมกล่าวออกมา
“ข้อสุดท้ายข้าจะช่วยชีวิตมันจากพิษร้าย โดยข้าต้องการแลกกับทักษะบ่มเพาะของนิกายท่าน”
“ทักษะบ่มเพาะของนิกายเรา” อวิ้นป๋าทวนความต้องการของหนิงเทียนอย่างตกตะลึงจากนั้นมันหันไปมองร่างที่กำลังหายใจอย่างแผ่วเบา
เวลานี้สิ่งที่สำคัญกับนิกายมากที่สุดไม่ใช่ทักษะบ่มเพาะหรือทรัพยากร แต่เป็นตัวของบุคคลมากกว่า
การที่ต้องสูญเสียผู้อาวุโสในแดนวีรชนขั้นปลายไปถึงห้าคนภายในค่ำคืนเดียวนับว่าเป็นหายนะที่สามารถนำความพินาศมาสู่นิกายของมันได้เลย
เมื่อคิดได้ดังนั้นอวิ้นป๋าปิดตาลงพร้อมกล่าวตอบ “ตกลงคุณชาย ขอแค่ท่านช่วยท่านลุงเกาได้ ทักษะของพวกเรานั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ”
สิ้นเสียงของอวิ้นป๋าหนิงเทียนใช้สองนิ้วดีดโอสถชำระล้าง อันเป็นโอสถสวรรค์ที่ได้มาจากห้องโอสถของบิดารองให้แก่หยุนเกาอย่างไม่สนใจ
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ดูเหมือนว่านิกายเคลื่อนเมฆาจะสูญเสียก็จริง แต่ถ้าพวกมันได้รู้ว่าโอสถที่หนิงเทียนมอบให้นั้นถูกสร้างขึ้นด้วยมือของ ราชันย์หมื่นพิษ จักรพรรดิที่13แล้วละก็มันจะต้องนำโอสถนั้นมากราบไว้บูชา ทุกเช้าเย็นอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อหนิงเทียนทำการแลกเปลี่ยนกับนิกายเคลื่อนเมฆาเรียร้อยแล้ว มันหันไปกล่าวออกแก่มู่เสวี่ย “ภายในสองวันนี้ข้ามีเรื่องบางเรื่องต้องจัดการ เจ้าสามารถเที่ยวชมรอบๆนิกายเพื่อคลายความรู้สึกในใจได้
ประมุขอวิ้นหน้าที่พาศิษย์ของข้าเที่ยวชมรอบๆท่านคงจะไม่ขัดข้องใช่หรือไม่?” มันกล่าวออกโดยไม่แม้แต่จะมองไปยังใบหน้าของอวิ้นป๋าด้วยซ้ำ
“แน่นอนท่านเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราและในช่วงเวลาเป็นตาย ศิษย์ของท่านก็ได้เสี่ยงชีวิตนำโอสถมาช่วยถอนพิษให้แก่พวกเรา การที่จะดูแลรับรองเขาด้วยตัวข้าเองก็เห็นเป็นเรื่องสมควรแล้ว”
พร้อมกันนั้นอวิ้นป๋าหันไปสั่งออกแก่อวี้กุ้ย “ผู้อาวุโสที่สอง ท่านนำตัวท่านลุงหยุนไปพักผ่อนในห้องก่อน จากนั้นขอให้ท่านออกเดินทางไปยังเมืองฉางผิงโดยทันที”
“อวี้กุ้ยรับคำสั่ง” มันโค้งศีรษะลงพร้อมอุ้มร่างของหยุนเกาขึ้นบ่า และใช้อีกมือดึงลากร่างของหรงเจาจื่อไปจากห้อง
....
ในที่สุดค่ำคืนที่แสนวุ่นวายก็ได้ผ่านไป หนิงเทียนที่ได้ซุกตัวอยู่ในห้องโอสถของนิกายเคลื่อนเมฆากำลังมีสมาธิอยู่กับการดูดซับโอสถต่างๆที่มันปรุงขึ้นมา
รอบๆตัวมันเวลานี้เต็มไปด้วยเศษซากของทรัพยากร แก่นอสูรที่ถูกดูดซับไปหมดสิ้น และหินลมปราณระดับสูงที่ถูกใช้แล้วมากมายวางเกลือนกลาดนับร้อยๆชิ้น ใช่แล้วทั้งหมดนี้มันเป็นทรัพยากรของนิกายเคลื่อนเมฆาที่ใช้เวลาสะสมมานับร้อยๆปี
ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องโอสถแห่งนี้ตอบสนองต่อความต้องการของหนิงเทียนได้เป็นอย่างดี แม้ว่าภายในแหวนมิติหยกของมันนั้น จะประกอบไปด้วยของวิเศษและโอสถสวรรค์มากมาย
แต่สิ่งเหล่านั้นหาได้เหมาะสมกับระดับพลังของหนิงเทียนในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
โอสถสวรรค์ที่มีความสามารถในการเพิ่มพูนลมปราณนั้นเป็นสิ่งของต้องห้ามที่มีแต่ชนชั้นราชันย์ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีความสามารถในการดูดซับพลังงานของมันมาใช้ได้
ด้วยเหตุนี้เองแม้มันจะเป็นของวิเศษเพียงใดมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับหนิงเทียนเลย แต่ในทางกลับกันทรัพยากรต่างๆในห้องนี้สูงสุดก็แค่เพียงระดับวีรชนเท่านั้น มันจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับหนิงเทียนเป็นอย่างมาก
หลังจากใช้เวลาไปหลายสิบชั่วยาม หนิงเทียนได้เติมเต็มตะวันดวงที่แปดในร่างจนใกล้จะสมบูรณ์แล้ว มันขาดอีกไม่ถึง1ใน100ส่วนเท่านั้น
บัดนี้ร่างของมันเริ่มกลายเป็นสีแดงพร้อมสั่นไหวอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ บนหัวของมันเริ่มปรากฏดวงตะวันสีทองส่องแสงสว่าง พร้อมกันนั้นโลหิตสีดำค่อยๆไหลออกมาทาง หู ตา จมูกและปากของหนิงเทียนอย่างน่าหวาดกลัว
แต่เพียงพริบตาเดียวมันถูกความร้อนของแสงเผาจนระเหยไปจนหมด
จากนั้นจู่ๆด้านหลังของมันปรากฏร่างของพยัคฆ์สีดำ มันแผดเสียงคำรามออกมา เมื่อพยัคฆ์สีดำได้รับแสงจากดวงตะวัน มันเริ่มจะปรากฏริ้วรอยสีทองจางๆขึ้นบนร่างของมัน รูปลักษณะที่เคยเป็นพยัคฆ์ดำได้ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวของพยัคฆ์ทมิฬ ร่างกายของหนิงเทียนบังเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ ออกมา พลังปราณของมันสั่นสะเทือนไปทั่วร่าง หนิงเทียนเริ่มที่จะโคจรพลังไปทั่วร่างและดูดซับแสงของตะวันอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความสังสัยร่างของมันกำลังเข้าสู่กระบวนการหลอมรวมธาตุเข้าสู่ร่าง “นะ..นี่มัน ธะ...ธาตุแสง!!!”
เวลาเดียวกันราชาภูตและกิเลนสวรรค์รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของหนิงเทียน น้ำเสียงทุ้มต่ำของกิเลนสวรรค์ได้ดังขึ้น “เฒ่าอู๋ นี้มัน!!”
ราชาภูตยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น“จะอะไรอีกละ เมื่อจันทราถูกกลืนกิน แปดตะวันถือกำเนิด เจ้าเด็กนั้นต้องเป็นปีศาจกลับมาจุติแน่ ถึงสามารถเปิดภาพที่สองของม้วนภาพเทพยุทธ์ได้ภายในเวลา10ปี”
“เฒ่าอู๋เจ้าอย่าเอาแต่พูดอีกเลย ช่วงเวลานี้สำคัญทั้งยังอันตรายที่สุด....” ไม่รอให้สิ้นคำกล่าวของสหายมันร่างของอู๋ชางแวบหายไป มันสลับจิตเข้ามาสู่กายหยาบพร้อมบินออกมาจากแขนเสื้อของหนิงเทียน
“คุณชายท่านทำสำเร็จแล้ว” ราชาภูตกล่าวออกมาด้วยความปิติยินดี
“อู๋ชาง ธาตุแสงที่ข้ากำลังหลอมรวมอยู่คืออะไรกันแน่??”เมื่อหนิงเทียนเห็นร่างของราชาภูตปรากฎมันรีบกล่าวถามอย่างสงสัย
“คุณชายในเรื่องนี้ราชาจะเล่าให้ท่านฟัง ม้วนภาพที่สองจากห้าภาพของม้วนภาพเทพยุทธ์ ชื่อของมันคือภาพตะวันแปดดารา
ในอดีตภาพนี้ท่านหวงอี้ได้วาดมันขึ้นจากการที่ท่านได้พบเห็นเทพที่แท้จริงโฮ่วอี้กำลังใช้เกาทัณฑ์ยิงดับดวงตะวันทั้งแปดดวง เพราะฉะนั้นภาพนี้จึงแฝงด้วยพลังดวงตะวันอันเป็นจุดกำเนิดของธาตุแสง
และเมื่อท่านสามารถร่างภาพแปดตะวันให้บังเกิดขึ้นในจิตได้ มันจึงไม่แปลกที่ร่างกายท่านจะได้รับธาตุที่หายากที่สุดเข้าสู่ร่าง”
เมื่อเวลาผ่านไปพลังของหนิงเทียนทะยานขึ้นสูง เส้นลมปราณของมันแข็งกล้ามากขึ้น เหมือนกับว่าบางสิ่งที่อยู่ภายในกำลังตื่นขึ้นมา รากฐานของมันได้รับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นอุณหภูมิความร้อนในร่างของมันค่อยๆทวีขึ้นสูง
ราชาภูตที่กำลังจับจ้องอย่างไม่ละสายตา มันได้ยื่นมืออันเรียวเล็กของมันออกมาพร้อมกับสะบัดน้ำตาภูตที่อยู่ในมือของมันออกไปเพื่อลดอุณหภูมิในร่างของหนิงเทียนให้เป็นปกติ
....
บริเวณภายนอก มู่เสวี่ยที่กำลังนั่งมองเงาของตัวเองที่สะท้อนบนพื้นน้ำด้วยดวงตาเหม่อลอย ทันใดนั้นนางกลับต้องสะดุ้งตัวด้วยความตกใจเพียงเพาะเงาร่างของนางค่อยๆเลือนหายไป
แสงบริเวณรอบตัวนางค่อยๆมืดดับลง นางแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพบว่าภาพที่ได้เห็นนั้นอัศจรรย์ยิ่งกว่าสิ่งใด คือแสงของดวงตะวันมันค่อยๆลดแสงไล่ระดับเข้าหาศูนย์กลาง ซึ่งบริเวณศูนย์กลางที่แสงไล่ไปหานั้นมันคือบริเวณห้องโอสถของนิกาย
ตูม!! ทันใดนั้นได้มีเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากห้องเก็บโอสถ ทุกคนในนิกายต่างมองไปยังทิศทางที่เกิดระเบิด มันพบว่ามีแสงสีทองพุ่งออกจนสูงเสียดฟ้า มันทำให้แสงจากท้องฟ้ารอบๆบริเวณนั้นไล่ระดับเข้าหาแสงสีทองด้วยความเร็วมากขึ้นไปอีก
“ดูนั้น แสงตะวันกำลังถูกกลืนกินด้วยแสงสีทอง ......มะ..มันใช้พลังปราณของมนุษย์แน่หรอ” เสียงของผู้คนที่กำลังมองเปล่งออกมาด้วยความไม่เชื่อ
อวิ้นป๋าที่กำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนเช่นคนอื่น อ้าปากด้วยความตกตะลึง
“ปะ....เป็นไปได้อย่างไรกัน พลังปราณที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติเช่นนี้ บุรุษผู้นั้นเป็นใครกันแน่”
เวลานี้ทุกๆคนในนิกายเคลื่อนเมฆาอยู่ในความตกตะลึง พวกมันทุกคนเป็นผู้บ่มเพาะด้วยกันทั้งหมดกลับไม่เคยเห็นพลังปราณที่สามารถฝืนกฎของธรรมชาติได้เช่นนี้มาก่อนเลย
'แสงของดวงตะวันกำลังถูกบังคับให้เคลื่อนไหวจากใครบางคน' ถ้าพวกมันนำเรื่องนี้ไปเล่าสู่ภายนอก แน่ใจได้เลยว่าพวกมันจะต้องกลายเป็นตัวตลกให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะอย่างไม่ต้องสงสัย