บทที่ 124 กลางวงล้อมของศัตรู
“ยะ...อย่าบอกข้านะว่าคำกล่าวอ้างเป็นของจริง จ้าวตำหนักโอสถแห่งนิกายท่องนภา!!”ฉุนเปากล่าวออกมาอย่างไม่เชื่อในคำพูดของตัวเอง
มันเริ่มหวนคิดถึงตำแหน่งภายในนิกายท่องนภาที่หมอเถื่อนผู้นี้เคยกล่าวอ้าง ยิ่งเริ่มคิดมากเพียงใดใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วยิ่งซีดและจางลงไปอีก ภาพที่ผู้ฝึกตนแดนวีรชนขั้น8 หน้าถอดสีเช่นนี้คงหาดูไม่ได้ง่ายๆในดินแดนรอบนอกอีกแล้ว
“นี่!!มันเป็นไปได้อย่างไร ซิ่วหลีหายไปไหนกัน???”อวี้กุ้ยที่กำลังใช้มือกดไประหว่างหน้าอกเพื่อชะล่อพิษร้ายอยู่เปิดปากออกมาอย่างลืมตัว
อวิ้นป๋าที่พยามรักษาภาพพจน์ของประมุขนิกายพยามปั่นหน้าให้เป็นปกติแต่น้ำเสียงที่มันกล่าวออกมานั้นไม่เต็มเสียงอย่างเห็นได้ชัด
“หรือว่า...หนึ่งในสามธาตุหายาก มิติธาตุ?แต่ทำไมข้าถึงไม่สามารถสัมผัสถึงพลังปราณที่ปกคลุมรอบตัวท่านหมอได้เลยแม้แต่น้อย??”
หยุนเกากล่าวออกด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านประมุขเรื่องราวในอาณาจักรฟ้าสวรรค์นั้นลึกลับเป็นอย่างมาก ดินแดนวีรชนเช่นพวกเรานั้นหาได้เกลื่อนกลาดตามท้องถนน
ด้วยความต่างชั้นและลึกลับเช่นนี้ถ้าจะบอกว่ามีโอสถที่ช่วยปิดบังพลังปราณที่แท้จริงก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดนัก”
ฝ่ายอวิ้นป๋านั้นตระหนักถึงความเป็นจริงตรงหน้าพวกมันเริ่มที่จะมองหนิงเทียนใหม่อีกครั้ง นั้นก็เพียงเพราะพวกมันทั้งสามไม่สามารถหาเหตุผลในการกระทำของหนิงเทียนได้เลยแม้แต่น้อย
และในเวลาเดียวกัน หรงเจาจื่อเห็นการโจมตีของหนิงเทียน แม้ใบหน้าของมันจะฉายแววเหี้ยมอำมหิตไม่เปลี่ยนแต่ภายในใจมันรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
มันครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้เดียวที่มันหวาดกลัวและนั้นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงต้องการสังหารหมอเถื่อนผู้นี้ทั้งๆที่ไม่เคยมีความแค้นกันมาก่อน “ระ...หรือว่ามันจะเป็นตัวจริง”
เมื่อซีหมิ่นเห็นหรงเจาจื่อหยุดชะงักไปชั่วครู่ มันรีบกล่าวเตือนออกมา“พี่เจาจื่อ เราไม่มีเวลาสงสัยในตัวตนของมันอีกแล้ว เมื่อลูกเกาทัณฑ์ถูกยิงออกไปพวกเราก็ไม่สามารถเรียกคืนมันได้
เช่นเดียวกับพวกเราที่ไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว ทางเดียวที่เราจะทำคือร่วมมือกันสังหาร ชายผู้นี้ มีแต่ความตายเท่านั้นถึงจะปกปิดทุกอย่างลงได้”
กล่าวจบซีหมิ่นเริ่มเคลื่อนไหวเป็นคนแรก มันมิได้ประมาทหนิงเทียนอีกต่อไป มันเหวี่ยงเท้าเตะไปยังหนิงเทียน ทันใดนั้นเท้าของซีหมิ่นเริ่มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม
เมื่อหรงเจาจื่อเห็นซีหมิ่นเข้าจู่โจมอย่างเต็มกำลังด้วย ‘บาทาร้อยพิษ’ทักษะต่อสู้ที่สร้างชื่อให้แก่ซีหมิ่นมายาวนาน มันจึงได้สติขึ้นมาทันทีกอปรกับคำพูดเตือนใจของซีหมิ่น
หรงเจาจื่อรีบตวัดมือเรียกกระบี่ตัดเมฆาออกมา แรงกดดันของอาวุธลมปราณในระดับวีรชนฟุ้งกระจายไปทั่วห้องโถง จากนั้นหรงเจาจื่อทะยานร่างเข้าหาหนิงเทียนพร้อมกับตะโกนสั่งการแก่อีกสองคน
“หรงหยาง ฉุนเปา ลงมือ!!! ถ้าชายผู้นี้ไม่ตายพวกเราลำบากแน่”
ได้ยินเสียงสั่งการของหรงเจาจื่อ ร่างของหรงหยางหายไปดุจเมฆหมอก เพียงไม่นานมันปรากฏร่างอยู่ด้านหลังของหนิงเทียนพร้อม ฟาดฝ่ามือเคลื่อนเมฆาที่ฝึกจนถึงขั้นสุดท้าย เข้าใส่ร่างของหนิงเทียนอย่างสุดแรงเกิด
พร้อมๆกันนั้นฉุนเปาที่สะบัดมือเรียกปิ่นปักผมสีทองลายกุหลาบ มันสะบัดขอมือไปมา ปิ่นปักผมสีทองขยายจำนวนเพิ่มนับเป็นร้อย ซัดเข้าใส่หนิงเทียนจากด้านข้าง
เมื่อเห็นการขยับตัวของฉุนเปา อวี้กุ้ยรีบเปล่งเสียงออกมาด้วยความเป็นห่วง“นี้คือพันบุปผาของฉุนเปา ท่านหมอระวังตัวให้ดี ปิ่นปักผมนั้นอาบด้วยน้ำพิษนับร้อยในพันทิวา
ถ้ามันได้สร้างบาดแผลให้กับร่างกายแล้วแม้ผู้ฝึกตนในแดนวีรชนขั้นปลายยังไม่สามารถยืนขึ้นเป็นครั้งที่สองต่อหน้าฉุนเปาได้”
เวลานี้หนิงเทียนยืนอยู่ตรงกลาง มันถูกขนาบข้างด้วยกระบี่เคลื่อนเมฆาของหรงเจาจื่อในทิศเหนือ บาทาร้อยพิษของซีหมิ่นในด้านตะวันออก
ฝ่ามือเคลื่อนเมฆาของหรงหยางจากทางด้านหลัง และสุดท้ายพันบุปผาของฉุนเปาถูกปล่อยออกในด้านตะวันตกของตัวหนิงเทียน
ทุกๆกระบวนท่าที่มีเป้าหมายมายังตัวมันนั้น หนิงเทียนรับรู้ได้เลยว่ามันเป็นกระบวนท่าระดับปราชญ์ขั้นสูงทั้งหมดและเวลานี้กระบวนท่าเหล่านั้นกำลังพุ่งเข้ามาในทิศทั้งสี่โดยไร้ซึ่งช่องว่างที่จะหลบหนีเลยแม้แต่น้อย
ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน มันจึงกินเวลาเพียงแค่หนึ่งลมหายใจเท่านั้น
“คุณชาย ดูเหมือนว่าการพบกันอีกครั้งของพวกเราคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้เจอกันแล้วสินะ ท่านคงไม่รอดไปจากสถานการณ์เช่นนี้แน่นอน” น้ำเสียงอันใสกระจางผู้เป็นตัวการที่ทำให้ร่างของซิ่วหลีหายไปได้ดังขึ้นมา
“อู๋ชาง เจ้าลืมตาขึ้นมาก่อนเวลากำหนดมิใช่ว่าจะมาช่วยข้าให้รอดพ้นไปจากสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้หรอกหรือ? เหตุใดยังไม่รีบส่งพวกมันไปคุยกับซานซันอีกละ”
หนิงเทียนกล่าวออกอย่างไม่ใส่ใจนัก เพียงเพราะในมือของมันเวลานี้เตรียมที่จะบดขยี้และเรียกใช้โล่ปราการณ์สวรรค์ที่บิดาสามมอบให้แล้ว
“เป็นไปไม่ได้หรอกคุณชาย มนุษย์ตัวเหม็นเหล่านี้มีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย มันรู้ว่าควรทำเช่นไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ใช้มิติธาตุ จะมีทางเดียวก็คือให้ตัวของราชามีพลังเกินกว่าแดนวีรชนขึ้นไปเท่านั้นถึงจะส่งมันเข้ามิติอนันตเวคินไปได้”
ราชาภูตผู้เป็นสหายคู่ใจกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม ทั้งตัวมันและหนิงเทียนหาได้สนใจกับสถานการณ์เป็นตายที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในไม่ถึงสามลมหายใจข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย
“เอาเถอะข้าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับตัวเจ้านักหรอก” สิ้นคำกล่าวนั้น หนิงเทียนกำลังออกแรงบดขยี้โล่ปราการสวรรค์ให้แตกเพื่อที่จะใช้งานมันแต่ยังไม่ทันได้ออกแรงดีนักเสียงออกอู๋ชางได้กล่าวออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“คะ...คุณชาย นะ...ในมือท่านคือชิ้นส่วนกำแพงของวิหารเทพอสูร ทะ..ท่านได้มันมาจากไหน” อู๋ชางมองการกระทำของหนิงเทียนที่กำลังขยี้บางสิ่งในมือ มันรีบกล่าวออกอย่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นสิ่งของในมือของหนิงเทียนอย่างชัดเจน
คิ้วของหนิงเทียนขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวของอู๋ชาง โล่ปราการสวรรค์ของบิดาสามเหตุใดอู๋ชางถึงเรียกมันว่ากำแพงของวิหารเทพอสูร
แต่นั้นก็ไม่มีเวลาให้หนิงเทียนได้คิดและถามออกไป เพราะบัดนี้การโจมตีจากทั้งสี่ทิศอยู่ห่างจากตัวมันเพียงไม่กี่นิ้วแล้ว
“ไม่ได้การแล้ว” เวลานี้เรียกได้ว่าหนิงเทียนอยู่ในช่วงวิกฤตที่สุด ใจหนึ่งของมันก็ต้องการใช้โล่ปราการสวรรค์แต่อีกใจหนึ่งของมันก็รู้สึกว่าโล่ปราการสวรรค์ชิ้นนี้อาจจะซ่อนความลับบางอย่างไว้
“คุณชายท่านจะทำอะไรนะ!! อย่าบอกราชาผู้นี้นะว่าท่านกำลังใช้มันกับขยะสี่ตัวนี้ ท่านรู้หรือไม่สิ่งของที่อยู่ในมือท่านมีพลังป้องกันมากเพียงใด ต่อให้ท่านหวงตี้มาด้วยตัวเองยังต้องใช้เวลาในการทำลายมัน
แล้วท่านคิดจะใช้มันกับขยะสี่ตัวที่ไม่แม้แต่จะมีปัญญาตัดเข้าสู่ดินแดนทรราชย์ได้อย่างไรกัน ราชาผู้นี้ไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนโง่เง่าเท่าท่านมาก่อนเลยคุณชาย”
ราชาภูตกล่าวออกอย่างร้อนใจมันกลัวว่าเจ้านายของมันจะคิดสั้นใช้ของสิ่งนี้ไปกับขยะตรงหน้า
“บัดซบ อู๋ชางแล้วเจ้ามีวิธีให้ข้ารอดพ้นวิกฤตตรงหน้าหรืออย่างไร”หนิงเทียนคำรามออกมาด้วยความโกรธเวลานี้มันมิได้เปล่งน้ำเสียงอยู่ภายในอีกแล้ว มันคำรามออกมาจนได้ยินกันไปทั่วทั้งห้องโถง
จนบางคนกำลังคิดว่าหนิงเทียนนั้นกำลังสติแตกเพราะความตายใกล้มารับตัวไป
เสียงคำรามของหนิงเทียนเหมือนช่วยเตือนสติของอู๋ชางมันรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว“ใช่แล้ว ยังมีวิธีรุกรับชั่วพริบตา คุณชายม้วนภาพแปดตะวันที่ท่านฝึกอยู่ตอนนี้มันเป็นเหตุให้ท่านไม่สามารถใช้ลมปราณออกมาภายนอกได้
แต่ถ้าเป็นระยะเวลาสั่นๆเพียงชั่วลมหายใจเดียวการโคจรลมปราณเพื่อใช้ในการป้องกันน่าจะสามารถทำได้ แต่นั้นก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคุณชายแล้ว ถ้าท่านโคจรพลังคลาดเคลื่อนไปแม้แต่นิดเดียว ข้าก็คงทำได้เพียงสร้างหลุมศพที่สมเกีรยติให้แก่ท่าน”
ได้ยินคำกล่าวของอู๋ชางเหมือนดั่งสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางศีรษะ “รุกรับชั่วพริบตา!! ใช่แล้วเป็นอย่างที่อู๋ชางกล่าวมา แม้ข้าจะใช้มันออกไม่ได้แต่การโคจรปราณมาไว้ป้องกันและดึงมันกลับก่อนที่จะถูกกระแสปราณตีกลับยังพอเป็นไปได้”
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนไม่มีเวลาที่จะคิดไปถึงผลเสียอีกแล้ว วิธีการรุกรับชั่วพริบตาที่มันคิดและได้ยินมานั้นแค่เพียงคู่ต่อสู้คนเดียวก็นับว่าสาหัสเกินไปแล้ว แต่นี้มันต้องใช้รับมือยอดยุทธในแดนวีรชนขั้นปลายสี่คนพร้อมกัน
การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการเดิมพันของคนสติไม่ดีเท่านั้น แต่ที่หนิงเทียนตัดสินใจทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งยั่วยุที่เรียกว่ากำแพงของวิหารเทพอสูรแต่อย่างใด
แต่เพียงเพราะมันเห็นแล้วว่าเวลานี้มู่เสวี่ยได้ยืนอยู่ด้านข้างระหว่างอวิ้นป๋าและหยุนเกาเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่รอดจากการโจมตีนี้ไปได้เท่านั้น ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนแล้วความได้เปรียบจะกลับมาอยู่ที่ตัวมันอีกครั้ง
จากนั้นหนิงเทียนใช้เวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจเดียวในการทำให้หัวของมันที่ประมวลความคิดอย่างบ้าคลั่งนั้นขาวโพลน สายตาของมันตัดภาพภายนอกออกไปจนหมดสิ้น หลงเหลือเพียงบุคคลที่โจมตีมาจากทิศทั้งสี่เท่านั้น
แขน ขา กระบี่และอาวุธซัด ด้วยการโจมตีที่แตกต่างกันทำให้หนิงเทียนตัดสินใจบิดร่างของมันเข้าปะทะกับบาทาร้อยพิษของซีหมิ่นเป็นอันดับแรกหนิงเทียนมองไปยังบาทานับร้อยที่กำลังซัดสาดมาที่ตัวมัน
“จริงคือลวง ลวงคือจริง แท้จริงแล้ว เจ้าก็มีเพียงสองขาเท่านั้น” คิดได้เช่นนั้นพลังปราณจากดวงตะวันทั้งแปดไหลเวียนไปที่มือขวาของหนิงเทียนก่อนจะคว้าจับไปยังขาของซีหมิ่น
เมื่อจับกุมได้แล้วหนิงเทียนรีบดึงพลังปราณกลับและโคจรมันไปที่มือซ้ายพร้อมทั้งสลับมือซ้ายของมันเหวี่ยงร่างของซีหมิ่นออกไป
อู๋ชางที่มองดูหนิงเทียนอยู่ภายในแขนเสื้อ อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงแล้วก่นด่าออกมา “บัดซบ เพียงครั้งแรกก็สามารถรุกรับชั่วพริบตาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เก้าแก่นแท้พรสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่สามารถใช้จินตนาการของมนุษย์ทั่วไปตัดสินได้เลย”
ในเวลาที่ห่างกันไม่ถึงเสี้ยววินาที เป็นเวลาที่ร่างของซีหมิ่นถูกเหวี่ยงกระเด็นกลับไป ฝ่ามือเคลื่อนเมฆาของหรงหยางได้พุ่งเข้าไปทางด้านขวาของหนิงเทียน
แม้การโจมตีของหรงหยางจะค่อนข้างเร็วแต่มันก็ไม่ได้รวดเร็วไปกว่าเก้าวิญญาณท่องนภาของหนิงเทียนแต่อย่างใด
หนิงเทียนรีบโคจรย้ายพลังปราณจากมือซ้ายไปที่เท้าทั้งสองและใช้ออกด้วยเก้าวิญญาณท่องนภาท่าเท้าอันเป็นสุดยอดวิชาของบิดาสี่
เมื่อเก้าวิญญาณท่องนภาถูกส่งเสริมด้วยลมปราณแล้ว มันคล้ายกับมัจฉาที่ได้แหวกว่ายอยู่ในวารี แต่การที่จะหลบฝ่ามือของหรงหยางที่ปล่อยออกมาได้หมดนั้นเพียงแค่ลมหายใจเดียวเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้
หนิงเทียนฝืนรั้งพลังให้อยู่ที่เท้าทั้งสองต่ออีกชั่วลมหายใจเพื่อที่จะสลัดการโจมตีของหรงหยาง และก็เป็นอย่างที่หนิงเทียนคาดหวังฝ่ามือของหรงหยางได้แต่ซัดใส่อากาศเท่านั้น
เปรี้ยง!!!! ดังไฟฟ้าแรงสูงไหล วนอยู่ทั่วทั้งสองขาของหนิงเทียน การฝืนรั้งลมปราณไว้นานเกินหนึ่งลมหายใจ กลับต้องแรกมาด้วยการตีกลับของลมปราณที่ไม่สามารถหลั่งไหลออกไปสู่ภายนอกได้
ความเจ็บปวดราวกับเข็มนับร้อยเล่มกำลังทิ่มแทงอยู่ภายในเส้นลมปราณจึงบังเกิดขึ้น
ตึ้ง!!! ตึ้ง!... สองเข่าของหนิงเทียนทรุดลงกับพื้นพร้อมกับร่างของหรงเจาจื่อที่ทะยานอยู่เหนือศีรษะ
“เมฆาเคลื่อนคล้อย แตกสลายและสร้างใหม่ไม่มีวันดับสูญ ตราบใดมีท้องนภา กระบี่ข้าคือที่หนึ่ง....ตายซะ!!!” สิ้นคำกล่าวของหรงเจาจื่อ กระบี่เคลื่อนเมฆาในมือของมันฟาดลงมายังกลางศีรษะของหนิงเทียน
เห็นภาพเช่นนั้นมู่เสวี่ย กรีดร้องออกมาอย่างลืมตัว “อาจารรรรรย์!!!!”
ได้ยินดังนั้นหนิงเทียนยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกล่าวออกไป “เจ้าอย่าได้ส่งเสียงดังไป ลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้เจ้ากำลังเป็นผู้ชายอยู่”
สิ้นคำกล่าวนั้น เสียงของพิรุณโปรยกู่ร้องออกมาสุดเสียง มันปรากฏร่างเป็นกระบี่สีน้ำเงินครามพุ่งเข้าใส่มือของหนิงเทียน
จากนั้นใบหน้าของหนิงเทียนดำมืดคล้ายปีศาจร้าย กระบ่วนท่าร่ายรำล้อเงาจันทร์ถูกส่งออกเข้าปะทะกับกระบี่เคลื่อนเมฆาของหรงเจาจื่อ แต่ด้วยร่ายรำล้อเงาจันทร์ที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณเพียงชั่วลมหายใจเดียว
พลังของมันจึงมีไม่ถึงสองในสิบของปกติด้วยซ้ำ แม้แต่ตัวของหนิงเทียนเองก็รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ผลแพ้ชนะไม่ใช่เป้าหมายของมัน
การเบี่ยงเบนวิถีดาบจากจุดตายต่างหากที่เป็นเป้าหมายในการลงมือครั้งนี้และมันก็เกือบที่จะประสบความสำเร็จเต็ม10ส่วน หลังจากที่กระบ่วนท่าทั้งสองเข้าปะทะกัน พิรุณโปรยในมือของหนิงเทียนกระเด็นออกจากมือด้วยแรงกระแทก
รังสีกระบี่เคลื่อนเมฆาที่ตัดผ่านใบหน้าของหนิงเทียนห่างกันไม่ถึงชุนเดียว นั้นก็เพียงพอที่แรงลมจะฉีกกระชากหน้ากากหนังมนุษย์ให้ขาดจนเผยให้เห็นผิวหน้าที่แท้จริงอยู่ครึ่งแก้ม
ฉึก!!! ฉึก!! เวลาเดียวกันนั้นพันบุบฝาของฉุนเปาไม่พลาดโอกาสที่จะทะลวงเข้าใส่แผ่นหลังของหนิงเทียน
แม้ว่าหนิงเทียนจะใช้รุกรับชั่วพริบตาในการถ่ายเทพลังปราณเข้าป้องกันบาดแผลจากปิ่นทอง แต่นั้นก็ทำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น รอยเลือดขนาดเท่าปลายนิ้วค่อยๆซึมเปื้อนเสื้อผ้าสีขาวที่หนิงเทียนใส่อยู่ทีละจุด สองจุดจนกลายเป็นสิบจุด.....