ตอนที่แล้วบทที่ 122 เค้าลางความจริง 1
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 124 กลางวงล้อมของศัตรู

บทที่ 123 เค้าลางความจริง 2


กำลังโหลดไฟล์

ในขณะที่ความสงสัยอันมากล้นกำลังกู่ร้องอย่าบ้าคลั่งอยู่ภายในอกของมู่เสวี่ย เวลาเดียวกับที่นางกำลังจะแสดงท่าทีและเปิดปากออกมา

แต่การกระทำของมู่เสวี่ยกลับถูกหยุดด้วยฝ่ามืออันหนานุ่มของหนิงเทียนที่จับกุมไปยังข้อมือของตัวนาง

จากนั้นมู่เสวี่ยปลายสายตาที่เคยจ้องมองหรงเจาจื่อไปทางหนิงเทียน เมื่อนางได้เห็นรอยยิ้มที่กระจ่างใสและแววตาที่มั่นคงคู่นั้น ความบ้าคลั่งภายในจิตใจของนางจึงได้สงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ

ปากของนางเปิดออกอย่างไม่รู้ตัวและกล่าวถามด้วยคำถามที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ถึงความหมายของมัน “...พวกเราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่?”

ได้ยินคำถามเช่นนั้นหนิงเทียนหาได้ตอบอันใดออกมาไม่ มันเพียงแต่เบือนหน้ากลับไปมองยังเหล่าผู้อาวุโสของนิกายเคลื่อนเมฆาที่กำลังเต้นแร้งเต้นกากันอยู่

ในเวลาเดียวกันนั้นหยุนเกาที่กำลังยืนนิ่งได้เปิดตาของมันออกอย่างช้าๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “ดูเหมือนข่าวที่ลือกันเมื่อห้าสิบปีก่อนจะเป็นเรื่องจริงสินะ”

อวิ้นป๋าได้ยินดังนั้น มันรีบพยุงร่างที่เคยพิงพนักเก้าอี้ขึ้นมาในลักษณะนั่งหลังตรงและกล่าวออกด้วยดวงตาเบิกกว้าง “!!!เด็กที่ถูกเนรเทศไปเมื่อ50ปีก่อน บุตรชายของอวิ้นจูที่ถูกท่านพ่อขับไล่ไปหรือว่า....”

ความสงสัยของอวิ้นป๋ายังไม่ทันได้กล่าวออกจนสิ้นคำพูดดี หรงเจาจื่อกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

“ถูกต้อง เป็นอย่างที่เจ้าคิด ในตอนนั้นข้าและอวิ้นจูรักกันอย่างบริสุทธิ์ใจและเวลาต่อมานางก็ได้ให้สมบัติล้ำค่าที่ฟ้าส่งมาแก่ข้า เขาคือทารกตัวน้อยๆที่เกิดมาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์

แต่แล้วหัวใจของข้าก็ได้พังทลายลงเพียงเพราะมีใครบางคนตัดสินว่าข้าและนางไม่เหมาะสมกัน และด้วยความเชื่อนี้บุตรชายของข้าต้องถูกเนรเทศออกไปให้ห่างไกลจากมารดา โดยที่อวิ้นจูภรรยาข้าต้องทนทุกข์อยู่กับความคิดถึงบุตรชายจนร่างกายไม่สามารถทนได้และตรอมใจตายในเวลาต่อมา

เจ้ารู้หรือไม่แม้แต่เสือร้ายมันยังไม่กินลูกของตัวเองเลย?? แต่อวิ้นจงเสียนบิดาของเจ้าทำมันโดยไร้ซึ่งความปราณีใดๆ มันไม่คำนึงแม้ว่าทารกคนนั้นจะมีสายเลือดของมันไหลเวียนอยู่”

อวิ้นป๋าได้ฟังเรื่องราวดังนั้นมันได้แต่ปิดตาของตัวเองลง พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเศร้า

“เรื่องในครั้งนั้น เป็นเรื่องที่ในชีวิตของข้าอวิ้นป๋าเสียใจมากที่สุด ข้าที่ไม่สามารถปกป้องน้องสาวและหลานชายของข้าจากท่านพ่อได้เลย”

“ฮ่าๆๆ เสียใจ เจ้ากล้ากล่าวคำว่าเสียใจออกมาจากปากได้อย่างไรกัน? ไม่ใช่ว่าเวลานั้นเจ้ารู้สึกยิ้มออก กินอิ่มได้อย่างพอใจหรือไงที่น้องสาวผู้เปี่ยมพรสวรรค์ได้ถูกกักขังจนตรอมใจตาย ทำให้ตำแหน่งประมุขของเจ้ามั่นคงไม่สั่นคลอน”

สายตาของหรงเจาจื่อมองไปยังอวิ้นป๋าอย่างดุร้าย จากนั้นมันกล่าวต่อพร้อมกับยกมือชี้ไปยังหนิงเทียน

“และเวลานี้ด้วยคำพูดของคนนอก พวกเจ้ากำลังลงมือจับกุมบุตรชายที่น่าสงสารของข้า ไม่มีทางอีกแล้วที่ข้าจะยอมนิ่งเฉยมองพวกเจ้าทำร้ายคนในครอบครัวและคิดทำลายแผนการของข้าอีกเป็นครั้งที่สอง

นิกายเคลื่อนเมฆาจะต้องตกเป็นของตระกูลหรง ตระกูลมู่แห่งเมืองฉางผิงก็จะต้องตกเป็นของบุตรชายตระกูลหรง ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถขัดขวางมันได้

แม้แต่อวิ้นจงเสียนจะตื่นออกมาจากหลุมมันก็ไม่มีทางขัดขวางแผนการของข้าได้อีกต่อไป อวิ้นป๋าข้านะเกลียดบิดาของเจ้า เกลียดจนไม่สามารถใช้อากาศหายใจร่วมกับมันได้เลย

เจ้ารู้หรือไม่ข้าต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดที่ต้องทนรับใช้มันมากว่า30ปี เวลานั้นข้านั้นไร้ซึ่งพลังที่จะต่อกรกับมัน จึงได้แต่ภวนาสาปแช่งให้อวิ้นจงเสียนตกตายอยู่ทุกวัน”

เมื่อหรงเจาจื่อกล่าวถึงตรงนี้เป็นน้ำเสียงของซีหมิ่นได้ดังแทรกขึ้นมา “พี่เจาจื่อเพียงแค่การสาปแช่งของท่านมันจะทำให้อวิ้นจงเสียนที่แข็งแกร่งดุจพญาราชสีห์ตกตายไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”

เมื่อได้ยินคำกล่าวของสหายมัน หรงเจาจื่อเปิดปากหัวเราะออกมาสุดเสียง “ฮ่าฮ่าๆ ใช่แล้วเป็นอย่างที่พี่ซีหมิ่นพูดมา ข้าจะลืมบุญคุณของท่านไปได้อย่างไร ในเวลานั้นถ้าไม่เพราะกำยานหมื่นทิวาที่ท่านปรุงมันขึ้นมา

มีหรือราชสีห์ป่าเถื่อนอวิ้นจงเสียนจะตกตายด้วยโรคชราอย่างรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้”

เมื่อได้ยินชื่อของกำยานหมื่นทิวาใบหน้าของ อวิ้นป๋า หยุนเกาและอวี้กุ้ย บิดเบี้ยวไปอย่างผิดรูป ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มคนที่คิดทรยศนิกายอย่างฉุนเปาและชายชราที่นั่งอยู่ด้านข้างจะแสดงกิริยาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

แม้แต่มู่เสวี่ยที่กำลังตกตะลึงกับความจริงที่นางได้ยิน ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา“อาจารย์ กำยานหมื่นทิวาที่ว่า คือพิษแบบไหนกันแน่?”

หนิงเทียนที่กำลังตั้งสมาธิพร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่นั้นกล่าวตอบออกอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร “ก็แค่กลิ่นที่ช่วยเร่งอายุขัยให้ผู้ที่สูดดมมันเข้าไปเท่านั้น เจ้าอย่าได้เสียเวลาสนใจกับของไร้ค่าเช่นนั้นอีกเลย

เวลานี้ที่สำคัญกับพวกเราคือการหาโอกาสเข้าใกล้ทั้งสามคนนั้นโดยเร็วที่สุดและหน้าที่สำคัญเช่นนี้เจ้าจะต้องเป็นคนทำมัน”

กล่าวจบหนิงเทียนฉวยโอกาสที่หรงเจาจื่อกำลังให้ความสนใจแก่กลุ่มของอวิ้นป๋า แอบส่งขวดหยกที่ภายในบรรจุโอสถอยู่สามเม็ดให้แก่มู่เสวี่ยพร้อมกับกำชับถึงแผนการอย่างแผ่วเบา

โดยปกติแล้วเรื่องราวภายในนิกายเคลื่อนเมฆาเป็นเรื่องส่วนตัวที่พวกมันจะต้องสะสางกันเองและด้วยนิสัยของหนิงเทียนมันจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องราวเหล่านี้อย่างเด็ดขาด

แต่ในสถานการณ์ตอนนี้มันหาใช่เรื่องส่วนตัวของนิกายเคลื่อนเมฆาอีกต่อไปแต่อย่างใด มันเป็นสถานการณ์ที่สามารถคุกคามถึงชีวิตของหนิงเทียนได้ จึงไม่แปลกที่หนิงเทียนจะตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

แม้ว่าตัวของหนิงเทียนและอวิ้นป๋าจะไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันก็ตามที แต่ถ้าปล่อยให้พวกของอวิ้นป๋าถูกทำลายไปละก็ เท่ากับว่าเป้าหมายต่อไปของหรงเจาจื่อก็คือการปิดปากตัวมันอย่างโดดเดี่ยว

ศัตรูของศัตรูย่อมเรียกหาเป็นมิตรได้เสมอ หนิงเทียนไม่มีทางลืมคำกล่าวที่ตัวมันได้เคยเขียนลงไปในตำราพิชัยเด็ดขาด

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ขณะที่หรงเจาจื่อกำลังสาธยายถึงความคลั่งแค้นอยู่นั้น หนิงเทียนก้าวเดินออกไปด้วยความเย่อหยิ่ง มันชวนให้หรงเจาจื่อและพวกอดไม่ได้ที่จะมองไปด้วยความฉุนเฉียว

เมื่อได้เห็นสายตาฉุนเฉียวที่จับจ้องมายังตัวมัน หนิงเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปยังกลุ่มของหรงเจาจื่อด้วยความรังเกียจ ก่อนจะกล่าวออกมา

“เดิมที ข้าเองก็ไม่ต้องการเข้ามายุ่งเรื่องส่วนในนิกายของเจ้า แต่ว่าเมื่อข้าได้ยินลมปากที่เจ้าป่าวประกาศออกมาแล้วนั้น ทำให้ภายในใจของข้ารู้สึกสังเวชปนสงสารตัวเจ้าอยู่ไม่น้อย”

แม้หนิงเทียนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายมากกว่าดี แต่มันก็หาได้แสดงออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในช่วงชีวิตก่อนหน้าของมัน เรื่องราวอันตรายที่กำลังเผชิญอยู่นี้อาจเป็นเพียง1ใน100เรื่องที่หนิงเทียนได้พบเจอมา มันหาได้เป็นเรื่องราวที่ต้องเก็บมาเป็นความทรงจำด้วยซ้ำไป

ได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน ใบหน้าของหรงเจาจื่อบิดเบี้ยวผิดรูป ความโกรธมากมายแสดงออกมาทางดวงตา “สังเวช? สงสาร? ฮ่าฮาๆ เจ้าหมอเถื่อน ตัวข้ามีอะไรให้เจ้ามาสงสารกัน อย่าได้ลืมว่าชีวิตของเจ้าตอนนี้ก็ยังอยู่ในเงื้อมมือของข้า”

แม้ความโกรธเกรี้ยวของหรงเจาจื่อจะถูกส่งมายังหนิงเทียน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ทำให้รอยยิ้มที่มุมปากของหนิงเทียน หุบลงได้เลย

จากนั้นหนิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเป็นราบเรียบ “หืมม์ ดูเหมือนตัวเจ้าจะมั่นใจมากเลยสินะเอาเถอะเรื่องของชีวิตข้าค่อยมาว่ากันทีหลังเถอะ แต่ตอนนี้สิ่งที่เจ้ากำลังร้องโวยวายออกมานั้นมันน่าสังเวชอย่างไรนะหรือ?

ข้าจะบอกมันให้....ตัวเจ้านั้นอ่อนแอไร้ซึ่งพลังแต่กลับกล้าป่าวประกาศกล่าวโทษผู้ที่แข็งแกร่งกว่า จากที่ข้าได้ฟังเจ้าตัดพ้ออย่างยืดยาวนั้น ข้ายังไม่ได้ยินคำใดที่เจ้าแสดงตัวออกมารับผิดชอบภรรยาหรือบุตรชายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

มีแต่อวิ้นจูภรรยาของเจ้าที่คอยเก็บเรื่องเงียบและทนทุกข์ทรมานจนตายไป ถ้าวันนั้นเจ้ากล้าที่จะแสดงตัวออกมาผลของมันก็คงจะเปลี่ยนไป

แต่น่าเสียดายเรื่องราวครั้งนั้นเจ้าเลือกที่จะหลบอยู่หลังเงามืดและใช้เพียงสตรีตัวน้อยๆเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เจ้าถูกลงโทษจากประมุขคนก่อนและสิ่งที่น่าสงสารมากที่สุดก็คือตลอดระยะเวลา50ปีเจ้าไม่เคยคิดจะแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด

แต่เจ้ากลับคิดใช้ลูกชายของตัวเองเป็นสะพานเพื่อที่จะยึดครองตระกูลมู่แห่งฉางผิงและเมื่อเจ้ากำหนดทางเดินให้ทารกผู้น่าสงสารได้เดินเข้ามาในเส้นทางของตระกูลมู่นี้แล้วละก็ ข้าบอกได้เลยว่าปลายทางของมันคือจุดจบที่น่าอนาถอย่างแน่นอน”

“บัดซบ!!! เจ้าจะมารู้ดีในเรื่องของตัวข้าได้อย่างไร เดิมทีข้าจะเก็บเจ้าไว้จัดการหลังสุด แต่ในเมื่อปากของเจ้าแส่หาที่ตายข้าก็จะสนองมันเอง”

สิ้นคำกล่าวของหรงเจาจื่อมันได้สั่งให้ชายชราที่นั่งเงียบอยู่ตลอดเวลาเป็นผู้ลงมือ “ซิ่วหลี ท่านสามารถแสดงความจงรักภักดีต่อตระกูลหรงได้เพียงแค่ตัดศีรษะของมันออกมาให้ข้าเตะเล่น”

ฉุนเปาที่นั่งอยู่ด้านข้างของชายชรานามว่าซิ่วหลีตลอด อดไม่ได้ที่ยิ้มออก “ดูเหมือนว่าเจ้าหมอเถื่อนผู้นี้ยังคงมโนภาพตัวเองเป็นจ้าวตำหนักโอสถของนิกายในระดับเอ้อร์เทียนโหลวอยู่อีกสินะ

เจ้าโง่เอ้ยตัวเองยังพิการทางลมปราณอยู่แท้ๆกลับกล้าอวดอ้างตัวเองเป็นหมอเทวดาราชันย์แห่งพิษ ช่างไร้สาระสิ้นดี" จากนั้นมันหันไปกล่าวกับชายชราที่อยู่ด้านข้าง

"ผู้อาวุโสซิ่วหลีดูเหมือนว่าการแสดงความจงรักภักดีต่อตระกูลหรงของท่านจะเป็นงานที่ง่ายเป็นพิเศษ ข้าละอิจฉาท่านจริงๆ เห้ออ” กล่าวจบฉุนเปาถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย

ซิ่วหลีได้ยินเช่นนั้นมันเพียงแต่ส่งยิ้มตอบพร้อมกับยันกายลุกขึ้นอย่างน่าเบื่อหน่าย ตัวมันเป็นถึงผู้ฝึกตนในดินแดนวีรชนขั้น8อีกเพียงไม่ถึงครึ่งก้าวด้วยซ้ำมันจะทะลวงขึ้นไปอยู่ในขั้นที่9

กลับต้องมาลดเกียรติของตัวเองลงมือสังหารพวกนักต้มตุ้นที่ไม่มีแม้กระทั่งพลังปราณ ด้วยเหตุนี้เองใบหน้าของซิ่วหลีจึงไม่มีเค้าโครงแห่งความยินดีอยู่เลยแม้แต่น้อย

ซิ่วหลีค่อยๆก้าวเดินไปหาหนิงเทียนอย่างไม่รีบร้อนนัก มันเพียงแต่มองร่างของหนิงเทียนที่กำลังยืนโดยใช้สองมือไขว้ไปด้านหลังอย่างไม่แยแส

ตัวมันที่กำลังย่างกายเข้าไปปลิดชีวิต เห็นถึงท่าทีเงียบสงบและเหย่อหยิ่งของหนิงเทียน ทำให้คิ้วของซิ่วหลีค่อยๆขยับเข้าหากัน พลังปราณในแดนวีรชนแผ่กระจายออกมาอย่างน่าเกรงขาม

“หืมม์!!” หนิงเทียนเค้นเสียงออกมาอย่างดูถูกก่อนจะกล่าวต่อไป “เจ้าชื่อซิ่วหลี่ จากสายตาของข้าดูเหมือนว่าตัวเจ้าเองจะยังไม่แน่ใจเหมือนกันสินะว่าการเลือกข้างครั้งนี้ของเจ้าถูกหรือผิด

แต่เอาเถอะบางครั้งการตัดสินใจผิดเพียงครั้งเดียวของคนเรามันก็นำพาไปสู่ความตายได้เหมือนกันและเรื่องที่จะเกิดต่อไปนี้อย่าได้กล่าวโทษข้า ให้โทษความโง่ของตนเองที่ตัดสินใจย่างกายเข้ามาหาข้าก็แล้วกัน”

ได้ยินคำพูดของอันยโสโอหังของหนิงเทียน กลุ่มผู้อาวุโสฝ่ายของหรงเจาจื่อยกยิ้มและมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาที่มองคนโง่งม แม้แต่อวี้กุ้ยที่เคยเคารพบูชาในตัวของหนิงเทียนก็ยังส่ายหน้าให้กับคำพูดและการกระทำที่ยโสเช่นนี้

ผู้ฝึกตนที่ไร้ซึ่งลมปราณนั้นไม่ต่างอะไรกับคนพิการในโลกของการบ่มเพาะแล้วคนพิการเช่นนั้นจะสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนในแดนวีรชนขั้นปลายได้อย่างไรกัน ถึงแม้จะมีปาฎิหาริย์มันก็ยังคงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

ใช่แล้วการต่อสู้ครั้งนี้แม้แต่ ปาฎิหาริย์ก็ยังคงต้องเบือนหน้าหนี

หยุนเกาจับจ้องไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาพินิจ มันนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวเป็นบุคคลที่รับใช้นิกายเคลื่อนเมฆามาถึง2รุ่นด้วยกัน มันบอกได้เลยว่าการกระทำและคำพูดของหมอเถื่อนผู้นี้

เพียงเพราะต้องการให้คู่ต่อสู้ของมันเกิดความประมาท แต่ประมาทแล้วเป็นอย่างไร? ฟ้าและดินอยู่ไกลกันเพียงใด คนพิการกับผู้ฝึกตนแดนวีรชนก็อยู่ไกลกันเพียงนั้น

"ดูเหมือนว่าความพยายามของเจ้าจะเปล่าประโยชน์แล้ว"

มู่เสวี่ยที่เคยยืนอยู่ด้านหลังของหนิงเทียน นางค่อยๆสืบเท้าถอยห่างออกไปทีละนิด เป้าหมายของนางคือการเข้าใกล้ สามผู้อาวุโสของฝ่ายอวิ้นป๋าให้เร็วที่สุดและต้องกระทำโดยไร้ซึ่งพิรุธใดๆให้อีกฝ่ายจับได้

เวลาเดียวกันนั้นซิ่วหลี่ที่กำลังก้าวเท้าเข้าหาหนิงเทียนเปิดปากและกล่าวออกมา “ข้าไม่เคยเจอคนที่โอหังเทียมฟ้าเช่นเจ้ามาก่อนเลย!!” สิ้นคำกล่าวดวงตาที่เคยฉายแววเบื่อหน่ายของมันแปรเปลี่ยนเป็นแหลมคม

มันจ้องมองไปยังหนิงเทียนด้วยรังสีสังหารอย่างเต็มเปี่ยมพร้อมกันนั้นซิ่วหลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพุ่งตรงมายังเบื้องหน้าของหนิงเทียนและปล่อยหมัดของมันพุ่งตรงแหวกอากาศอย่างรวดเร็ว

ด้วยระดับพลังในดินแดนวีรชนขั้นปลาย มันไม่มีเหตุผลใดเลยที่ซิ่วหลี่จะต้องพุ่งร่างและใช้เพียงหมัดเปล่าๆในการปลิดชีพหนิงเทียน

มันมีวิธีสังหารต่างๆนับได้เกินกว่าสิบวิธีที่มันจะใช้จัดการมนุษย์ผู้พิการทางลมปราณโดยไม่ต้องขยับเขยื้อนตัวด้วยซ้ำ คงจะมีเพียงคำตอบเดียวที่สามารถบอกถึงการกระทำของชายชราซิ่วหลี่ผู้นี้ได้ก็คือตัวมันกำลังประมาท

ขณะที่หมัดของซิ่วหลี่กำลังจะปะทะกับใบหน้า หนิงเทียนทำได้เพียงแต่เบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย และในเวลาเดียวกันกับที่ตัวของหนิงเทียนกำลังเบี่ยงหลบหมัดของซิ่วหลี่ ฝ่ามืออันลึกลับยื่นออกมาแตะไปยังต้นแขนของซิ่วหลี่อย่างแผ่วเบา

ทันใดนั้นเอง ร่างของซิ่วหลี่หายไปจากมโนภาพสายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงราวกับว่าตัวของซิ่วหลี่เองไม่เคยอยู่ในที่แห่งนี้มาก่อน ทุกคนในห้องโถงได้แต่มองร่างของซิ่วหลี่ที่หายไปในอากาศด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

“กะ...เกิดอะไรขึ้น ผู้อาวุโสซิ่วหลี่ หะ..หายไปไหนกัน”หรงหยางที่ยืนมองเหตุการณ์ด้วยรอยยิ้มมันต้องหุบยิ้มลง ดวงตาของมันแทบจะถลักออกมานอกเบ้าตา ขนในกายลุกชันขึ้นมาด้วยความตกตะลึง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด