บทที่ 126 จบการต่อสู้ด้วยตนเอง
“อืม ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าปีศาจแซ่อวี้ผู้นี้ ไม่ได้ดีแต่ทำท่าทางขึงขังไปวันๆเท่านั้น” หนิงเทียนเปิดปากออกมาขณะที่สายตาของมันมองดูการต่อสู้ของอวี้กุ้ยและหรงหยางที่พึ่งจะจบลง
“อาจารย์ทางนั้นก็เหมือนจะจบแล้ว” มู่เสวี่ยร้องเตือนพร้อมชี้ไปยังทิศทางการต่อสู้ของซิ่วหลีและฉุนเปา
ดูเหมือนว่าการต่อสู้นี้จะใช้เวลาเพียงไม่นานเท่ากับคู่อื่น ซึ่งแน่นอนผลก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดการณ์เท่าไรนัก ซิ่วหลีนั้นอยู่ในระดับที่เพียงครึ่งก้าวเท่านั้นจะเข้าสู่ขั้น9ของแดนวีรชน
ซึ่งต่างจากตัวของฉุนเปาที่ดูเหมือนพึ่งจะตัดผ่านแดนวีรชนขั้นที่8มาได้ไม่กี่ปี จึงไม่มีทางเลยที่ฉุนเปาจะทนทานการโจมตีของพู่กันลิขิตฟ้าได้นานเกินหนึ่งชั่วยาม
หนิงเทียนจ้องมองไปยังการต่อสู้อันรุนแรงของอวิ้นป๋าและหรงเจาจื่อพร้อมกล่าวออกมา “จบไป2ใน4แล้วสินะ แต่นั้นมันไม่สำคัญเท่ากับสองคู่ที่เหลืออยู่
ตราบใดที่อวิ้นป๋าและหยุนเกาไม่สามารถจัดการหรงเจาจื่อและซีหมิ่นลงได้ สถานการณ์ก็ยังไม่ได้เป็นใจให้แก่พวกเราเต็มสิบส่วน”
แท้จริงแล้วหนิงเทียนนั้นหาได้เป็นห่วงการต่อสู้ของหยุนเกาแต่อย่างใด มันเพียงแค่ปลายตาไปมองครั้งเดียวก่อนจะดึงสายตากลับมาดูการต่อสู้ของอวิ้นป๋าอีกครั้งพร้อมทั้งกล่าวออกแก่มู่เสวี่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ทางนั้นคงไม่ต้องห่วงอะไร ดูเหมือนตาแก่ผู้นี้จะไม่ได้ใช้ชีวิตมานานอย่างเสียเปล่า คงจะเหลือเพียงแค่เวลาเท่านั้นที่ซีหมิ่นจะถูกกดลงกับพื้นด้วยน้ำมือของหยุนเกา”
เวลายิ่งผ่านไป การต่อสู้ของอวิ้นป๋าและหรงเจาจื่อยิ่งทวีความรุนแรง เส้นสายฟ้านับร้อยสาดเข้าปะทะกับรังสีกระบี่สีขาวเป็นพันวัล ปราณที่ปกคลุมร่างของทั้งคู่ค่อยๆอ่อนแรงลง มันเผยให้เห็นร่องลอยบาดแผลต่างๆนับสิบแห่งบนร่างของทั้งสอง
“อาจารย์ดูเหมือนว่าประมุขอวิ้นกำลังแย่อยู่นะ” มู่เสวี่ยกล่าวออกขณะที่สายตาของนางมิได้หยุดที่จะจับจ้องการต่อสู้ของทั้งสองเลย
หนิงเทียนนั้นหาได้ตอบคำใดกลับไป คิ้วทั้งสองข้างของมันเริ่มขยับเข้าหากันทีละน้อย ‘ดูเหมือนคำเล่าลือที่ว่า หรงเจาจื่อคนนี้จะเป็นผู้นำพานิกายเคลื่อนเมฆาไปเหยียบบันไดสวรรค์เทียนโหลวจะไม่ได้เกินจริงไปนัก’
อู๋ชางที่มองดูเหตุการณ์อยู่ภายใต้แขนเสื้อของหนิงเทียนตลอดเวลาได้เปิดปากออกมา“คุณชายทักษะที่มนุษย์เสื้อคลุมนั้นใช้เป็นขั้นแรกของอัสนีเก้าชั้นฟ้า
แต่เนื่องจากทักษะนั้นมันลึกลับและเกินความเข้าใจของพวกหน้าโง่มากเกินไป จึงทำให้มันไม่สามารถเอาชนะเพลงกระบี่ที่เป็นทักษะย่อยได้และที่สำคัญมนุษย์ตัวเหม็นที่กำลังกัดแกว่งกระบี่อยู่นั้น
ฝึกฝนจนถึงแก่นแท้ของทักษะ ในระดับที่ทักษะและคนหลอมรวมเป็นหนึ่ง อีกไม่นานมันจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเตือนของอู๋ชาง หนิงเทียนหาได้ใจเย็นอีกต่อไปไม่ ถ้าหรงเจาจื่อเป็นฝ่ายชนะ สถานการณ์ที่เป็นต่อจะพลิกกลับทันที คิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนจึงไม่รอช้า มันรีบรุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวสั่งการออกไป
“ซิ่วหลี อวี้กุ้ย พวกเจ้าไปช่วยประมุขอวิ้น สังหารผู้ทรยศเดียวนี้”
ซิ่วหลีนั้นเพียงแต่โค้งศีรษะลงและทำตามโดยไม่มีข้อขัดแย้งใด ผิดกลับอวี้กุ้ยที่ตัวมันแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อย
มีหรือที่หนิงเทียนจะไม่รู้ว่าท่าทีลังเลของอวี้กุ้ยนั้นเกิดจากอะไร มันจึงเปิดปากพร้อมกล่าวออกไปว่า “ตั้งแต่ที่พวกมันใช้พิษกับพวกเจ้า เรื่องของศักดิ์ศรีหรือการดวลหนึ่งต่อหนึ่งนั้นก็ไร้ซึ่งความหมายแล้ว จงจำคำข้าไว้ สู้กับโจรให้ใช้นิสัยที่เลวกว่าโจร”
อวี้กุ้ยที่ได้ยินดังนั้น มันยกมือป้องขึ้นแสดงความเคารพ ความลังเลในหัวถูกปัดเป่าออก มันพุ่งร่างดุจเงามืดเข้าสมทบ ซิ่วหลีอีกแรงหนึ่ง
แม้หรงเจาจื่อจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่การที่จะรับมือทั้งสามคนพร้อมกันเห็นทีจะเป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถของมัน “เอาล่ะ เท่านี้ก็เหลือเพียงแค่เวลา ว่าพวกมันทั้งสองจะยืนยัดทนทานได้นานเพียงใด”
จากนั้นหนิงเทียนนั่งลงพร้อมกับใช้สองมือขวาขึ้นมาท้าวไปที่คางของตัวเองอย่างน่าเบื่อหน่าย
ล่วงเวลาผ่านไปราวๆ3เค่อการต่อสู้อันดุเดือดก็มาถึงบทสรุป ร่างของหรงเจาจื่อถูกตรึงซ้ายขวาจากอวี้กุ้ยและซิ่วหลี สายฟ้าที่แปรรูปลักษณ์เป็นกระบี่แทงสวนเข้าไปทะลุตันเถียนของหรงเจาจื่อจนแตกสลาย
ร่างที่เคยแข็งแกร่งดุจเหล็กไหล อ่อนระทวยลงแนบกับพื้น พร้อมกันนั้นหรงเจาจื่อ กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน “อ๊ากกกกกก!!! อวิ้นป๋าเจ้าสารเลว”
การที่ตันเถียนของมันถูกทำลายก็ไม่ต่างอะไรกับการกลายเป็นคนพิการ จากผู้ที่แข็งแกร่งเหนือคนอื่นกลับต้องมากลายเป็นผู้พิการไร้ค่าคนหนึ่ง หรงเจาจื่อไม่สามารถรับมันได้เด็ดขาด “ฆ่า..ฆ่าข้าเสีย รีบฆ่าข้า”
“เจาจื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยหรืออย่างไร ความผิดของเจ้านั้นตามกฎของนิกายเราแล้วแม้แต่ความตายของเจ้าคนเดียวก็ไม่สามารถชดใช้ได้หมด
แต่เอาเถอะเห็นแก่ความชอบในอดีตข้าจะละเว้น ต้นกล้าเล็กๆในตระกูลหรงไป” สิ้นคำกล่าวอวิ้นป๋ากำมือโดยคลายออกเพียงนิ้วชี้และนิ้วกลาง กระแสไฟฟ้าไหลออกมาในรูปลักษณะของกระบี่
จากนั้นมันตวัดขึ้นสูงหมายจะบั่นไปที่ศีรษะของหรงเจาจื่อให้ร่วงลงมาแนบดิน
“หยุด!! ยั้งมือเดียวนี้” คำพูดเชิงคำสั่งของหนิงเทียนดังออกมาเมื่อเห็นถึงสิ่งที่อวิ้นป๋ากำลังกระทำ
ด้วยเสียงกล่าวออกเช่นนั้นมันทำให้อวิ้นป๋ายั้งมือพร้อมหันไปมองยังต้นตอของเสียง“ท่านหมอแม้ตัวท่านจะเป็นผู้มีพระคุณของนิกายเคลื่อนเมฆาเรา
แต่นี้เป็นเรื่องภายในที่พวกเราจะต้องจัดการผู้ที่คิดคดทรยศให้เป็นเยี่ยงอย่าง ขอให้ท่านหมออย่าได้ยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายเลย”
แม้อวิ้นป๋าจะกล่าวออกด้วยถ้อยคำเคารพแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเห็นได้ชัดว่ามันจะต้องสังหารหรงเจาจื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ทุกคน
“หืมม์ เรื่องภายในของนิกายเจ้าแล้วเป็นอย่างไรกัน ข้าเองก็มีเหตุผลที่ทำให้ข้าต้องมาเหยียบพื้นดินของนิกายเจ้าเช่นกัน และจนกว่าข้าจะบรรลุเป้าหมาย ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าลงมือสังหารจิ๊กซอชิ้นสำคัญของข้าไปแน่นอน”
หนิงเทียนหาได้สนใจในตำแหน่งประมุขนิกายแม้แต่น้อย มันกล่าวออกแก่อวิ้นป๋าโดยไร้ซึ่งความเคารพใดๆ
ได้ยินดังนั้นดวงตาของอวิ้นป๋ากลายเป็นเย็นชาพร้อมกับกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว
“ท่านหมอภายใต้หน้ากากหนังมนุษย์นั้น คงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน และข้ามั่นใจว่าจ้าวตำหนักโอสถแห่งนิกายท่องนภา คงจะไม่ใช่เด็กหนุ่มที่อายุไม่เกิน20ปีเช่นท่านแน่นอน
แต่การที่ข้ายังเคารพและเรียกท่านว่าหมออยู่นั้น ก็น่าจะเพียงพอต่อการแสดงความเคารพและระลึกถึงบุญคุณแล้ว ฉะนั้นท่านอย่าได้ขัดขวางเรื่องราวภายในของพวกเราอีกเลย”
“ดูเหมือนว่า ถ้าข้าไม่ใช่คนของนิกายท่องนภาที่พวกเจ้าหวาดกลัวแล้ว ข้าก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวมันสินะ ดีถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าลงมือสังหารมันเสียตอนนี้เลย
แต่ข้าอยากจะขอเตือนไว้ก่อน ข้านั้นรู้จักแต่การใช้พิษและการรักษาพิษให้พวกเจ้า ข้าเองก็ใช้วิธีพิษต้านพิษ ซึ่งข้าก็ไม่รับปากว่า พิษอัคคีเดินดินที่ข้าใช้ถอนพิษดอกมายา มันจะกำเริบขึ้นมาเมื่อใด”
กล่าวจบหนิงเทียนเผยรอยยิ้มที่มุมปากของมันออกมา จะเป็นไปได้อย่างไรที่หนิงเทียนจะช่วยเหลือคนอื่นเพียงเพราะความไว้ใจและมีหรือที่มันจะยอมยกโอสถถอนพิษให้ผู้อื่นฟรีๆ
เมื่อได้ยินถึงชื่อของพิษอัคคีเดินดิน ร่างของอวิ้นป๋าสั่นออกอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้พร้อมกันนั้นอวี้กุ้ยรีบใช้นิ้วของมันสัมผัสไปยังจุดชีพจรของตัวเอง มันพบว่าสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่มีพลังความเป็นหยางไหลรวมอยู่กับตันเถียนของมัน
มันไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นรุกไหม้และแผดเผาตันเถียนของมันขึ้นมา ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
ในตอนที่อวี้กุ้ยได้รับพิษดอกมายาบังคับใจของซีหมิ่น มันยังมิได้ให้ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวเหมือนเช่นตอนนี้เลย เมื่อสมองสั่งการเช่นนั้นอวี้กุ้ยจึงรีบกล่าวเตือนโดยเร็ว“ท่านประมุข สิ่งที่เขากล่าวมาเป็นจริงทุกประการ”
แม้จะไม่มีคำบอกเล่าของอวี้กุ้ย ตัวของอวิ้นป๋าเองก็รู้ดีอยู่เต็มอก สิ้นเสียงของอวี้กุ้ยเพียงไม่นาน ประกายสายฟ้าที่เคยก่อร่างเป็นกระบี่สีครามค่อยๆจางหายไปกลางอากาศ
บรรยากาศตึงเครียดรอบตัวหรงเจาจื่อค่อยๆจางหายไป พร้อมกับรอยยิ้มของอวิ้นป๋าที่ส่งออกมา “ท่านหมอโปรดอภัยให้แก่ข้าด้วย ตัวข้านั้นถูกความโกรธเข้าครอบงำจึงขาดสติไปชั่วครู่
เรื่องในวันนี้ถ้าไม่ได้ท่านหมอยื่นมือเข้าช่วยเหลือเกรงว่า ตัวข้าคงจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าท่านหมอต้องการจัดการกับคนทรยศพวกนี้ด้วยตนเอง ข้าก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องสมควรยิ่งแล้ว”
ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นหนิงเทียนได้แต่ส่งยิ้มออกมาภายในใจของมันครุ่นคิดอย่างดูหมิ่น “สุนัขจิ้งจอกพวกนี้ถ้าไม่ได้ล่ามโซ่ไว้ เห็นทีว่าสักวันหนึ่งเขี้ยวของมันจะหันกลับมาหาข้า”
ขณะที่หนิงเทียนกำลังคิดอยู่นั้นเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา พร้อมกับประตูห้องโถงที่พังทลายลง “ตูม!!!!!!!”
เมื่อหนิงเทียนปลายตามองไปยังต้นตอของเสียงมันพบร่างของซีหมิ่นที่จมลึกอยู่ในรอยแตกของประตู สภาพของซีหมิ่นนั้นไร้ซึ่งลมปราณป้องกันตัว แขนและขาของมันปรากฏแอ่งเลือดหลายจุด
ด้วยบาดแผลฉกรรณ์ที่เกิดจากดรรชนีจี้เมฆาทำให้เวลานี้ซีหมิ่นหายใจอย่างอ่อนแรง มันไม่เหลือพลังที่จะสู้ต่ออีกแล้ว
เช่นเดียวกับหยุนเกาที่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายซัดส่งร่างของซีหมิ่นให้ลอยออกมาดุจว่าวที่สายป่านขาด จากนั้นมันทรุดสองเข่าลงแทบกับพื้น ใบหน้าที่เคยขาวซีดกลับกลายเป็นเขียวคล้ำ
เส้นเลือดมากมายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน ระหว่างการต่อสู้กับซีหมิ่น หยุนเกาเองก็ได้รับพิษเข้าสู่ร่างกายมากกว่าสิบชนิดด้วยเช่นกัน
แม้มันจะอยู่ในระดับครึ่งก้าวเข้าสู่ดินแดนทรราชย์ก็ตาม แต่นั้นก็คงจะกลายเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น หยุนเการู้ตัวเองดีว่าอีกไม่นาน ชีวิตของมันจะจบลงด้วยพิษที่ไหลวนอยู่ทั่วร่าง
แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกเสียใจกับการกระทำเลยแม้แต่น้อย มันยิ้มออกด้วยสีหน้าภาคภูมิที่ได้ใช้ชีวิตปกป้องรักษานิกายของตัวเองไว้
“ท่านลุงหยุน ...ท่านอดีตผู้อาวุโส” อวิ้นป๋าและอวี้กุ้ยร้องออกอย่างตกใจพร้อมทิ้งร่างที่ไร้ซึ่งลมปราณของหรงเจาจื่อไว้กับพื้น มันรีบทะยานร่างไปดูอาการของผู้พิทักษ์เมฆาหยุนเกาโดยเร็ว
“อั๊ก!!” เพียงแค่ได้รับสัมผัสเบาจากทั้งสอง เลือดสีเขียวทะลักออกมาจากปากของหยุนเกาอย่างน่าหมดหวัง
แม้จะเอาชนะเจ้าสำนักร้อยพิษซีหมิ่นได้แต่นิกายเคลื่อนเมฆาต้องแลกมาด้วยผู้พิทักษ์เช่นนี้นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
อวิ้นป๋ากำมือแน่นอย่างสิ้นหวัง เวลานี้ผู้อาวุโส3ใน5ของนิกายเป็นผู้ทรยศและผู้พิทักษ์เพียงคนเดียวยังต้องมาตกตายตามไปอีก นี้นับว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีเลยก็ว่าได้
ยิ่งอวิ้นป๋าคิดเรื่องราวพวกนี้มากเพียงใดความโกรธา ทมึนแค้นยิ่งทวีขึ้นเสียดฟ้า มันลุกขึ้นยืนพร้อมก้าวออกด้วยสีหน้าดำมือไปยังร่างของซีหมิ่นที่จมลึกติดกับประตู ความต้องการสังหารของมันคละคลุ้งจนไม่สามารถกักเก็บได้หมด
ซีหมิ่นเห็นดังนั้น มุมปากของมันยกยิ้มขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน“ประมุขอวิ้นท่านต้องการสังหารข้า? ลืมไปแล้วหรืออย่างไร เวลานี้ตัวข้าได้เข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักโอสถฟ้า สำนักในระดับอี้เทียนโหลวแล้ว นิกายเล็กๆของท่านยังมีความกล้าที่จะสังหารข้าอีกหรืออย่างไร”
คำกล่าวของซีหมิ่นนั้นไม่ใช่คำโอ้อวดที่เกินจริงไปเลย ไม่ว่าในสามเมืองใหญ่ดินแดนรอบนอก มันผู้นั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันไม่กล้าทำอย่างแน่นอน คือการแตะต้องผู้คนที่มาจากอาณาจักรฟ้าสวรรค์ ตัวตนระดับทรราชย์ที่พวกมันเฝ้าใฝ่ฝันถึงนะหรือ สามารถหาได้ทั่วไปตามท้องถนนของอาณาจักรฟ้าสวรรค์
เพียงด้วยคำกล่าวที่ออกจากปากซีหมิ่น มันหยุดการกระทำของอวิ้นป๋าลงได้อย่างชะงัก นิกายของมันแม้จะยิ่งใหญ่ติดหนึ่งในห้าของสำนักหรือนิกายในดินแดนรอบนอก แต่ถ้านำไปเทียบกับสำนักโอสถฟ้าแล้วละก็
พวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่พึ่งจะหัดเดิน แค่สำนักโอสถฟ้าส่งผู้ฝึกตนในดินแดนทรราชย์สองคนมาก็สามารถถล่มนิกายเคลื่อนเมฆาของมันให้พินาศย่อยยับได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหนิงเทียนเห็นความโกรธแค้นของอวิ้นป๋าหยุดชะงักลง มันอดที่จะส่ายหัวไม่ได้ หนิงเทียนไม่ได้ตีค่าให้ราคาอะไรกับคนอย่างอวิ้นป๋าที่เป็นถึงประมุขของนิกายเคลื่อนเมฆาเลยแม้แต่น้อย
แม้ระดับฝึกตนของมันจะสูงแต่จิตใจของมันยังไม่สามารถเทียบกับเหล่านักรบของกองโจรพิทักษ์ฟ้าได้เลย “คนเช่นนี้ไม่สามารถทำงานใหญ่ได้แต่สำหรับการเป็นทหารเลวแล้วความแข็งแกร่งของพวกมันพอจะเป็นประโยชน์ได้อยู่บ้าง”
จากนั้นมันปลายตามองไปยังซีหมิ่นด้วยความคิด “อสรพิษตัวนี้ต้องตีให้หลังหัก ไม่เช่นนั้นมันจะแว้งกัดข้าในภายหลังได้”
คิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนหาได้สนใจอวิ้นป๋าอีกต่อไปมันเพียงสะบัดมือเรียกกระบี่พิรุณโปรยออกมาพร้อมกับลากปลายกระบี่ไปที่พื้นจนเกิดเสียงกรีดร้องอย่างน่าหวาดหวั่น
“ในเมื่อประมุขอวิ้นไม่กล้าลงมือ เช่นนั้นข้าจะเป็นผู้สังหารมันให้เอง”
พร้อมกับคำกล่าวที่เลือดเย็นหนิงเทียนได้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของซีหมิ่นเรียบร้อยแล้วการกระทำและคำพูดของหนิงเทียนสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนทั้งหมดในห้องโถงเป็นอย่างยิ่ง